นับถอยหลังอีกหนึ่งวัน คือ วันที่ ๒๗ มีนาคม และวันมะรืนนู้นที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๕ จะเป็นวันที่ประกาศผลการสอบคัดเลือกผู้ที่จะศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาไทยศึกษา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ระหว่างที่นั่งทำเอกสารวิชาการ ปพ.๕ ๙ เล่ม เสร็จ แล้วละมาทำ ปพ.๖ ต่ออีก ๓๗ เล่มเสร็จ และยังเหลือ ปพ.๘ อีก ๓๗ เล่มที่ยังไม่ได้ทำ (^_______^) ไม่ได้ขี้เกียจนะคะ เพียงแต่ว่ามันชักเครียดกับตัวเลขและตาราง กับการจับปากกาจนนิ้วบี้ไปหมดแล้ว พอดีเพื่อนเดินผ่านมาทักถามข่าวคราวการสอบว่าผลสอบเรียนต่อโทของฉันเป็นอย่างไร มันก็เลยมีประเด็นต่อไป จากปากต่อปาก ความคิดต่อความคิดของใคร ๆ ที่กระตือรือร้นในเรื่องนี้ ^ ^ มันก็เลยทำให้ความคิดในกบาลน้อย ๆ ของฉันเริ่มแกว่งหน่อย ๆ จะว่าอ่อนไหวอย่างศิลปินก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มั่นใจในความคิดของตัวเองก็ไม่เชิง อ้าว....!!! แล้วมันยังไงล่ะเนี่ย ??? เมืื่อเจอเข้ากับ ๒๐ คำถามของคนธรรมด๊า..ธรรมดาแต่ดูไม่ธรรมดาของแต่ละคน มาดูกันว่าคำถามเด็ด ๆ ของแต่ละคนที่ถามวนิดาเป็นอย่างไร
จากคำถามเหล่านี้ทำให้ความคิดในกบาลน้อยของฉันค่อย ๆ กลั่นกรอง คิด และคิด และตอบใจตัวเองอย่างคนเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยสำหรับการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับปริญญาโท ฉันพยายามค้นหาว่าแต่ละสถาบันเปิดสาขาอะไรบ้างที่น่าเรียน สามารถใช้กับการสอนหนังสือในวิชาภาษาไทยและประวัติศาสตร์ของฉันได้ ฉันคิดแค่นี้ก่อนเป็นลำดับต้น ๆ จนเมื่อพบว่ามีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปกร มีสาขาวิชาที่ฉันสนใจและอยากเรียนจริง ๆ แต่เมื่อมาดูแต่ละสถานที่แล้วดูจะเหลือตัวเลือกน้อยลงมาอีก เหลือแค่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่พอจะหอบสังขารไปเรียนได้บ้าง แต่ในที่สุดก็มานั่งงงกับคำว่า " ระบบเหมาจ่าย " มันคือไรคะ อืม....มันคือการลงวิชาเรียนไม่ว่าจะเรียนกี่วิชาก็จ่ายตามจำนวนเท่านี้หรือเปล่า ??? ไม่รู้ว่ามันมีข้อดีข้อเสียยังไง แต่รู้ว่าแค่วนิดานั่งรถเมลล์จากบางนาไปท่าพระจันทร์ แล้วสมมติว่าวนิดาสอบได้จริง ๆ มันคงไม่ต่างจากเจ้าฮุ่ยที่สวนสัตว์เชียงใหม่เชียว งั้น....ไม่เหลือให้เลือกเยอะแล้ว เอาไงเอากันฮะพี่น้อง ราม ฯ นี่แหละ แอบดีใจระดับ ๙ เรียนวันเสาร์และอาทิตย์ ๒ วัน อืม...วนิดาน่าจะทรมานน้อยที่สุดนะฮาฟ เอาล่ะเราเตรียมตัวสอบ อ่านหนังสือและทำแบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ คิดแค่นี้ค่ะ (@^_____^@)
จากคำถามของใคร ๆ เลยมานั่งทบทวนตัวเองเล่น ๆ ว่า เอ่อ..!!! แล้วเราจะยังไงเนี่ย ดีใจอยู่อย่างที่มีความคิดแบบตะแบง ๆ ว่าเรียนที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยน้อยที่สุด เพราะไม่ใช่แค่บทบาทของครูเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ แต่ในอนาคตหากได้เปลี่ยนบทบาทเป็นลูกศิษย์ดูบ้าง ความรับผิดชอบต้องมีเป็นดับเบิ้ลทีเดียว วนิดาคงจะงอมพระรามน่าดู ไม่ว่าจะเรียนที่ไหนหากใจไม่ชอบ เรียนให้ดีให้ตายแค่ไหนมันก็คงดูไม่เข้าท่า เพราะต้องฝืนใจเรียน เรียนที่ไหนที่มีชื่อเสียงหรือไม่มีชื่อเสียง แต่คนที่เรียนไม่ตระหนัก ไม่ให้เกียรติสถาบัน ไม่สำนึกบุญคุณต่อครูบาอาจารย์ผู้ให้ความรู้ ต่อให้เรียนจบก็ถือว่าเป็นเด็กเนนะคะ ( เนรคุณน่ะค่ะ ) ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ก็ต้องสอบคัดเลือกเข้าไปเรียน ไม่ใช่ได้เรียนเลย แล้วพอได้เรียนก็ใช่ว่าจะไม่ต้องสอบต่อนี่นา มันก็ต้องสอบวัดระดับความรู้ในกบาลกันมั่ง ว่าปึ้กพอจะไปถ่ายทอดวิทยายุทธหรือเปล่า ? มันยิ่งกว่าซีรี่ส์เกาหลีนะคะ มีตอนต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสอบคัดเลือกให้จบการศึกษา มันไม่มีที่ไหนที่จะเรียนแล้วจบกันได้ง่าย ๆ เลย เหอ ๆ ทำไมเราคิดกันแบบง่าย ๆ ก็ไม่รู้ ใครเคยคิดเหมือนฉันบ้าง ? หากเราจะเลือกศึกษาต่อระดับปริญญาโท เราจะได้ประโยชน์สูงสุดอย่างไร ?
เรียนระดับปริญญาโทใช่ว่าจะเรียนเร็วจบเร็ว แต่ละสาขาวิชามันมีความยากง่ายแตกต่างกันนะฉันว่า บางสาขาต้องทำวิทยานิพนธ์ บางสาขาต้องทำสาระนิพนธ์ บางสาขาวิชาต้องทำ Project หรือบางสาขาวิชาต้องศึกษาการศึกษาอิสระแล้วแต่ละสถาบันกำหนด ( ตามหลักสูตรที่ขึ้นไว้หน้า web ของสถาบันต่าง ๆ ) ที่บอกกันว่าเรียนอะไรก็ได้ที่เรียนแล้วจบเร็ว ไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ มันคงจะหายากนะคะ เพราะไม่งั้นแต่ละสถาบันที่เปิดสอนคงมีแต่ปริมาณระดับบัณฑิตศึกษา แล้วก็ได้แค่วุฒิเท่านั้นหรอคะ ? โหย.....ย ตาย ๆ ถ้าหากคนไทยคิดเท่านี้ แล้วเราจะได้รับความรู้ที่แท้จริงได้อย่างไร ในเมื่อเราเลือกเรียนตามกระแสนิยม และเลือกเรียนสาขาวิชาที่เหมือนสินค้าสะดวกซื้อ ประเทศชาติเราจะไม่เจ๋งกระบ๋งกันหรือคะเนี่ย หากผู้ที่จะให้ความรู้ผู้อื่นคิดแบบนี้ซะส่วนใหญ่แล้วเราจะไปหวังอะไรกับผู้เรียน หรือว่าฉันเป็นคนชายขอบ ???
ในที่สุดความคิดที่กระจัดกระจาย ฟุ้ง ๆ อีรุงตุงนัง คนเดียวที่ทำให้อาการนี้ของวนิดาหายได้ก็คือแม่จ๋าเท่านั้น
ฉันถามแม่จ๋าว่า แม่ว่าหนูเบื๊อกไหม แม่ถามกลับแล้วเก๋ว่าเก๋เบื๊อกเรื่องอะไรล่ะลูก เรื่องเรียนต่อค่ะแม่ หนูเลือกเรียนในแบบที่หนูอยากเรียน หนูไม่ได้เลือกเรียนในแบบที่คนส่วนใหญ่คิดว่าควรจะเรียน แม่คิดว่าไงคะ ? ไปสอบแล้วหรอลูก ? ค่ะ ไปสอบแล้ว วันที่ ๒๘ มีนา ฟังผลสอบค่ะแม่ แม่จ๋าตอบมาประโยคเด็ดทีเดียว " คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียนหรอกลูก " แล้วโทรศัพท์ของเธอก็ดังตู๊ด....ตู๊ด..... ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
(@^______^@)
กลับมาเซ็งระดับ ๑๐ เชียว เฮ้อ !!!
สวัสดีครับ.... เรียนเพราะเราอยากเรียน... ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองดีจังครับคุณครู... แล้วผลสอบออกยังครับ... ภาวนาขอให้สอบได้..เรียนจบ... เอาความรู้มาพัฒนาตนเองและผู้อื่นนะครับ... ผมเช่นกัน... ไม่อยากได้ครูเก่ง... ขอให้ได้มีครูที่มีหัวใจความเป็นครูครับ... ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ มาให้กำลังใจค่ะ ยินดีกับความสำเร็จก้าวแรกของการเป็นนักศึกษาปริญญาโทนะคะ พี่คิดว่าน้องคิดถูกแล้วล่ะ เรียนที่ไหนก็ได้ขึ้นกับว่าคนที่เรียนนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาใช้มากน้อยและคุ้มค่าเพียงใดคะ หลายคนจบมาจากสถาบันเด่นดัง แต่ไม่ได้ทำคุณประโยชน์ที่เหมาะสม ก็ได้แคชื่อว่าจบที่นั่นเท่านั้นแต่หาใช่คนที่ควรภูมิใจแต่อย่างใดค่ะ
ขอบคุณพี่รัชค่ะ
ใช่ค่ะ ที่เลือกเรียนสาขานี้ เพราะหนูสอนวิชาภาษาไทย และประวัติศาสตร์ ระดับชั้นมัธยมต้น ซึ่งในเนื้อหาการเรียนทั้งสองวิชานี้มีมิติของเรื่องการเมือง ศาสนา สังคมวัฒนธรรม วรรณกรรม ความเชื่อต่าง ๆ ที่ปรากฏในบทเรียน จึงคิดว่าสาขาไทยศึกษาน่าจะนำมาใช้สอนได้มากกว่าการเรียนสาขาการบริหารการศึกษาอย่างที่พี่ ๆ ที่โรงเรียนแนะนำ ( กึ่งสะกดจิตนะคะ ฮ่า ฮ่า )
จึงตัดสินใจว่าจะเรียนต่อเลยได้ศึกษาโครงสร้างหลักสูตรของมหาวิทยาลัยแต่ละที่ค่ะ บางที่ที่อยากเรียนก็ไม่ได้อธิบายโครงสร้างหลักสูตรตลอดปีการศึกษาที่ต้องศึกษานะคะ เลือกอยู่นานเหมือนกันกับการเตรียมการเรียนต่อค่ะ พอได้ดูโครงสร้างหลักสูตรแล้วที่นี่สะดวกสุดค่ะ คือ การเดินทางไปเรียน ( ใช้เวลาเดินทางเพียง ๑ ชั่วโมง คงจะไม่ล้าและเหนื่อยมาก ฮ่า ฮ่า เพราะ ๗ วัน ไม่ได้พักผ่อนตามปกติ หนูคิดว่า คงจะทำให้หนูขี้เกียจ ระดับ ๑๐ ทีเดียว หนูคิดเยอะไปไหมคะ ฮ่าฮ่า ) เวลาที่เรียนคือวันเสาร์และอาทิตย์ ( นอกเวลาราชการ อินี้ยังพอได้ไปเรียนบ้างอย่างไม่ต้องกังวลกับงานสอน จันทร์ถึงศุกร์ค่ะ ) ปัจจัยในการลงทะเบียนเรียน ( เพราะหนูสะสมทรัพย์กับบุญมาจึ๋งนึงค่ะ ฮ่า ฮ่า ) ดังนั้นก่อนสอบสามสัปดาห์จึงได้ถ่างตาอ่านหนังสือกะลองทำข้อสอบภาษาอังกฤษแบบไม่ลืมหูลืมตา
หนูไม่นึกเลยว่าพี่รัชจะเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ และมุ่งมั่นเป็นอาจารย์สอนคณิตศาตร์ และสอนอยู่ในจังหวัดปัตตานี พี่นี่เป็นครูหัวใจทองคำจริง ๆ ชื่นชมและทึ่งในตัวพี่รัชจริง ๆ ค่ะ มันช่างตรงข้ามกับหนู ทั้ง ๆ ที่แม่หนูเป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์หนูดันไม่ชอบเรียนวิชานี้เอาซะเลย ฮ่า ฮ่า หนู แม่หนู และพี่รัชเหมือนกันอยู่อย่างคือได้อาจารย์เป็นแรงบันดาลใจ ฮ่า ฮ่า แม่เคยเล่าให้ฟังว่าคุณครูสอนคณิตศาสตร์ของแม่ท่านสอนคณิตศาสตร์สนุกมี แม่ชอบเรียนวิชานี้มากเพราะได้อาจารย์ท่านเป็นแรงบันดาลใจ แม่จึงเป็นครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ยันท่านเกษียณ ส่วนหนูเองชอบทั้งคุณครูผู้สอนภาษาไทย และสังคม ( เมื่อก่อนวิชาประวัติศาสตร์ยังไม่ได้แยกเนื้อหาสาระออกจากวิชาสังคมเหมือนสมัยนี้นะคะ ) ได้อรรถรสทุกครั้งเวลาเรียนสองวิชานี้ หากสติหลุดไปสักกะนิดเปรียบเหมือนดูการ์ตูนโดเรมอนไม่จบตอนยังไงยังงั้น จะหงุดหงิดกับเพื่อนที่ชอบชวนคุยขึ้นมาทีเดียว วิชาที่ชอบที่สุดคือ ภาษาอังกฤษ อ้าว !!! งงไหมคะพี่คะ คุณครูสอนท่านชอบสอนแต่ไวยากรณ์ แต่ชอบมากกว่านั้นคือเรื่องสั้นหรือบทความของอาจารย์ที่เอามาให้อ่านค่ะ ลองเดาศัพท์ก่อน เดาไม่ได้ค่อยหาศัพท์ และบางเรื่องให้ข้อคิดด้วย ไม่รู้ว่าอาจารย์ไปเลือกเรื่องจากไหนมาให้อ่าน บางเรื่องก็ยาวเกินกว่า ๑๐ บรรทัด บางเรื่องไม่เกิน ๕ บรรทัด แต่ทำไมช๊อบ ชอบ อ่าน เรียนของท่านก็ไม่รู้ ที่สำคัญเวลากลับบ้านพ่อจ๋าของหนูชอบพูดภาษาอังกฤษด้วยค่ะ ( อย่าเข้าใจว่าหนูเป็นลูกครึ่งตาน้ำข้าวนะคะ ฮ่า ฮ่า ) ตอนเด็ก ๆ พ่อซื้อหนังสือนิทานให้เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนั้นยังอ่านไม่ได้หลอกค่ะ ดูตามภาพเท่านั้น แต่แม่เล่าว่าตอนเด็ก ๆ ชอบออกเสียงตามพ่อเวลาพ่ออ่านให้ฟัง หรือเวลาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเวลากินข้าวรวมกัน พ่อมักจะยกช้อนบ้าง แก้วบ้าง ผลไม้บ้าง แล้วให้ตอบเป็นภาษาอังกฤษ สนุกดีค่ะ แย่งกันตอบกับพี่สาว ใครตอบได้พ่อไม่ได้ให้รางวัลหลอกนะคะ ฮ่า ฮ่า
อันสุดท้ายเห็นด้วยตามนั้นที่พี่รัชว่าค่ะ ในฐานะที่เป็นครูแล้ว จึงคิดว่าต้องขวนขวายหาความรู้เท่าที่กำลังกายและกำลังปัญญายังสามารถทำได้ ที่สำคัญไปกว่านั้นวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่สังคมคาดหวังและมองว่าคือผู้ให้ความรู้นะคะ เพราะฉะนั้นหากผู้ให้ความรู้ยังรู้ไม่พอก็ต้องเร่งศึกษาเล่าเรียนเช่นกัน พัฒนาตนเองก่อน ก่อนที่จะไปสอนและพัฒนาลูกศิษย์ พี่รัชว่าไหมคะ ดีใจที่ได้รู้จักนะคะ ถ้าพี่อ่านคำตอบหนูจบแสดงว่าว่ารักกันจริงเหมือนกัน (@_________@)
ตอนนี้พลอยก็กำลังจะเรียนโทต่อค่ะ สอบข้อเขียนผ่านแล้วเหลือฟังผลสอบสัมภาษณ์ ที่รามคำแหง สาขาและคณะเดียวกะพี่เลยคือ ไทยศึกษา แต่ยังไม่ได้ทำงานเพราะเพิ่งจบค่ะ ^ ^
ถึง นู๋พลอยค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักนู๋พลอยค่ะ เหมือนวันปฐมนิเทศพี่เก๋และนู๋พลอยได้พบกันแล้ว ใช่นู๋พลอยคนเดียวกันไหมคะ ^^