-
ความหมาย และประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย
หากจะกล่าวถึง “ การทำบัญชี” กับบุคคลทั่วไปมักจะนึกถึงสมุด ตัวเลข และการทำบัญชีสำหรับพ่อค้า แม่ค้าเพื่อบันทึกรายการรับเงิน จ่ายเงิน รายการค้างจ่ายเจ้าหนี้และรายการค้างรับลูกหนี้ ซึ่งการบัญชีตามความหมายของบุคคลดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของการบัญชีตามหลักวิชาการเท่านั้น ( พิเชษฐ์ หลั่งทรัพย์ 2545 : 114 ) ซึ่งสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยได้ให้ความหมายของ
การทำบัญชีไว้ คือ ศิลปะของการเก็บรวบรวม บันทึก จำแนกและทำสรุปข้อมูล อันเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจในรูปตัวเงิน ผลงาน
ขั้นสุดท้ายของการบัญชี คือ การให้ข้อมูลทางการเงินซึ่งเป็นประโยชน์แก่บุคคลหลายฝ่าย และผู้ที่สนใจในกิจกรรมของกิจการ จากคำนิยาม
ดังกล่าวสามารถนำมาสรุปให้ความหมายง่าย ๆ ของการทำบัญชีได้ดังนี้
การทำบัญชี เป็นการจดบันทึกรายการค้าต่างๆที่เกี่ยวกับการรับเงินจ่ายเงิน สิ่งของและสิทธิที่มีมูลค่าเป็นเงินไว้ในสมุดบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบถูกต้องตามหลักการบัญชี ซึ่งผู้ทำบัญชีเป็นผู้มีหน้าที่ในการทำบัญชีตามลำดับขั้นตอน (ในที่นี้ หมายถึง ผู้ประกอบกิจการค้า) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล จดบันทึกรายการ การจำแนกแยกประเภท และการสรุปข้อมูล โดยจัดทำรายงานทางการเงินเพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกิจการในระยะเวลาหนึ่ง ๆ แต่การทำบัญชีที่ใช้ในการเรียนการสอนรายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยีนี้ จะเป็นการทำบัญชีเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเก็บรวบรวม ข้อมูล จดบันทึกรายการ การจำแนกแยกประเภท และการสรุปข้อมูลเพื่อให้ทราบผลการปฏิบัติงานการทำอาหารในแต่ละครั้งว่าควรจะมีกำไรเท่าไร ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดจำหน่ายของอาหรที่ทำในครั้งนั้น ๆ ได้
ประโยชน์ของการทำบัญชีสำหรับกิจการค้ามีดังนี้
1. เพื่อจดบันทึกรายการค้าที่เกิดขึ้นในงวดบัญชีหนึ่งๆโดยบันทึกก่อนและหลังที่ราคารายการค้านั้นๆเกิดขึ้นและจัดประเภทของรายการค้าเหล่านั้น
2.เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลทางการเงินที่ใช้ควบคุมรักษาทรัพย์สินของกิจการค้าที่มีอยู่ให้ถูกต้องตรงกันทั้งในบัญชีและความเป็นจริง
3. เพื่อค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อวางนโยบายการค้า และควบคุมให้การค้ามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการปฏิบัติงาน เพราะสามารถตรวจสอบได้ภายหลัง
5. เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการเสียภาษี
6. เพื่อจำแนกประเภทที่เกิดขึ้นในสมุดบัญชี ทำให้สามารถทราบผล การดำเนินงานระหว่างงวดหนึ่ง ๆ ว่ามีกำไร หรือขาดทุน
ึ7. เพื่อให้ทราบฐานะกิจการค้าในวันใดวันหนึ่งว่ามีทรัพย์สินหนี้สินอะไรบ้างเป็นจำนวนเท่าใด
2. หลักการทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย
หลักการทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายที่ใช้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบันทึกการทำบัญชีอย่างง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากเป็นการทำบัญชีเพื่อมุ่งเน้นให้ทราบผลการปฏิบัติงานการทำอาหารในแต่ละครั้งนั้น ผู้เรียนจำเป็นจะต้องวิเคราะห์รายการต่าง ๆได้ดังนี้
2.1 รายรับ หมายถึง ยอดรวมจำนวนเงินที่มาจากแหล่งต่าง ๆ โดยได้รับในรูปของ
เหรียญกษาปณ์ เงิน หรือเช็ค เช่น เงินที่ได้จากการขายสินค้า เงินเดือน ค่าจ้าง กำไร รางวัล เป็นต้นสำหรับรายรับในการปฏิบัติงานของผู้เรียน หมายถึงเงินที่ได้จาก การกำหนดราคาขายของ ผลงานที่ทำในครั้งนั้นๆ โดยอาจจะได้มาในรูปของตัวเงิน หรือเป็นเฉพาะการบันทึกไว้เป็นข้อมูล
2.2 รายจ่าย หมายถึง การนำเงินไปใช้จ่ายในการซื้อสินค้า ในที่นี้หมายถึง สินค้าที่นำมาเป็นส่วนประกอบในการปฏิบัติงาน เช่นค่าวัสดุต่างๆ ค่าเชื้อเพลิง ค่าอุปกรณ์ เครื่องใช้ที่สึกหรอในการทำงานแต่ละครั้ง ค่าแรงงานและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
2.3 เงินคงเหลือ หมายถึง การนำยอดเงินรายจ่ายไปหักออกจากเงินรายรับก็จะได้จำนวนเงินที่เรียกว่า เงินคงเหลือ หรือเป็นการนำรายการคำนวณค่าใช้จ่ายวัสดุที่ใช้จริงหักออกจากรายการซื้อวัสดุทั้งหมด เมื่อได้ทำการวิเคราะห์รายการค้าแล้ว ก็นำรายการที่วิเคราะห์ได้มาบันทึกรายการในบัญชีดังตัวอย่างที่ 1 และตัวอย่างที่ 2 จะนำรายการของการทำ “ขนมสาลี่กรอบ” ในบทที่แล้วมาจัดทำ )
ตัวอย่างที่ 1 การทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ( ในกรณีใช้วัสดุในห้องปฏิบัติการ ) และไม่ได้จำหน่ายจึงต้องใช้วิธีการเก็บเงินจากสมาชิกแทนรายรับที่จะได้ เแต่หากจำหน่ายจริงเงินคงเหลือก็จะมีมากกว่าจำนวนที่ปรากฎอยู่ในตัวอย่างนี้
วัน เดือน ปี
|
รายการ
|
รายรับ
บาท / สตางค์
|
รายจ่าย
บาท / สตางค์
|
คงเหลือ
บาท / สตางค์
|
13 มิ.ย. 46
|
แป้งสาลี 300 กรัม
น้ำตาลทราย 700 กรัม
ไข่ไก่ 6 ฟอง
มะพร้าว 500 กรัม
กลิ่นวานิลา 10 มล.
กระทงกระดาษ 60ใบ
ค่าภาชนะบรรจุ
รวมรายจ่าย
รับเงินสมาชิกในกลุ่ม
5 คนคนละ 12 บาท รวม
หรือ ผู้เรียนนำขนมไปจำหน่ายจะได้เป็นจำนวนเงิน
หักค่าใช้จ่ายข้างต้น
**เงินคงเหลือ**
|
60
120
|
9.60
14-
18-
8.50
3.40
2.70
3
58.20
60
|
-
-
-
-
-
-
-
-
*0.80
**60**
|
* รายการคงเหลือ 0.80 บาท ตามหลักความเป็นจริงผู้เรียนจะไม่รับเงินทอน และครูเองก็จะรวบรวมเงินเพื่อใช้ในการหมุนเวียนซื้อเครื่องปรุงแห้งต่อไป *
** เงินคงเหลือ** 60 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่าย ผู้เรียนอาจจะนำไปเป็นเงินทุนในครั้งต่อไป หรือจะเฉลี่ียคืนให้สมาชิกในกลุ่มก็ได้
การบันทึกบัญชีรายรับ – รายจ่ายดังตัวอย่างเป็นการบันทึกรายการรายจ่ายเฉพาะรายจ่ายค่าวัสดุที่ได้จากการคำนวณค่าใช้จ่ายในการขนมสาลี่กรอบ ซึ่งวัสดุต่าง ๆ ผู้เรียนจะได้
รับจากห้องปฏิบัติการที่ครูเตรียมไว้ให้ จากการคำนวณค่าใช้จ่ายและการกำหนดราคาหรือค่าบริการในบทที่แล้ว โดยผู้เรียนไม่ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายจำพวก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊สหุงต้ม และวัสดุเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แต่ในกรณีที่ผู้เรียนดำเนินกิจการค้าจริง สิ่งต่าง ๆที่กล่าวมาแล้ว ผู้เรียนจำเป็นจะต้องนำไปคำนวณด้วย
การกำหนดราคาขาย ทำได้โดยการนำราคาทุนรวมกับกำไรที่ต้องการคือ 87 + 17.40 = 104.40 ซึ่ง 104.40 คิดจำนวนเต็มได้ 105 บาทและราคา 105 บาทนี้ จะเป็นราคาที่ต้องขายขนมสาลี่กรอบให้ได้ เป็นอย่างต่ำหากผู้เรียนนำขนมไปจำหน่ายจริง ผู้เรียนอาจจะนำไปจำหน่ายได้ราคา 120 บาทเพราะได้ขนมจำนวน 60 ลูก ราคาต่อหน่วยของขนมที่จะจำหน่าย คือ 1.75 บาท ซึ่งในทางปฏิบัติจริงจะไม่นิยม เพราะไม่สะดวกในการทอนเงิน
ตัวอย่างที่ 2 การทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย ( ในกรณีที่จัดซื้อวัสดุเอง )
แต่ในห้องปฏิบัติการครูจะไม่ใช้วิธีการนี้ เพราะทำให้ผู้เรียนสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย แต่ผู้เรียนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ เพราะผู้เรียนต้องนำไปใช้หากผู้เรียนเป็นผู้ประกอบการ
วัน เดือน ปี
|
รายการ
|
รายรับ
บาท / สตางค์
|
รายจ่าย
บาท / สตางค์
|
คงเหลือ
บาท / สตางค์
|
13 มิ.ย. 46
|
แป้งสาลี 1 ก.ก.
น้ำตาลทราย 1 ก.ก.
ไข่ไก่ 6 ฟอง
มะพร้าว 500 กรัม
กลิ่นวานิลา 1 ขวด
กระทงกระดาษ 1 แถว
ถุงพลาสติก 0.5 ก.ก.
รวมรายจ่าย
รายจ่ายจากการคำนวณ
ค่าใช้จ่ายจริงรวม
วัสดุเหลือใช้คิดเป็นเงิน
|
|
32 -
20 -
18-
8.50
155 -
36 -
33 -
302.50
58.20
|
-
-
-
-
-
-
-
-
-
244.30
|
* ในที่นี้ยังไม่รวมค่าแก๊สหุงต้มอีกด้วย*
ในกรณีที่จัดซื้อวัสดุเองจะเป็นการทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายที่ผู้ประกอบการค้าในที่นี้หมายถึงผู้ประกอบการค้าอาหารซึ่งจะต้องทำกิจกรรมการค้าอาหารนั้น ๆ อย่างสม่ำเสมอ และอาจจะเป็นตัวของผู้เรียนเองก็ได้ในอนาคต จึงจำเป็นจะต้องรู้หลักการบันทึกบัญชีรายรับ –รายจ่าย
3. ขั้นตอนการทำรายรับ – รายจ่าย
การทำบัญชีรายรับ – รายจ่ายในการปฏิบัติงานการทำอาหารในแต่ละครั้งผู้ทำบัญชีควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้
3.1 รวบรวบข้อมูลทางการเงินโดยทบทวนจากรายการซื้อวัสดุต่าง ๆ ในการปฏิบัติงานแต่ละครั้ง
3.2 จดบันทึกรายการลงในบัญชี ( รายการต่าง ๆ นำมาจากการซื้อวัสดุต่างๆที่เป็นตัวเงินในการปฏิบัติงานแต่ละครั้ง )
3.3 คาดคะเนรายรับที่เป็นตัวเงิน ได้จากการคิดหากำไร การกำหนดราคาหรือค่าบริการในการปฏิบัติงานครั้งนั้น ๆ
3.4 การสรุปผล เป็นการนำข้อมูลที่จดบันทึกไว้แล้วมาสรุปเป็นรายงานทางการเงินซึ่งเป็นการแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงิน
ในกรณีนี้หมายถึงการมีผลกำไร หรือการประสบกับสภาวะการขาดทุนหลังจากที่ได้ดำเนินกิจการค้านั่นเอง
4. การจดบันทึกการปฏิบัติงาน
การจดบันทึกการปฏิบัติงาน เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้จากผลงานของการปฏิบัติงานในแต่ละครั้งเพื่อให้ทราบว่าได้ทำอะไร
ผลเป็นอย่างไร มีปัญหาอุปสรรคอะไร และได้แก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการปฏิบัติงานครั้งต่อๆไป ฉะนั้นการจดบันทึกการปฏิบัติงานจะต้องบันทึกให้เข้าใจง่าย สามารถสื่อความหมายได้ตรงกันระหว่างผู้อ่านและผู้บันทึก การจดบันทึกการปฏิบัติงานทุกครั้ง
จะต้องมีการอ่านทบทวนซ้ำอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องโดยให้ผู้อื่น (สมาชิกที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน) ลองอ่านแล้วตีความทั้งนี้เพื่อเป็นการประเมินผลของผู้จดบันทึกด้วยว่า การจดบันทึกการปฏิบัติงานในครั้งนั้น ๆ มีผู้อื่นเข้าใจความหมายมากน้อยเพียงใด
ตัวอย่างที่ 3 การบันทึกผลการปฏิบัติงาน
ขนมสาลี่กรอบ
ผลงานปฏิบัติ / ลักษณะผลงาน
ขนมสาลี่กรอบ เป็นขนมไทยที่ใช้รับประทานกับ น้ำชา หรือเป็นของหวานมีลักษณะเป็นถ้วย ๆ มี น้ำตาลทรายโรยหน้า สีน้ำตาล -เหลือง มีความกรอบสามารถเก็บไว้ได้หลายวัน โดยไม่เสีย รสชาติหวาน มัน กรอบ หอม ได้จำนวน 60 ชิ้น
ปัญหา / อุปสรรค
ขนมมีสีน้ำตาลเหลือง ไม่ได้ตามต้องการ
ข้อเสนอแนะ
ควรติดเตาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมไฟให้ได้อุณหภูมิที่ต้องการ และไม่เสียเวลา ก่อนการนำขนมไปอบ
|
5. ความหมาย และประโยชน์ของการประเมินผล
การประเมินผล หมายถึง กระบวนการตีความหมาย และตัดสินคุณค่าจากสิ่งที่วัดสำหรับประโยชน์ของการประเมินผลมีดังนี้
5.1 เพื่อให้ทราบผลการตัดสินของสิ่งที่วัด
5.2 เพื่อให้ทราบความก้าวหน้าของสิ่งที่ทำ
5.3เพื่อนำผลที่ได้รับไปใช้ในการปรับปรุง และพัฒนา
6. แนวทางการประเมินผล
แนวทางการประเมินผลทางด้านอาหาร แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
6.1 ด้านคุณภาพของอาหาร
คนเราเมื่อจะเลือกกินอาหาร มักจะต้องใช้ประสาทสัมผัสทางกายภาพทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ประสาทเกี่ยวกับการมองเห็น การสัมผัส การได้กลิ่น การรู้รส และแม้กระทั่งการได้ยิน เช่นในการทำข้าวเหนียวแก้ว ถ้ามีสีเขียวของใบเตยตามธรรมชาติ จะมีสีเขียวเข้มไม่สดใส รสชาติ หวานมัน และเมื่อเคี้ยวข้าวเหนียว จะมีความนุ่มไม่แข็ง ซึ่งเป็นลักษณะหรือคุณภาพของข้าวเหนียวแก้วที่คนทั่วไปยอมรับ จึงนับได้ว่าเรากินอาหารโดยใช้ทั้งตา ลิ้น เพดานปาก ฟัน จมูก และหู ฉะนั้นในการประเมินผลอาหาร จึงจำเป็นต้องตรวจสอบลักษณะดังกล่าว เพื่ออาหารจะได้เป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไป ลักษณะของอาหารที่เราสามารถทราบได้จากประสาทสัมผัสแบ่งเป็น 3 อย่างคือ
1)ลักษณะที่มองเห็นได้ ตัดสินด้วยตา เช่น ลักษณะรูปร่าง ขนาดความเป็นมัน ความใส สีต่าง ๆ ความเหนียวหนืด ความขุ่น นูน หยาบ ตกผลึก เป็นเมือก ย่นเป็นต้น
2) ลักษณะที่สัมผัสได้ ตัดสินด้วยมือ ปาก ลิ้น โดยการสัมผัส เช่นความอยู่ตัว ความนุ่ม ความชุ่ม ความหยุ่น ลักษณะหนึบ ๆ ลักษณะร่วน เป็นเกล็ด เป็นกาก เหนียว เป็นต้น
3) ลักษณะที่รู้รสชาติได้ รสชาติมีความหมายรวมทั้งรส และกลิ่น ตัดสินด้วยประสาทสัมผัสในปากและจมูก เช่น รสหวาน เค็มเปรี้ยว ขม กลิ่นหอมหวาน กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นไหม้ กลิ่นเหม็นสาบ เป็นต้น
6.2 ด้านการทำกิจการค้าอาหาร
การประเมินผลของการทำกิจการค้าอาหาร เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ทราบถึงความก้าวหน้าของกิจการว่ามีความสำเร็จมากน้อยเพียงใดหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการประเมินผลและวิธีการปฏิบัติงานของบุคลากรในการจัดการค้าอาหารนั้น ๆ การประเมินผลจะได้ครบถูกต้องสมบูรณ์มากน้อยเพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้มาหากข้อมูลนั้นมีความสมบูรณ์ก็จะทำให้ได้รับผลการปฏิบัติงานได้ถูกต้อง โดยทั่วไป การประเมินผลของการทำกิจการค้าอาหารที่นิยมปฏิบัติกันมีดังนี้
1) ขนาดของกิจการ
ขนาดของกิจการ หมายถึง กิจการของร้านค้าว่ามีขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก และเมื่อเริ่มก่อตั้งกิจการเทียบกับระยะเวลาหลังจากการตั้งร้านค้ามาแล้วประมาณ1 เดือนหรือ 1 ปี ถ้าขนาดของกิจการเจริญขึ้น และจำเป็นต้องขยายกิจการให้กว้างออกไป แสดงว่าร้านค้าที่จัดตั้งมีกิจการดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ย่อมอาศัยปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน เช่น การบริหารที่ดี อาหารอร่อย การจัดตกแต่งร้านค้าชวนให้น่าเข้าไปรับประทาน หรือชวนให้อยากเข้าไปพักผ่อน การตกแต่งร้านค้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดใจลูกค้า แต่ถ้ากิจการของร้านค้านั้นเมื่อจัดตั้งมาแล้วประมาณ 1 เดือน หรือ 1 ปี ยังต้องคงสภาพเดิมหรือแย่กว่าเดิม ก็ควรจะพิจารณาหาสาเหตุว่าเพราะเหตุใดกิจการจึงแย่ลงกว่าเมื่อแรกตั้ง เกิดการรั่วไหล การบริการไม่ดี อาหารไม่อร่อย การตกแต่งไม่ดีหรืออย่างไร เจ้าของร้านควรศึกษาหาสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้กิจการล้มเหลว เพื่อแก้ไขปรับปรุงสาเหตุเหล่านั้นให้ดีขึ้น โดยพยายามหาสิ่งจูงใจลูกค้าให้เข้าร้าน
2) การบริการ
การบริการที่ดีเป็นสิ่งสำคัญของการจัดตั้งร้านอาหาร เพราะการบริการที่ดีจะเป็นที่ประทับใจของลูกค้า เป็นสิ่งจูงใจลูกค้าให้มาใช้บริการอีกและเป็นการโฆษณาร้านไปในตัว เพราะว่าลูกค้าชักชวนต่อ ๆ ไป โดยที่ทางร้านไม่ต้องเสียค่าโฆษณาใด ๆ เลย นี่คือผลพลอยได้ของร้านที่ได้รับจากลูกค้า
3) ความสะอาดของร้านอาหาร
ความสะอาดของร้านค้าที่สะอาดจัดตกแต่งได้สวยงามเป็นสิ่งดึงดูดใจลูกค้าให้อยากเข้าไปนั่งรับประทานอาหาร ดังนั้นความสะอาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งจะทำให้ผู้รับบริการมีความรู้สึกว่า ตัวเองปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ สามารถนั่งรับประทานอาหารด้วยความสุขกาย สบายใจ เพราะสภาพแวดล้อมที่นั่ง สะอาดหมดจด สวยงาม อากาศสดชื่น เป็นต้น
เมื่อดำเนินงานต่าง ๆ ไปแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีการวัดผลและปรับปรุงงานอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านธุรกิจ สำหรับการปรับปรุงจะต้องดำเนินไปพร้อม ๆ กันหลาย ๆ ด้านทั้งด้านบุคลากร อุปกรณ์ สถานที่และ การบริหารงาน ทั้งนี้เพื่อให้กิจการค้าอาหารประสบผลสำเร็จตามความคาดหมาย
7. แนวทางในการปรับปรุงงาน
การปรับปรุงงานในการปฏิบัติงานของผู้เรียนจะเป็นการพัฒนาทักษะการทำงานของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนทราบผลการพัฒนาการทำงานของตัวผู้เรียนและสมาชิกในกลุ่ม ในการทำงานแต่ละครั้งทั้งด้านควรจะมีการประเมินผลหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงาน คุณธรรม จริยธรรมในการทำงาน ทักษะการทำงาน และการปฏิบัติงานดังแสดงไว้ในตัวอย่างที่ 4 แบบประเมินทักษะการทำงาน สำหรับตัวอย่างที่ 5 และตัวอย่างที่ 6 จะเป็นตัวอย่างการประเมินผลงานอาหาร เพื่อให้ผู้เรียนใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลงานที่ทำในแต่ละครั้ง ทั้งยังเป็นการช่วยให้ผู้เรียนนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงงาน และผลงานในครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ในการประเมินควรแจ้งให้ผู้รับการประเมินทราบว่ามีส่วนบกพร่องในส่วนใด เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้ทันท่วงที งานก็จะดีขึ้น ๆ ตามลำดับ การทำงานก็จะประสบผลสำเร็จ