ก้อนหิน GotoKnow : เมื่อกลวงให้เป็นอย่างแจกัน เมื่อตันให้เป็นอย่างก้อนหิน


ในเวทีย่อย GotoKnow กับการเรียนรู้บูรณาการงานกับชีวิต ทาง GotoKnow โดยอาจารย์ ดร.จันทวรรณ ปิยะวัฒน์ ผู้ร่วมพัฒนาและดูแลระบบ GotoKnow มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ทำของที่ระลึกสำหรับมอบแด่บล๊อกเกอร์ที่ได้ถอดบทเรียนล่วงหน้าและไปร่วมเวทีในครั้งนี้ ก่อนเริ่มการเสวนากันในเวที อาจารย์ได้คุยกับผมหลายเรื่อง รวมทั้งเรื่องนิทานหิ่งห้อยของชาวญี่ปุ่นและเรื่องก้อนหินซึ่งอาจารย์ได้ทำเป็นของที่ระลึกมามอบให้กับบล๊อกเกอร์ gotoknow ผมได้เล่าเรื่องก้อนหินกับการเรียนรู้จากก้อนหินให้อาจารย์ฟัง ท่านชอบใจและอยากให้ผมเล่าให้เวทีฟังด้วย

เมื่อได้จังหวะ ผมก็ได้เล่าเรื่องการเรียนรู้คุณค่าและความหมายจากก้อนหินให้ฟัง ๓ มิติ คือ ก้อนหินกับวิถีแห่งการเจริญสติภาวนา ก้อนหินกับการสร้างวัฒนธรรมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และก้อนหินกับวิถีการวิจัยเชิงสังคม

ก้อนหินกับวิถีแห่งการเจริญสติภาวนา

คนทำงานสามารถสร้างชีวิตในวิถีแห่งการเจริญสติภาวนาให้แก่ตนเองด้วยก้อนหิน โดยถือก้อนหิน สัมผัสอย่างละเอียดอ่อนพร้อมกับตามไปรู้สึกอย่างต่อเนื่อง ครูอาจารย์ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ที่ให้แนวทางอย่างนี้มีหลายท่าน เช่น ท่านติชห์ นัท ฮัน หรือในสมัยพุทธกาล ก็มีเรื่องราวของ จุลปัณฑก อรหันต์องค์หนึ่งที่บรรลุธรรมด้วยการลูบและสัมผัสผ้าขาวด้วยจิตอันละเอียดอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับอาการสัมผัสก้อนหิน ดังนั้น ก้อนหิน Gotoknow อันเป็นของที่ระลึก ก็สามารถนำเอาไปใช้เป็นเครื่องมือเจริญสติภาวนาเพื่ออยู่กับตนเองอย่างลึกซึ้งได้วิธีหนึ่ง การกล่อมเกลาตนเองให้ละเอียดอ่อน จะทำให้คนทำงานจัดความสัมพันธ์กับผู้อื่นและกับโลกการทำงาน อย่างเข้าถึงองค์รวมของชีวิตได้ดียิ่งๆขึ้น

ก้อนหินกับการสร้างวัฒนธรรมกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ผมมีประสบการณ์กับการอบรมและพัฒนาการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมให้แก่กลุ่มคนทำงานสาขาต่างๆทั้งหลักสูตรในประเทศและนานาชาติหลายกลุ่ม ที่ได้ใช้ก้อนหิน เป็นอุปกรณ์และเครื่องช่วยกำกับกระบวนการนั่งสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเป็นกลุ่ม ในบางโอกาสก็เรียกกิจกรรมและกระบวนการนี้ว่า โทโส TOSO ซึ่งเป็นกิจกรรมกลุ่มนั่งพูดบอกเล่าเรื่องราวต่างๆด้วยตนเอง ในท่ามกลางกลุ่มที่ก้อนหิน จะเป็นกรอบปฏิบัติชุมชนเรียนรู้ ให้เป็นผู้นั่งสดับฟังอย่างลึกซึ้ง

วิธีการกิจกรรมโทโสก็คือ แบ่งกลุ่มผู้เข้าร่วมเวทีต่างๆเป็นกลุ่มเล็กๆกลุ่มละ ๓-๕ คนขึ้นไปและไม่ควรเกิน ๑๕ คน ให้นั่งล้อมเป็นวงกลมแล้ววางก้อนหินไว้กลางวง ๑ ก้อน ก้อนหินดังกล่าวสมมติให้เป็นหลักปฏิบัติร่วมกันของกลุ่ม โดยในกลุ่มทั้งหมดจะสามารถพูดสนทนาในสิ่งที่ตกลงกันได้ก็ต่อเมื่อมีก้อนหินอยู่ในมือเท่านั้น หากผู้ใดต้องการพูดบอกเล่าสิ่งต่างๆ ก็ให้เดินไปหยิบก้อนหินกลางวงมาถือไว้ในมือ

จากนั้น ก็เริ่มพูดสนทนาไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง ผู้ที่อยู่ในวงเดียวกันและไม่ได้มีก้อนหินอยู่ในมือไม่มีสิทธิพูด ต้องเป็นผู้ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อผู้พูดวางก้อนหินลงกลางวง และผู้ใดต้องการพูด ก็เดินไปหยิบก้อนหินมาถือไว้ในมือ ดำเนินไปจนกว่าจะหมดเวลาที่วิทยากรกระบวนการจัดสรรและกำกับเวทีให้ ด้วยกระบวนการง่ายๆอย่างนี้ ผู้ที่พูดไม่ค่อยเป็น ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านไทยหรือต่างประเทศ จะมีสมาธิและอยู่กับตนเองได้ดีขึ้น ผู้นั่งฟังก็เกิดการฟังอย่างลึกซึ้งดีขึ้น ก่อให้เกิดการเรียนรู้เป็นกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพ

กระบวนการที่ใช้ก้อนหินเป็นอุปกรณ์ง่ายๆดังกล่าวนี้ ผมใช้ฝึกอบรมนักวิจัย คนทำสื่อ นักวิจัยชุมชน วิทยากรทำงานเอดส์ และคนทำงานสุขภาพชุมชน ได้ผลเป็นอย่างดีเสมอ

ก้อนหินกับวิถีการวิจัยเชิงสังคม

ท่านอาจารย์ ดร.อุทัย ดุลยเกษม ได้เล่าสาธยายและสะท้อนวิธีคิดในเวทีปาฐกถา ที่เหล่าลูกศิษย์ปริญญาเอกหลายมหาวิทยาลัยได้จัดให้ท่านเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นทรรศนวิพากษ์ทางสังคมที่ท่านเล่าผ่านความเป็นก้อนหินในหลายแง่ ผมนำมาแบ่งปันกับเวทีในบางแง่มุมของการเรียนรู้จากก้อนหินที่ตนเองประทับใจ คือ เมื่อเรียนรู้สังคมอย่าเป็นอย่างก้อนหินที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ร่วมทุกข์สุขกับผู้อื่น เมื่อทำการงานอยู่กับผู้คนและทำงานสร้างคน ให้หนักแน่นอย่างหิน และเมื่อทำงานริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่างๆแก่สังคม ให้ทำตนเองอุปมาดั่งการโยนก้อนหินลงสู่ผิวน้ำ ซึ่งก้อนหินก้อนเล็กนิดเดียว แต่จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดริ้วคลื่นบนผิวน้ำ เกิดความสวยงามแผ่กระจายไปในบึงกว้าง

ท่านอาจารย์ ดร.จันทวรรณ และอาจารย์ขจิตก็ฉายภาพก้อนหิน GotoKnow ที่มีดอกไม้เสียบลงไป เกิดความงดงามเป็นแจกันดอกไม้ ดังนั้น จึงก้อนหิน GotoKnow หากกลวงก็งามเป็นแจกัน หากตันก็เป็นก้อนหิน เป็นหลักคิดต่อของที่ระลึก เพื่อให้เป็นทั้งเครื่องรำลึกถึงความสำเร็จต่างๆของเวที และสามารถนำไปดัดแปลงใช้จัดกิจกรรมเรียนรู้อย่างบูรณาการด้วยตนเองต่อไปได้หลายวิธี.

หมายเลขบันทึก: 482118เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2012 01:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 กันยายน 2013 22:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (43)

สวัสดีครับท่านอาจารย์ วิรัตน์

การฟัง ฟังเรื่องราวของก้อนหินที่อาจารย์ คุยให้ฟังในวงเมื่อวาน

ไม่ซึมซับเหมือนการอ่าน

ยิ่งบรรยากาศของการอ่านในยามนี้ อ่าน คิด พินิจ ใคร่ครวญ ในเรื่องก้อนหิน และวิธีการทำกระบวนพูดคุยแบบโทโส .....

การใช้ก้อนหิน ให้หวนคิดถึงความพิเศษของก้อนหินนี้

นึกไปถึง งานวรรณกรรมเรื่อง "ชีค" ของประภัสสร เสวิกุล ที่เป็น คีเวร์อดของเรื่อง

เป็นการจุดประกายของนักรบแห่งทะเลทราย ที่มีความเหมือนที่แตกต่างว่า" หากคุณเป็นแก้ว เมื่อมีคนพบเห็นแก้วใบนี้ ต้องให้คนเขาถามต่อให้ได้ว่า แก้วใบนี้ เอาทรายจากใหนมาทำเป็นแก้ว

ขอบคุณGotoKnow ที่เป็นพื้นที่แห่งหารแบ่งปัน

ขอบคุณอาจารย์วิรัตน์ที่นำเรื่องมาประเทืองปัญญา

ขอบคุณตัวเองที่ไขว่คว้าหาโอกาส มาเรียนรู้

ก้อนหินมีประโยชน์มากมายมหาศาล ยิ่งมาฟังเรื่องเล่าจากอาจารย์

ผู้ที่ได้ก้อนหินนี้ไป จะได้นำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์ตามที่อาจารย์ได้แนะนำ อย่างน้อยก็ 3 อย่าง

หรือไม่ได้ก้อนหินไป ก็สามารถนำก้อนหินแถวๆๆบ้านไปใช้ได้แน่นอนค่ะ

ก้อนหิน ๓ มิติ.. ก้อนหินแห่งความสงบ เย็น เป็นประโยชน์

ยินดีที่มีโอกาสได้พบอาจารย์ครับ ขอบคุณครับ

ถึงคราวที่ ก้อนหิน จะมีค่า เทียบเพชร

เพิ่งได้เจอกับอาจารย์แบบ F2F เป็นครั้งแรก แต่เหมือนคุ้นเคยกันมานานแสนนาน คุยกับอาจารย์แล้วได้เรียนรู้ลึกซึ้งขึ้น ประทับใจมุมมองและวิธีคิดของอาจารย์อย่างมาก หวังว่าจะได้มีโอกาสเช่นนี้อีก

ก้อนหินน้อยกลอย (จาก) ใจ GotoKnow ^^

                                   

สวัสดีครับ

ขอให้เป็นก่อนหินขาวที่ทั้งกลวงและตันครับ คือกลวงบนและฐานตัน ทำให้เสียบหรือตั้งอะไรก็ตรง ที่สำคัญเป้นก้อนหินสีขาวด้วยครับ

ฉับไว(รายงานออกอากาศ)
เฉียบคม
ลึกซึ้ง
หนักแน่น

สวัสดีครับบังวอญ่า

ดีใจที่ได้พบและสนทนากับบังวอญ่าอีกครั้ง ชี๊ค เป็นหนึ่งในหลายเล่มของงานของประภัสสร เสวิกุลที่ได้อ่าน งานของทูตนั้นมีวัตุดิบเพื่อการเล่าเรื่องอย่างมั่งคั่งมาก นอกจากการทูตเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ระหว่างมิตรประเทศต่างๆแล้ว การถ่ายทอดสิ่งต่างๆมาสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อซาบซึ้งสังคมและชีวิตในโลกกว้าง ก็นับว่าเป็นทูตทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่สานสังคมได้อย่างลึกซึ้งยาวนาน

ขอร่วมดีใจกับบังวอญ่าที่ได้รับก้อนหินแจกัน GotoKnow ไปด้วย ๑ ก้อนครับ

สวัสดีครับคุณแก้วอุบลครับ
หากใช้หินที่มีน้ำหนักพอมือและไม่มีแง่งคมสะดุดความรู้สึกเมื่อสัมผัส เช่น หินแม่น้ำ ก็จะดีและพอหาได้ง่ายๆครับ เมื่อนำวิธีเจริญสติและทำสมาธิระหว่างการสัมผัสก้อนหิน ผู้ที่ถือก้อนหินจะรู้สึกมีน้ำหนักของหินช่วยการอยู่กับอารมณ์กำหนดรู้เป็นอารมณ์หนึ่งเดียว ทำให้เล่าถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆได้ดี แต่วิธีอย่างนี้ก็จะเหมาะสำหรับชาวบ้านและคนทำงานที่ไม่ค่อยกล้าคิดและแสดงออก ไม่คุ้นเคยและไม่ค่อยมีความมั่นใจเมื่อต้องบอกเล่าความรู้สึกนึกคิดกับคนอื่น ส่วนคนทำงานที่มีทักษะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมีทักษะการสื่อสารดี ก็อาจจะมีวิธีอื่นที่ใส่ลูกเล่นได้ดีกว่า

สวัสดีครับอ.นุครับ
ดีใจที่ได้พบอ.นุ ครับ อ.นุเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวยิ่งกว่าที่เห็นรูปในบล๊อกเยอะเลย

สวัสดีครับครูอ้อยครับ
เป็นเพชรประดับเรือนใจ ส่องประกายสดใส
เป็นพลังใจจากใจสู่ใจกันและกันเลยใช่ไหมครับ

สวัสดีครับท่านอาจารย์วัลลาครับ
ดีใจครับที่ได้พบและได้แสดงความคารวะอาจารย์ ประทับใจสไตล์นักบริหารอย่างอาจารย์จังเลยครับ

สวัสดีครับอาจารย์ณัฐพัชร์ครับ
เป็นชื่อก้อนหิน ที่ทำให้สิ่งแข็งๆ ดูอ่อนโยนและอ่อนหวานโดยพลันเลยนะครับ

สวัสดีครับท่านทูตครับ
ได้ทั้งการเรียนรู้จากก้อนหิน และการสะท้อนคิด
สร้างแรงบันดาลใจเพื่อการดำเนินชีวิตอย่างก้อนหิน
ที่กอปรด้วยทั้งความดีและความงามเลยนะครับ

กราบนมัสการท่านพระอาจารย์มหาแลครับ
เป็นการโยนก้อนหินก้อนเล็กๆให้เกิดริ้วไหวงามๆ
ด้วยความสั้นกระทัดรัดเลยนะครับเนี่ย

ลึกซึ้งมากครับอาจารย์ คารวะหนึงจอกกาแฟ เย้ๆๆ ที่พี่เหมียวถ่ายภาพมีใครกลมๆๆครับอาจารย์ ฮา

รูปของท่านเหมียวนี่ ดูๆไปแล้วก็เหมือนกับหมอเวทย์มนต์กำลังยืนมือบริกรรมคาถา
เรียกดวงวิญญาณให้ลงไปในก้อนหินเหมือนกันนะครับน่ะ ไม่รู้ว่าจะโดนวิญญาณดวงที่ยืนอยู่หรือนั่งตัวกลมงุดๆอยู่นะครับ แต่ดูนิ้วมือที่ชี้แล้วดูจะเลยไปหมดทั้งผมกับอาจารย์นะครับ ฮ่าาา

เป็นการเติมคุณค่าที่ยอดเยี่ยม นี่แหละมูลค่าเพิ่มของจริง สมแล้วครับ..มือหนึ่งด้านมวลชน ..ขออนุญาติชื่นชม นะครับอาจารย์

ผมไม่ได้คิดถึงกรณีบริกรรมคาถาเลย แต่อาจารย์บอกแล้วคิดถึงทันที 55555

เป็นของที่ระลึกที่สะท้อนการผ่านการทำงานความคิด วางคอนเซ็ป มาอย่างดีเลยนะครับ อย่างในบันทึกรายงานกิจกรรมนี้ ก็สามารถสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้อย่างลึกซึ้งดีจริงๆ เป็นสื่อที่ใช้แลกเปลี่ยนเรียนรู้มิติเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะต่อจิตใจและต่อความเป็นองค์รวมชีวิตของมนุษย์ สอดคล้องกับเวทีประชุมระดับชาติครั้งนี้ได้ดีจริงๆครับ

ผมชอบตรงที่เป็นเซรามิคแบบฟรีฟอร์มด้วยแน่ะครับอาจารย์
ดูเป็นธรรมชาติ บันทึกร่องรอยธรรมชาติ
และสื่อสะท้อนจินตนาการให้เกิดความดีๆได้ดีจริงๆนะครับ

  • เมื่อใดที่ได้ฟังอาจารย์พูดแล้ว
  • สมองเริ่มทำงานทันทีเลยครับ
  • ชอบมากครับที่ฝึกการอ่านให้ได้มากกว่าอ่าน ฟังให้ได้มากกว่าที่ได้ยิน แล้วต้องทำอย่างไรหรอครับในขั้นแรก? 

เข้าท่าแฮะเจ้าวศิน จากที่เคยสนทนาที่สะท้อนรสนิยมชีวิต การเลือกประสบการณ์ชีวิต และวิธีคิด วิธีมองโลกรอบข้างของวศินนั้น ผมว่าวศินมีพื้นสำหรับทางนี้ในตนเองอยู่แล้วนะครับ จะลองแนะนำบางวิธีนะครับ

๑.การจัดระบบคิด ๓ ระนาบ ๓ มิติ ในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามา

  • การเข้าถึงความจริงของสิ่งต่างๆอย่างที่เห็น อย่างที่เป็น เห็นให้ทั่วอย่างตรงไปตรงมา รับรู้และเข้าใจบนข้อเท็จและข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น เห็นส้ม ๔ ผล สีเหลืองทอง ใส่จานสะอาด เป็นส้มซื้อมาจากภูมิภาคอื่น เป็นส้มนำเข้าจากต่างประเทศ ฯลฯ.................
  • เข้าถึงความหมายของสิ่งนั้น เช่น ส้ม ๔ ผลในทางวัฒนธรรมของชาวจีน เป็นสิ่งมงคล เป็นเครื่องหมายของความมีโชค ความสมานสามัคคีของญาติพี่น้อง ความกตัญญูต่อวงศ์ตระกูล ฟ้าดิน ฯลฯ ............
  • เห็นความเชื่อมโยงและนัยสำคัญของสิ่งนั้นต่อสังคมและความเป็นจริงอันซับซ้อน เช่น ส้มนำเข้าจากต่างประเทศเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงผลกระทบต่อการจัดการผลผลิตกับการตลาดของส้มและผลไม้ของเกษตรกรไทย ยิ่งใช้และบริโภคส้มจากต่างประเทศ แม้เป็นการปฏิบัติความดี แต่ก็เป็นวิถีบริโภคที่ทำให้ระบบสังคมโดยส่วนรวมอ่อนแอ ไม่ยั่งยืน ฯลฯ...........

ระดับแรกเป็นวิธีคิดที่ใช้ได้ระดับสร้างความรู้ความจำ ระดับที่สองเป็นความเข้าใจ ระดับที่สามเป็นปัญญาและการมีวิจารณญาณ สามารถฝึกฝนแผนที่ระบบจัดการความรู้อย่างนี้ในหัว จะทำให้วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลปรากฏการณ์ต่างๆที่มีความซับซ้อนได้ดีครับ

๒.การสั่งสมข้อมูลประสบการณ์ที่รอบด้าน

ทั้งสามระดับนั้น จะเห็นว่ายิ่งเราสามารถมีข้อมูลเพื่อทำความรู้จักและสามารถจำแนกแยกแยะได้ด้วยหลักเกณฑ์ที่ละเอียดอ่อน หลากหลาย ซับซ้อน และยืดหยุ่นไปกับโลกความเป็นจริงได้มากเท่าใด เราก็จะสามารถเห็นสิ่งต่างๆด้วยความรู้และเห็นด้วยสายตาทางปัญญาได้มากยิ่งๆขึ้น

  • อ่านและศึกษาค้นคว้าเรื่องต่างๆอยู่เสมอ อย่ารู้จักเพียงความรู้และตำราเพื่อใช้สอบได้ปริญญา เห็นโลกกว้างด้วยความรู้และงานทางความคิด
  • ทำกิจกรรม ใช้ชีวิตทางการเรียนรู้ และขวนขวายมีประสบการณ์ชีวิตให้กว้างขวางที่สุด
  • ทำการงาน ดำเนินชีวิต และปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ด้วยการมีการเรียนรู้และได้คิดอยู่เสมอๆ ดำเนินไปอยู่บนมรรควิถีของการเรียนรู้ผ่านการทำงานและดำเนินชีวิตที่จริงจัง
  • สดับฟังผู้รู้ เปิดรับสื่อเพื่อการเรียนรู้ ดูหนังฟังเพลง สัมผัสบันทึกและการถ่ายทอดประสบการณ์ของมนุษย์ที่ใช้ภาษาใจในสังคมวัฒนธรรมต่างๆ
  • มีวัฒนธรรมกลุ่มในการพูดคุยและแบ่งปันสิ่งต่างๆให้กันอยู่ในชีวิตหลากหลาย

องค์ประกอบที่สองนี้ จะช่วยให้เรามีมุมมองและสายตาที่ดี สามารถเข้าถึงความหมาย ขบปัญหา ชี้นำตนเองและผู้อื่นไปสู่วิถีปฏิบัติ(Aproach) ที่สร้างสรรค์ดีๆอยู่เสมอๆ แม้นในสิ่งเดียวกันก็จะสามารถมองเห็นโอกาสที่แตกต่างไปจากคนอื่นได้

๓. การฝึกฝนและอบรมชีวิตด้านใน

  • ทำสมาธิ เจริญสติภาวนา เพื่อเป็นกำลังแห่งสติ การมีสติทำให้เราสามารถรู้สึกและคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆได้ดี การอยู่ในปราการณ์ต่างๆแม้นเป็นกระบวนการเรียนรู้และการทำงานที่สำคัญ ระดับการครองสติกับความเป็นสมาธิอยู่ระดับไหน ก็จะนำไปสู่การรับรู้และการเรียนรู้ได้ในระดับนั้นๆ หากฝึกวิธีคิดได้ ๓ ระดับ แต่อยู่ในภาวะสติอ่อนกำลัง ก็ใช้วิธีคิดที่ซับซ้อนไม่ได้ ดังนั้น การฝึกสิ่งนี้จะช่วยเป็นวิธีบริหารจัดการภายในตนเองได้ครับ
  • ทำงานศิลปะและงานที่สะท้อนใจเพื่อการได้ฝึกฝนอยู่กับตนเอง เห็นตนเอง และเห็นการเคลื่อนไหวสายธารชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเชื่อมโยงกับโลกภายนอก เป็นการฝึกตามองเข้าไปด้านใน การเห็นความหมายระดับคุณค่าและความหมายระดับความเชื่อมโยง ต้องมีจิตใจที่ละเอียดลึกซึ้ง ใคร่ครวญได้ต่อเนื่อง การฝึกตนเองไว้อย่างนี้จะทำให้เห็นและรู้สึกได้ต่อสิ่งที่ไม่ปรากฏ ได้ยินเสียงที่ไม่มีเสียง เห็นความหมายระหว่างบรรทัด
  • ฝีกความละวางและปล่อยว่าง ฝึกความไม่ติดยึดกับสิ่งต่างๆ ฝึกความปลอดโปร่งโล่งใจ ฝึกความเบิกบานรื่นรมย์ใจ ให้เป็นกำลังที่พอเพียงอยู่เสมอที่จะโน้มนำจิตใจไปสู่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นโอกาสดีๆของตนเองและผู้อื่น

คงจะเป็นทักษะอย่างหนึ่งสำหรับการเข้าถึงสิ่งต่างๆได้อย่างแยบคายลึกซึ้งได้มากยิ่งๆขึ้นของตัวเราเองนะครับ

 

*ขอบคุณภาพและเรื่องสะท้อนการพบที่มีคุณค่าของกัลยาณมิตรแห่ง G2K

*ประทับใจวิธีการเล่าและการเปรียบเทียบที่มีคุณค่าของเวทีดีๆนี้ค่ะ

 

     น้องดร.ขจิต น้องอ.นุ น้องกล้วยไข่ และหลานวศิน มาร่วมกันฟังพี่ใหญ่ถอดบทเรียนชีวิตนอกรอบที่ ร้านอาหารในบริเวณตึก SCB เมื่อค่ำคืนวันที่ 15 มีนาคมนี้ หลังจากทั้ง 4 คนเดินทางกลับมาจากงาน 13th NHA Forum ที่เมืองทองธานี ซึ่งพี่ใหญ่ติดภารกิจไม่ได้ไปร่วมด้วย

   เป็นอีกหนึ่งโอกาสดีๆที่มีคนรุ่นใหม่ ยอมนั่งฟังผู้สูงวัย (แต่กาย ใจยังสาว) เล่าเรื่องเก่าๆเกี่ยวกับการผจญชีวิตในงานอาชีพ ที่ยังไม่เลือนไปจากความทรงจำ แม้จะก้าวผ่านเวลานั้นมาแล้ว เกือบ15 ปี

ก้อนหินดังกล่าวสมมติให้เป็นหลักปฏิบัติร่วมกันของกลุ่ม

โดยในกลุ่มทั้งหมดจะสามารถพูดสนทนาในสิ่งที่ตกลงกันได้ก็ต่อเมื่อมีก้อนหินอยู่ในมือเท่านั้น

หากผู้ใดต้องการพูดบอกเล่าสิ่งต่างๆ ก็ให้เดินไปหยิบก้อนหินกลางวงมาถือไว้ในมือ

...

เป็นประโยชน์มากค่ะ ได้เทคนิคง่ายๆ ในการจัดกิจกรรมสนทนาฟังกันอย่างลึกซึ้งด้วย

เห็นบรรยากาศ และ แจกันหินแล้ว เสียดายจริงๆ ที่ไม่ได้ไป

สวัสดีครับอาจารย์วิรัตน์ครับ

 สิ่งที่อาจารย์เขียนให้อ่านนั้น ทำให้รู้ได้ว่า....แม้เพียงสิ่งเล็กน้อยในความรู้สึก แต่คุณค่าที่แสดงให้เห็นสูงนัก

"ก้อนหินก้อนเล็กนิดเดียว แต่จะสามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดริ้วคลื่นบนผิวน้ำ เกิดความสวยงามแผ่กระจายไปในบึงกว้าง"

ขอบคุณมากนะครับอาจารย์วิรัตน์ครับ

 

 

สวัสดีครับพี่ใหญ่ครับ
เป็นการถอดบทเรียนนอกรอบ ที่ให้ภาพงดงามดีจังเลยครับ

สวัสดีครับอาจารย์หมอ ป.ครับ
เทคนิคเชิงกระบวนการเหล่านี้ น่าสะสมรวบรวมไว้เผยแพร่ให้กับคนทำงานเหมือนกันนะครับ ผมเคยรวบรวมไว้จำนวนหนึ่ง หากมีโอกาสและไม่ลืม จะค่อยๆนำมาสะสมไว้เรื่อยๆอีก

สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดีครับ
บันทึกและความบันดาลใจดีๆจากผู้เขียนบันทึกใน GotoKnow นี่ จะว่าไปก็เหมือนกับเป็นเพียงหินก้อนเล็กๆเท่านั้นนะครับ แต่หินก้อนเล็กๆก็สร้างแรงกระเพื่อมอันงดงามได้

เป็นบ่ายที่ได้ซึมซับความรู้และภูมิปัญญาจากก้อนหินน้อยๆของgotoknowอีกวันหนึ่ง

=ขณะนั่งรอ...ตรวจสภาพรถเพื่อเดินทางไกล=

รักษาสุขภาพและเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะครับอาจารย์

ขอให้มีความสุข รื่นรมย์และหรรษาไปกับการได้เดินทางครับคุณแสงแห่งความดี

...

หากจะนำก้อนหินไปเขวี้ยงหัว
คงระรัวทางลบพบจุดหมาย
หินมันแข็งอย่างไรเจ็บเจียนตาย
มิอาจลดละลายตัวอัตตา

หากนำหินสักก้อนเอามาถือ
วางไว้ที่ฝ่ามือแล้วเดินถาม
หินก้อนนี้มีประโยชน์น่าติดตาม
แลกเปลี่ยนงานการเรียนรู้เชิดชูคน

...

(โพสจากแม่ลาน้อย แม่ฮ่องสอน ครับท่านพี่)

ท่านอาจารย์ Wasawat Deemarn
กวีย่านถนนช้างเผือกท่านว่ามา......

หากจะนำก้อนหินไปเขวี้ยงหัว
คงระรัวทางลบพบจุดหมาย
หินมันแข็งอย่างไรเจ็บเจียนตาย
มิอาจลดละลายตัวอัตตา

หากนำหินสักก้อนเอามาถือ
วางไว้ที่ฝ่ามือแล้วเดินถาม
หินก้อนนี้มีประโยชน์น่าติดตาม
แลกเปลี่ยนงานการเรียนรู้เชิดชูคน

..............

กวีจำเป็นอย่างผมเลยต้องต่อความคิดกันสักหน่อยสิ
..............

เป็นก้อนหินที่เรียงร้อยชีวิตงาม
ลิขิตความถ่ายทอดขยายผล
เป็นริ้วคลื่นเรียนรู้สู่ผองชน
คือก้อนหิน กลิ้งสร้างคน สร้างไทย

..............

สวัสดีครับท่านอาจารย์ ดร.จันทวรรณครับ
เมื่อวานผมพยายามติดต่ออาจารย์ เพราะอยากประสานงานให้คณะทำงานเตรียมผู้บริหารรุ่นใหม่ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เชิญอาจารย์, อาจารย์ ดร.วัลลา อาจารย์หมอ JJ และอาจารย์หมอสกล ไปนั่งถ่ายทอดภาวะผู้นำทางการสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการผสมผสาน เหมือนบรรยากาศที่เวที GotoKnow ในงาน HA Forum คุยกัน แต่ระหว่างรอได้รับการติดต่อกลับนั้น ก็หารือกันไปพลางๆด้วยครับ พอดูระยะเวลาที่จะต้องประสานงานและให้ข้อมูลวิทยาการแต่ละท่าน รวมทั้งระยะเวลาจัดงานที่จำกัดไม่กี่ชั่วโมง ผมก็เลยคิดว่าที่จะทำใหมากเรื่องและทำให้ผู้ประสานงานวุ่นวายไปเปล่าๆ เลยจะดำเนินการตามที่วางแนวไว้แต่เดิมคือจัดเวทีและกลุ่มให้ผู้เข้าร่วมประชุมชนได้นั่งสนทนากันให้ดีที่สุด อาทิตย์หน้านี้เลยจะไปช่วยชาว มอ.ด้วยใจเลยละครับ

ก้อนหิน หนักแน่น หนาแน่ ชาว Blogger มั่นคง สร้างสานตำนานแห่งชีวิต นำมาลิขิต สู่ LO ครับ

ขอบพระคุณครับอาจารย์ ดร.จันทวรรณครับ
รูปถ่ายของอาจารย์นี่ทั้งมีความหมายและดูสวยงามไปหมดทุกอย่างเลยละครับ ทั้งแมวไทย ดอกไม้ ก้อนหิน แจกัน และบทธรรมของท่านติชห์ นัท ฮัน ที่กล่าวว่า....อัญมณีและดวงแก้วงดงามเลอค่านั้นมีอยู่แล้วอยู่ในตัวเราทุกคน เราสามารถเห็นความมหัศจรรย์นั้นได้ด้วยลมหายใจอันอ่อนโยนแผ่วเบาเท่านั้น...

สวัสดีครับอาจารย์หมอ JJ ครับผม
ทำไมอาจารย์แวะเข้ามานี่ ผมให้รู้สึกดีใจอย่างกับเห็นเทวดาและมิตรแก้วเดินขึ้นชานเรือนขึ้นมาในขณะวงสนทนากำลังอวลไปด้วยความสนุกรื่นรมย์เลยละครับ แล้วก็ช่างพอเหมาะพอดีครับ แง่คิดของอาจารย์ บวกกับบทธรรมท่านติชห์ นัท ฮัน จากอาจารย์ ดร.จันทวรรณ ... ก้อนหิน GotoKnow หนักแน่นและแข็งแกร่ง ด้วยลมหายใจอ่อนโยนและแผ่วเบา ... ลึกซึ้งดีครับ

ขอบพระคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาในบันทึกรายงานเวที GotoKnow นี้อย่างคึกคักมีชีวิตชีวา จัดว่าเป็นริ้วคลื่นที่แผ่กระจายต่อเนื่องของผู้ที่มีวิธีเข้าร่วมเวทีมาจากทุกหนแห่งอย่างหนึ่ง สามารถเห็นภาพของการเป็นก้อนหินเล็กๆของคนที่ใช้ GotoKnow เชื่อมต่อตนเองกับสังคมการสื่อสารแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีเลยนะครับ

มาชื่นชมคุณค่าและความงามของก้อนหิน  ยังได้เรียนรู้ข้อคิดคติธรรมจากก้อนหิน เพื่อความเจริญในสติ ไปพร้อม  ความงามอยู่ที่คนเห็น นะคะท่านอาจารย์ 



สวัสดีครับคุณอุ้มบุญครับ
ความงามและความซาบซึ้งต่อสิ่งต่างๆ เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่มีบริบทจำเพาะน่ะครับ
สามารถเรียนรู้และพัฒนาขึ้นในตนเองของทุกคนได้ ในแง่หนึ่งจึงเป็นเรื่องจำเพาะตน  สามารถทำแล้วก็ได้แก่ตนเอง แล้วค่อยสะท้อนออกไปแบ่งปันกับผู้อื่นผ่านการทำสิ่งที่ก่อเกิดจากจิตใจที่อิ่มด้วยความงาม คุณอุ้มบุญสบายดีนะครับ มีความสุขมากๆครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท