เหตุเกิดบนรถไฟ (ตอนที่ ๓) Jungfraujoch


เรื่องขำขันจากการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป

     

          วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผจญภัยในตู้โทรศัพท์และอับอายจากหน้าโบสถ์ไปแล้ว  เราทั้งสามชีวิตก็รีบตื่นแต่เช้ามากๆๆ เพราะรถไฟเที่ยวเช้าสุดที่จะขึ้น Jungfrau ออกประมาณ ๗ โมง 

       ดูทุกอย่างราบรื่น ไม่มีปัญหา แบกเป้ขึ้นหลังแล้วก็เดินออกจากที่พักมาที่สถานีรถไฟ 

       

    พวกเรามาก่อนเวลา เลยมีเวลาเดินเล่นเล็กน้อยแถวนั้น  หลังจากเตร็ดเตร่อยู่พักหนึ่ง ก็มีเสียงคุ้นๆ บอกไม่ถูก เสียงนั้นลอยมาตามลมไกลๆ

 

       เราทั้งสามหันมองหน้ากัน แล้วเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า "คนไทย"

      ดูท่าทางเค้าจะมาเป็นกรุ๊ปใหญ่ เพราะเดินมาเป็นทิวแถว เมื่อเข้ามาใกล้ๆสถานีก็เริ่มแน่ใจว่าใช่ เพราะอาการปกติทั่วไปคือ วิ่งถ่ายรูป กดชัตเตอร์รัว ไม่ยั้ง...... ประกอบเสียงวี้ดว้ายเป็นระยะๆ (เหมือนกันเล้ยยย ^^) 

 

      เพื่อนคนหนึ่งเดินไปแถวๆนั้น ก็คงมีโอกาสได้พูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนเดินกลับมารวมกลุ่มกัน  เพราะนาฬิกาบอกเวลาว่ารถไฟกำลังจะมา

 

         ............เมื่อรถไฟมาเทียบชานชาลา  พวกเรารีบขึ้นไปหาที่นั่ง ก็นั่งกันไปเรื่อยๆ พอรถไฟเริ่มออกจากตัวเมือง ทิวทัศน์ที่สวยงามก็เริ่มปรากฏแก่สายตาของพวกเรา  

      เสียงกรี๊ดๆๆๆๆ โห....หู.....ฮู้ว์  เริ่มมาจากเราสามคน แล้วก็ถ่ายรูปๆๆๆ  มีแต่รูปวิว (ลืมถ่ายคน)  

 

      จะว่าไปประเทศนี้ก็ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีมาก เพราะทิวทัศน์สวยงามเหมือน....ไม่รู้เหมือนอะไร  จะบอกว่าสวรรค์ก็ไม่ได้ เพราะไม่เคยไปซะด้วย  เป็นว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้ ลำธาร ที่สำคัญน้ำในลำธารที่นี่คงมีแร่ธาตุแบบเดียวกับจิ่วไจ้โกว เพราะมันสีเดียวกันชัดๆ  ไม่น่าเชื่อว่ามีจริง  อยู่เมืองไทยไม่เคยเห็นลำธารเป็นสีฟ้า (สงสัยจะอยู่แต่ในบางกอก)

 

     พวกเราเริ่มสงบลง...หลังจากวิ่งสลับซ้ายขวาถ่ายภาพกันจนเหนื่อย โชคดีที่โบกี้ที่เราเลือกนั่งไม่ค่อยมีคน เลยส่งเสียงดังได้บ้าง

.................................................................

 

        นั่งไปซักพักใหญ่ๆ รถไฟแล่นไต่ระดับไปอย่างช้าๆ อากาศสดชื่นสุดบรรยาย   แต่แล้ว....รถไฟก็มาจอดที่สถานีหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานีเดียวที่เค้าจอดระหว่างทาง เพื่อให้แวะซื้อกาแฟ หรือเข้าห้องน้ำ หรือซื้อตั๋วรถไฟไปต่อ

                มีเรื่องจะสารภาพ.....

         จะว่าไปตอนนั้นก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  คิดออกแต่ทางนี้  นั่นก็คือเรื่องตั๋วรถไฟ   เคยได้เล่าไปแล้วในตอนแรกๆ ว่าเราซื้อ Swiss Pass เพราะเราใช้รถไฟทุกวัน แล้วสามารถใช้ล่องเรือในทะเลสาบที่ Lucern ได้ฟรีด้วย  ปัญหาคือ เจ้า Swiss Pass นั้นครอบคลุมแค่ปลายทางบางแห่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าซื้อใบเดียวไปได้ทุกที่ แล้วที่แย่คือ มันไม่รวมการเดินทางไปยอด Jungfrau 

              จะทำอย่างไร?????

 

          จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ลูกทัวร์เริ่มบ่นๆว่าขี้เกียจขึ้นเขาแล้ว หน้าตามันดูเหมือนๆกัน

     แต่....ไม่ได้นะ เขาไหนแกไม่ขึ้นชั้นไม่ว่า  ยกเว้นยอดนี้ ชั้นต้องไปให้ด้ายยยยยยยยยยยยย 

 

      หลังจากคิดๆๆๆๆๆ ก็วางแผนว่า เอาวะ...บอกเพื่อนไปว่ามันใช้ได้ ไปถึงยอดแน่นอน เชื่อสิ  คิดในใจว่าไปว่ากันต่อตอนไปใกล้จะถึง

          พอมาถึง ๓ ใน ๔ ของเส้นทาง ซึ่งก็คือสถานีที่รถไฟกำลังจอดอยู่นี่แหละ  ก็มีคนตรวจตั๋วเค้าบอกว่าถ้าจะไปต่อ ต้องซื้อตั๋วเพิ่มนะคร้าบ   พวกเราสามชีวิตก็มีอันต้องลงจากรถไฟ และต้องปรึกษาด่วนที่สุด ว่าจะเอาไง  ถ้าไม่ซื้อเพิ่มก็ต้องกลับ ทั้งๆที่ขึ้นมาถึง ๓ ใน ๔ แล้ว  

 

           เพื่อน ๑: "เอาไงวะ...ตั๋วเท่าไหร่อ่า มาทริปนี้หมดกับค่าขึ้นเขาอย่างอลังการมาก ไปมันทุกยอดเลยโว้ย"

            เพื่อน ๒: "ไม่รู้ เอาไงก็เอา"

         ข้าพเจ้า:  "อืม...แย่นะ...อีกนี้ดดดดเดียวจะถึงแล้วอ่ะ  จากวิวที่ผ่านมานี่สวยมากนะ ข้างบนต้องสุดยอดแน่ๆ อากาศดีมากวันนี้ โห...ท้องฟ้าเป็นท้องฟ้าเลย" 

         เพื่อน ๑: "เออ...ก็คงต้องงั้น  มาตั้งขนาดนี้แล้ว จะกลับก็เสียเที่ยว"

           เพื่อน ๒: "ตกลงไปต่อใช่ป่ะ"

           ข้าพเจ้า:   "อืม...รีบไปซื้อเหอะ เดี๋ยวรถออกนะ" (ทำหน้านิ่งสุดชีวิต คิดในใจ...เข้าทางกรู อิอิ  ปล. ห้ามลอกเลียนแบบ เพราะเข้าข่ายหลอกลวงลูกทัวร์ค่ะ)

 

          สรุปว่าเราเดินกลับขึ้นรถไฟ เพื่อไปพิชิตยอด Jungfrau กันต่อค่ะ

 

        รอบนี้มีการเปลี่ยนที่นั่งกัน  เพราะพอรถไฟจอด คนก็ลงมาเดินเล่น   เมื่อเราหาที่นั่งได้ตรงท้ายสุดของโบกี้ ก็นั่งกันไป

          ยังไม่ทันจะทำอะไร ก็มีเสียงคนกลุ่มเดิมคุยกันมา  กรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เจอที่ Interlaken นั่นเองค่ะ  เค้าหาที่นั่งกันอยู่ แล้วก็เดินมานั่งตรงที่พวกเรานั่งนั่นแหละ 

 

          กรุ๊ปนี้มากันประมาณสิบคน มีทั้งหญิงทั้งชาย หน้าตาน่าจะเป็นนักศึกษามากกว่า สิ่งที่สังเกตได้อย่างแรกคือ เกือบทุกคนแต่งกายประหนึ่งอยู่บน  แคทวอล์ก ^^ เสื้อผ้าหน้าผม รองเท้า จัดเต็ม......(แต่สวยหล่อค่ะ) ยกเว้นคนที่ท่าทางเป็นหัวหน้ากรุ๊ปที่ดูจะอายุมากสุดในกลุ่ม

 

    พอรถเริ่มออก เราก็มีโอกาสได้คุยกับพวกเค้า จริงๆไม่ใช่พวกเค้าหรอก มีแค่คนเดียวที่คุยกับพวกเรา กับคนที่เป็นไกด้ดูเฟรนด์ลี่หน่อย  นอกนั้นไม่รู้มองหาอะไรบนที่เก็บของ ฮ่าๆๆๆ แล้วสายตานี่ก็จิกซะเหลือเกิ๊น แม่คุณ

    ถามมาถามไปก็ทราบว่าเป็นนักศึกษามาจากอังกฤษ (มิน่า London Fashion Week เชียวค่ะ อิอิ ขอแซวหน่อยเหอะ) คนที่ดูใจดีสุดทำหน้าตาประหลาดใจที่ทราบว่าเรามาจากฝรั่งเศส

 

            "เป็นนักศึกษามาจากฝรั่งเศสเหรอคะ?" เธอทำหน้าตื่นเต้น ระคนแปลกใจ

     ลืมบอกว่าพวกเราไปกันแบบกางเกงยีนส์ รองเท้ากีฬาเสื้อแจ็กเก็ตค่ะ  ไม่ได้จัดเต็ม ไม่มีโค้ทยาว ไม่มีเฟอร์ ไม่มีบู๊ท เข้าใจว่าเพราะเหตุนี้คนถามถึงทำเสียงสูง พร้อมสายตาแปลกใจ ตามปกติพอบอกว่าฝรั่งเศส คนมักจะนึกว่าต้องมาแบบ Paris Fashion Week  ^__^" โทษทีทำเสียยี่ห้อหมด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

 

             "ค่ะ, ครับ" พวกเราตอบยิ้มๆ

           "ยังไม่มีโอกาสไปเลยค่ะ ตั้งใจจะไป ท่าทางโรแมนติก"  เธอชวนคุยต่อ   อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างของความเข้าใจผิดๆค่ะ ฝรั่งเศสไม่ได้โรแมนติก กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะโรแมนติกหรือไม่ มิได้ขึ้นอยู่กับสถานที่เพียงอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆ 

    "ว่าแต่มากันแค่นี้เหรอคะ....แล้วมายังไงคะ....แล้วเอาของมาแค่นี้เหรอคะ??" เธอถามพลางกวาดสายตามองเป้ ๓ ใบดูโทรมๆ

           "ค่ะ เอามาคนละใบค่ะ...เพราะเดินทางย้ายที่กันบ่อยค่ะ"

          "อ๋อ...เก่งจังเลยค่ะ...เนี่ยถ้าให้มาแบบนี้คงไม่ไหวอ่ะค่ะ เราพักกันที่ Interlaken "  เธอทำหน้าตาจริงจังมาก

      คุยไปได้สักพัก รถไฟก็จอดอีกรอบ เพื่อให้ลงจุดชมวิว ถ่ายภาพ 

...............................................................

 

        หิมะขาวโพลน.....สวยมาก แต่เสียดายเสียงคนวุ่นวายไปหน่อย ทำให้บรรยากาศดีๆเสียไปพอสมควร 

 

           จากนั้นเรากลับมาขึ้นรถไฟ.... คราวนี้มีเรื่องตลกที่ไม่ตลกเกิดขึ้น

 

    สาวน้อยที่นั่งตรงข้ามเราก้มหาอะไรซักอย่าง  และไม่มีทีท่าว่าจะเจอ

        "หาอะไรคะ ช่วยมั้ย" เพื่อนคนนึงถาม

        "ถุงมือหายค่ะ"

    "ตายแล้วๆๆๆ เพิ่งซื้อเอง แพงมากด้วย"  เธอบ่นๆ เพื่อนๆของเธอเริ่มหันมามองและถามไถ่

พวกเราสามคนยกเป้ขึ้นจากพื้น เพื่อดูให้ทั่วว่า มีหล่นอยู่แถวนั้นรึเปล่า  ปรากฏว่าไม่มี  เจ้าทุกข์ก็ยังโวยวายต่อไป 

     ไม่รู้เค้าจะคิดว่าเราขโมยรึเปล่านะ ยิ่งมองมาทางพวกเราแบบแปลกๆอยู่ด้วย  (นี่เธอๆ...ถึงพวกเราจะดูโทรมๆ แต่ไม่ใช่โจรนะยะ)

        สรุปว่าถุงมือเธอหายไปข้างเดียว สันนิษฐานว่าทำหล่นตอนไปถ่ายรูปข้างล่าง เพราะคงไม่มีโจรประเทศไหนลักถุงมือข้างเดียวเป็นแน่  เฮ้อ...  คุณเธอนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่คุยกับพวกเราอีกเลย ท่าทางเสียใจมากที่ถุงมือใหม่หายไป น่าสงสารนะ ไม่รู้ Burberry รึเปล่า  ค่อยกลับไปซื้อใหม่ละกันน้อง 

 

    ^__^ ในที่สุดเราก็มาถึงปลายทางซะทีค่ะ 

 

คำสำคัญ (Tags): #Jungfraujoch#Top of Europe
หมายเลขบันทึก: 483876เขียนเมื่อ 1 เมษายน 2012 03:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 12:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

หมายถึงโจรมีแขนข้างเดียว หรือมีคนขโมยแขน(เทียม)ข้างเดียวคะ :)

หมายถึงโจรแขนข้างเดียวครับ

เคยอ่านเรื่อนคนแขนด้วนสองแขน ขโมยกะทะ ของจีนเป็นอุธทาหรณ์ที่ดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท