ความสุขเล็กๆ จากการแก้ปัญหาน้อยๆ


ความสุขเล็กๆ จากการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน พร้อมกับบทเรียน ข้อคิดว่า รายละเอียดเล็กน้อย ก็อาจมีความหมายกว่าที่เราคิด..ปัญหาของข้าพเจ้าที่ติดค้างมาเป็นเดือน ก็คือ 1. สร้อยพันกันแกะไม่ออก 2. หาที่กำจัดเตียงนอน ก่อนย้ายของ

# ปัญหาแรก : สร้อยพันกันแกะไม่ออก

สร้อยเส้นเล็กๆ เส้นนี้ แม้มูลค่าไม่มากมาย แต่เพราะเป็นของซึ่งพี่ชายที่แสนดี ซื้อให้ จึงรู้สึกเสียดาย ด้วยความผิดพลาดที่เคยถอดแล้วขยุ้มเก็บไว้ในกล่อง..พอจะเอามาใส่อีกทีพบว่าสายสร้อยพันกันยุ่งเหยิงเป็นปมขนาดเท่าถั่วลิสง !

เมื่อพยายามแกะ ยิ่งแกะก็ยิ่งแน่นไม่รู้อะไรพันอะไร..จึงผลัดวันประกันพรุ่งจะแกะเรื่อยมา จนถึงวันนี้ที่ตั้งใจ เป็นไงเป็นกัน
...

นึกถึง วิธีการของคุณหมออดิเรก ที่ใช้สบู่ช่วยเด็กน้อยจากมือติดสิ่งของ
ขั้นแรก   จึงเอาน้ำสบู่หยอดที่ปม
ขั้นต่อมา ปลดล็อคให้สายสร้อยแยกออกจากกันเป็นเส้นเดี่ยว
วางสร้อยบนโต๊ะ ใช้เข็มกลัดสะกิดไปสะกิดมา เพื่อผ่อนคลายความตึงของปม
คลายไปคลายมา มันก็ค่อยๆ หลุดจากกันตามวิถีของมันเอง
เวลาผ่านไป 30 นาที..
ในที่สุดปมสุดท้าย (ในภาพซ้าย) ก็ถูกถอด พร้อมกับความโล่งใจ :-)
ขั้นสุดท้าย เก็บในกล่อง จากบทเรียนที่ผ่านมา..
ถ้าปล่อยให้สายสร้อยมาบรรจบกันเมื่อไหร่ เป็นเรื่อง
เลยหาวิธีแยกกันแต่ต้นจนปลาย  (ดังภาพขวา)
.

ข้อคิดสะกิดใจ..ปัญหาที่ดูเหมือนยุ่งเหยิงซับซ้อน..แก้ได้เมื่อ ตั้งสติแล้วลงมือ + ใช้ความลื่นไหลตามสถานการณ์ + ความผ่อนคลาย แล้วปมปัญหาก็ผ่านพ้นไปตามวิถีของมัน

...

# ปัญหาที่สอง : ย้ายหอ ปวดหัวเรื่องเตียง

แม้ข้าพเจ้าจะพยายามอยู่แบบสมบัติน้อย - "Lean" ที่สุด
แต่ก็ยังมีเฟอร์นิเจอร์ที่สร้างความปวดหัว ได้แก่
เตียงสปริง หนา 5 นิ้ว ขนาดเตียงคู่
...

เฟอร์นิเจอร์อื่น หากเราขนไม่ไหว สามารถติดต่อให้ องค์กรการกุศล
เช่น goodwill หรือ salivation army มารับถึงที่ได้
แต่เตียง เป็นสิ่งที่เขาระบุไว้ชัดว่าไม่เอา เพราะยากในการคัดเลือกและทำความสะอาด

จึงต้องประกาศ ยกให้ฟรี ทั้งสองทางคือ

1. การแปะประกาศไว้ที่บอร์ดใต้หอ
2. การประกาศไว้ใน craigslist - เป็นเวบไซต์สำหรับประกาศซื้อ,ขาย,เช่า,ยกให้ฟรี ซึ่งเป็นที่นิยม เพราะความเรียบง่าย กันเอง ถูกใจชาวบ้านแบบเรา

เวลาผ่านไปสัปดาห์หนึ่งก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ เริ่มท้อใจ ขนาดให้ฟรียังไม่มีใครเอา.. นำไปคุยกับเพื่อน ให้เขาดูประกาศ จึงได้เห็นว่า
ข้าพเจ้า ใช้ศัพท์ที่อ่านดูแล้ว "ไม่น่าเชื่อถือ" และขาด "จิตวิทยาการตลาด"
จึงแก้คำให้ใหม่

ของเดิม...

แก้ใหม่เป็น...

.

พร้อมทั้ง เปลี่ยนที่ติดประกาศจากบอร์ด สงสัยจะไม่สะดุดตาเท่าที่ควร จึงติดไว้ในลิฟท์แทน โดยเลือกติดเย็นวันศุกร์ เพราะหากติดวันธรรมดาแล้ว แม่บ้านทำความสะอาดจะดึงออกในเวลารวดเร็ว 

ปรากฎว่า 2 วันถัดมา ก็มีอีเมล์ติดต่อมา ว่าสนใจเพราะเจอประกาศในลิฟท์ :-)
เมื่อนัดมาดูของจริงที่ห้องแล้ว ข้าพเจ้าเลยแถมโต๊ะเขียนหนังสือให้อีก ด้วยความโล่งอก..
...

คะนึงถึงคำสอนในอดีต..ครั้งหนึ่ง อาจารย์ใหม่นำเสนอโครงการขอทุนศึกษาต่อ..อาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งชี้ว่าสะกด "แพทยศาสตร์บัณฑิตย์" ไม่ถูก (อ่านรายละเอียดที่นี่คะ) พร้อมกับคำสอน |
.."ความประณีตก็เป็นสิ่งสะท้อนคุณภาพของเรา"..

จริงด้วยค่ะ อาจารย์

หมายเลขบันทึก: 471019เขียนเมื่อ 12 ธันวาคม 2011 03:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 22:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (44)

ขอแสดงความยินดีด้วยครับ การไม่มีสมบัติบ้ามากเกินควรเป็นลาภอันประเสริฐ
ลูกสาวซื้อขาย แจกฟรี ใน craigslisะ เป็นประจำ ขนาดที่ว่าตื่นมา เป็นต้องเช็ครายการทุกวัน เธอชอบจริงๆ  ผมบอกเธอว่าลูกน่าจะเป็น saleman เสียมากกว่าเป็นเภสัชกรน่ะลูก

 

สวัสดีค่ะ

Ico64

 แวะมาชื่นชม...ความสุขเล็กๆ จากการแก้ปัญหาน้อยๆ ในชีวิตประจำวัน... เป็นการเพิ่มประสบการณ์แห่งชีวิตด้วยการมองเห็นคุณค่าและความมีน้ำใจนะคะ...

ผมได้องค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์จากท่านอาจารย์ในตอนเช้า ตอนที่สมองของมนุษย์เรากำลังตื่นตัวพอดีเลยครับ ขอบพระคุณมากครับ ผมคิดว่านี่คือบทเรียนของชีวิตที่แท้จริง ที่ทุกคนได้พบ ได้เจอ ได้รับรู้ กับตนเอง แต่จะมีไม่มากที่นำมาพิจารณา ทบทวน ไตร่ตรอง หาแนวทางการแก้ปัญญาและที่สำคัญคือ การแบ่งปันให้กับผู้อื่น ผมเคยทราบจากท่านอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่ผมเคยเรียนกับท่าน ท่านเล่าให้ฟังว่าในธรรมเนียมปฏิบัติของคนญี่ปุ่นเขาเรียกว่า Renraku กล่าวคือ การสื่อสารในแนวระนาบเกี่ยวกับเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ เป็นองค์ความรู้ให้ผู้อื่นได้รับรู้ รับทราบ ซึ่งส่วนมากเรื่องที่เขานำมาแบ่งปันกันคือ เรื่องที่เป็นประสบการณ์ผิดพลาดมาของแต่ละบุคคลที่ได้รับการปรับ การแก้ไขแล้ว นำมาบอกกล่าวให้ผู้อื่นได้รับรู้ รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการที่จะลดการเกิดความผิดพลาดในทำนองเดียวกันกับผู้อื่น ซึ่งในวิถีของคนญี่ปุ่นแล้วเขาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่น่าอาย และไม่ต้องกลัวเสียหน้า นี่แหละครับคือสิ่งที่ผมเข้าใจเองว่ามันเป็น "การเริ่มต้นของสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างแท้จริงครับอาจารย์ ท่านอาจารย์เริ่มต้นสร้างสังคมนี้ได้อย่างดีเยี่ยมครับ ^_^

แวะมาดูว่าจะมีอะไรให้ช่วยขนมาไว้ที่บ้านบ้าง นะครับ

ชื่นใจไปด้วยกับการแก้ปมสร้อยพันกัน

ขอเก็บไปใช้บ้างค่ะ

 

ตอนนี้เวลาอยากได้ของอะไร ต้องคิดแล้วคิดอีกเพราะมีประสบการณ์จากตอนกลับจากญี่ปุ่น ครั้งนั้นโชคดีที่มีคนรับของ ๆ เราเกือบทั้งหมด ฮี้ตเตอร์เพิ่งแกะกล่อง, รองเท้าบู๊ตเพิ่งใช้สองสามครั้ง..จิปาถะ

ทุกสิ่งไม่แน่นอน ที่แน่นอนคือ ความยุ่งยากเวลาย้ายข้าวของ ค่ะ

555 ขำประโยค "น่าจะเป็น saleman มากกว่าเภสัชกร"
มีขุมสมบัติใน craigslist มากมายจริงๆคะ เพราะไม่มีรถเองเลยไม่ค่อยติดตาม
..

อยู่หอมาหลายรอบ เลยได้บทเรียนว่า การมีของน้อยเป็นลาภอันประเสริฐคะ ต้องขอบคุณนวัตกรรม kindle ที่ทำให้หนังสือน้อยลงมากค่ะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์

ทำให้เห็นว่า สิ่งของที่เราต้องการ มีคุณค่าพอจะเก็บไว้จริงๆ
มีน้อยชิ้นมากค่ะ..สิ่งมีค่าที่สุดคือเวลา และการทำสิ่งดีๆ ให้คนที่เรารักและรักเรามากกว่า 

สวัสดีค่ะ

จากเรื่องเล็กๆ กลายเป็นบทเรียนที่ดีแก่ชีวิตได้

ชื่นชมค่ะ

สวัสดีค่ะอาจารย์ ได้ความรู้ใหม่  Renraku เป็นการนำข้อผิดพลาด "ที่ได้รับการแก้ไขแล้ว" -- มาบอกกล่าวให้คนอื่นได้รู้.

ประเด็นนี้น่าสนใจอย่างยิ่งค่ะ..

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ที่นำสิ่งดีๆ สิ่งที่ทำสำเร็จ มาเล่า ช่วยสร้างบรรยาการบวก ผ่อนคลาย ก็จริง..ในขณะเดียวกัน เรื่องผิดพลาด ที่แก้ไข ยิ่งน่าสนใจ เพราะให้เห็นโลกทัศน์ตามจริง มากขึ้นว่า ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติของมนุษย์..
เห็นด้วยค่ะ ว่าการเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างซื่อสัตย์ เป็นสิ่งดี ไม่น่าอาย และไม่ต้องกลัวเสียหน้า..

อาจด้วยเหตุนี้  งานวิจัยที่ตีพิมพ์จากญุี่ปุ่น จึงได้รับการยอมรับสูง

ขอบคุณมากค่ะอาจารย์
ย้ายแต่ละที ได้ปลงอนิจจังกับข้าวของนะคะ :-)

ทุกสิ่งไม่แน่นอน ที่แน่นอนคือ ความยุ่งยากเวลาย้ายข้าวของ :-)

ประโยคนี้ใช้เตือนใจได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

ตอนนี้ คิดขอบคุณกล่องบริจาคมากมาย
เคยได้ยินว่าที่อังกฤษ ก็มีร้านรับบริจาคทำนอง goodwill อยู่หลายเจ้าเช่นกันค่ะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์ณัฐรดา

ได้อ่านบันทึกนี้ของอาจารย์ ได้เพิ่มเติมแง่คิดให้พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่ระมัดระวังต่อบาป ค่ะ

สวัสดีค่ะ คุณหมอ,

ชอบเรื่องที่สองค่ะ การเปลี่ยนแปลงคำพูดเล็กน้อย มีผลกระทบยิ่งใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นผู้ใหญ่ คำพูดยิ่งมีอิทธิพล...


เคยอ่านผ่านตาเรื่องจากหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ ขอยกมาทั้งดุ้นเลยค่ะ

เป็นยามเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ พืชพรรณกำลังผลิใบใหม่ ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานบนทางเท้า

ป้ายกระดาษข้างหน้าขอทานเขียนว่า "ผมตาบอด"

ชายคนหนึ่งเดินผ่านจุดที่ขอทานคนนั้นนั่ง อ่านข้อความบนป้ายนั้น แล้วถามขอทาน "รายได้จากการขอทานเป็นอย่างไร?"

"ก็มีคนให้เศษสตางค์บ้าง แต่นิดหน่อย"

ชายคนนั้นจึงก้มลงเขียนข้อความบางอย่างบนป้ายกระดาษแผ่นนั้น

ครั้นถึงตอนเย็น ชายคนนั้นเดินกลับมาที่จุดเดิม ถามขอทานว่า "รายได้วันนี้เป็นอย่างไร?"

ขอทานตาบอดบอกว่า "ดีมากเลย

วันนี้มีคนให้เงินผมมากกว่าทุกๆ วัน คุณป็นใคร? คุณเขียนอะไรบนป้ายของผม?"

"ผมเป็นนักเขียนคำโฆษณา ผมไม่ได้ทำอะไรมาก แค่เขียนประโยคเดียวต่อจากประโยคเดิมของคุณ"

ข้อความบนป้ายคือ "ผมตาบอด และนี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ"

คุณหมอ ป.

มีปมคิด ปมทำ และนำเสนอได้น่าอ่านแทบทุกบันทึกเลยนะครับ

...

อยากให้อาจารย์จัน นำบันทึก ของคุณหมอ ขึ้น บันทึกbloger of the month.

มาก ๆ เลย นะครับ

ขอบคุณสำหรับความเห็นแฝงแง่คิด ให้ตรึกตรอง สะท้อนถึงความเป็นนักอ่านตัวยงจริงๆ ค่ะ ดร.ปริม

ปริศนา..นั่งคิดอยู่หลาบตลบ


 "ผมตาบอด" vs "ผมตาบอด และนี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ"

ประโยคที่เพิ่มเข้าไป มีผลอย่างไรให้คนมีเมตตาต่อชายผู้นี้มากขึ้น
...

อาจเพราะ..ทำให้รู้สึก ว่าชายผู้นี้ไม่ได้จมปลักอยู่กับความพิการ
ยังมีโลกทัศน์บวกอยู่มากพอจะรับรู้ ว่าเข้าสู่ฤดูกาลที่คนทั่วไปมีความสุข

ไม่ทราบมีเฉลยไหมคะ

อ่านความเห็นคุณแสงแห่งความดีแล้วหัวใจพองโตด้วยความปิติเลยค่ะ :-)

แอบแวบไปเห็น เก้าอี้สีชมพู ทาโดยหนูน้อยด้วยความตั้งอกตั้งใจ แล้ว ก็คิดไปว่า คุณค่าสิ่งของนั้น มิใช่ที่วัสดุ แต่เป็น "ความหมาย ความทรงจำ" ที่อยู่ในนั้นค่ะ

คุณหมอคะ,

ในหนังสือเขาก็ไม่ได้บอกเฉลยเอาไว้เสียด้วยค่ะ

แต่เท่าที่เข้าใจ ก็คิดคล้ายๆกับคุณหมอค่ะ ประโยค "และนี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ"

คงจะเพิ่มอารมณ์และความรู้สึกของผู้ที่อ่าน ย้ำเตือนว่านี่คือฤดูแห่งความเบิกบาน ฤดูแห่งความสุขที่มีอยู่ ให้เขารู้สึกสดชื่น มีความสุขกับบรรยากาศนั้น

และเมื่อคนที่อ่านรู้สึกดี ความต้องการที่จะให้ อยากให้ขอทานคนนั้นมีความสุขบ้างก็ตามมา

คุณหมอว่าไหมคะ?

สวัสดีค่ะคุณหมอ...

...เห็นภาพปมสร้อยพร้อมกับวิธีแก้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงตัวเองตอนที่ปลดปลาที่ติดตาข่ายออกและต้องแกะเส้นเอ็นตาข่ายให้กลับคืนเช่นเดิมโดยที่ไม่ให้เส้นเอ็นขาด วันไหนใจไม่นิ่งพอยิ่งแกะยิ่งแน่น ยิ่งแกะยิ่งขาด(เพราะอารมณ์ร้อนแต่น้ำเย็น)

...แต่ถ้าวันไหนอารมณ์นิ่งใจสงบผ่อนคลายแม้น้ำจะเย็นแต่ก็สามารถทนเกะปมมากมายได้ไม่มีขาดค่ะ(แกะไปนึกตรึกตรง"ปม"คงคล้ายกับปัญหาต่างๆในชีวิตของคนเราที่ต้องใช้เวลา ความนิ่ง สติ ปัญญาและความเพียรพยายาม)

...วันนี้อยากจะขอเรียนถามความรู้กับคุณหมอด้วยค่ะ เกี่ยวกับวิธีการซ่อนบทความแทรกในบันทึกเช่น(บันทึกนี้,ตรงนี้)

...ขอบพระคุณค่ะ(บันทึกเสริมปัญญา)

เรียนคุณหมอ ป.

หลายวันแล้วที่ไม่ได้ผ่านมาทางนี้ จึงไม่ได้รับรู้ วิธีการแก้ ป.ปมสร้อยพัน และการละทิ้งสิ่งเกินจำเป็น

ยิ่งมาอ่านความเห็นคุณน้อย ในวิถีคนหาปลา ยิ่งเห็นการแก้ปมของ ชีวิต กับชีวิต

และยิ่งยากเหลือกว่าปลาเป็นของคุณน้อย คือการแก้ปลาเป็นที่มีเขี้ยว เงี่ยง ที่ต้องแกะต้องปลดให้ได้ออกมาโดยมีชีวิต.....ซึ่งหมายความถึงราคาที่แตกต่าง

วิถี อาชีพ ประสบการณ์ มีการแก้ปมชีวิตที่แตกต่างกัน

..เมื่อคนที่อ่านรู้สึกดี ความต้องการที่จะให้ อยากให้ขอทานคนนั้นมีความสุขบ้างก็ตามมา..

ลึกซึ้งมากค่ะ คำว่า "ยิ่งให้ยิ่งได้" ฟังดูเผินๆ ก็ผ่านๆ
แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงปรากฎการณ์ในชีวิตประจำวัน หรือแม้ในการตลาด..( แทนที่จะบอกว่า สินค้าเราคุณภาพดีแค่ไหน เป็น สินค้าเราช่วยคุณได้อย่างไร :-)
ก็มีความจริงนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านะคะ 

ภาพปลาติดตาข่าย..รู้สึกคล้ายท่านวอญ่าค่ะ เป็นปมของชีวิต กับ ชีวิต  ซึ่งเมื่อเทียบคุณค่าของปมของสายสร้อยแล้ว  อย่างหลังเทียบไม่ได้เลย..

  ปลาดิ้นรน ตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด โดยไม่สำเหนียกว่ายิ่งดิ้นยิ่งทำให้ปมรัดตัวมันมากขึ้น แม้มีความเพียร แต่ปราศจากปัญญา อาจยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นได้

  คนจับปลา "อารมณ์ร้อนเพราะน้ำเย็น" แต่มนุษย์เรามีความพิเศษตรง ความเพียรนั้นกำกับไว้ด้วย สติและปัญญานี่เอง

  ชื่นชมคนที่เก็บภาพ มีมุมมองไม่ธรรมดาเลยค่ะ

ขอบคุณค่ะ บังวอญ่า ทำให้บทความนี้ มีความลึกขึ้น
ไปถึง วิธีการแก้ปัญหา ที่แตกต่างตาม วิถีชีวิต อาชีพ ประสบการณ์..

ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งพยายามคลายปม
อีกฝ่ายอาจดิ้น ทำให้การคลายปมยากยิ่งขึ้น
บางที่การ ทำให้อีกฝ่ายสงบ ก่อนลงมือแก้อาจเป็นสิ่งจำเป็นนะคะ 

สวัสดีครับ

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมนะครับ ตอนนี้ผมยังอยู่ที่เมืองจีน

อากาศเย็นลงทุกวัน...

..

ขอบคุณบันทึนี้ที่ตอกย้ำและยืนยันว่า

ในปัญหามีทางออก ...

ด้วยกระบวนการที่ประกอบด้วยสติ...ปัญญา...

ถึงแม้ปัญหาจะประกอบด้วยบริบทภายนอกและภายใน

แต่ท้ายที่สุด...

เรื่องทุกเรื่องมีทางออกของมันเอง

ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสติ..ปัญญา

และกล้าหาญพอที่จะเผชิญกับมันอย่างไร

ขอบพระคุณครับ

แต่ละปมปัญหา มีที่มาก่อนจะเกิดเป็นปม
ดั่งที่อาจารย์กล่าวคะ มีทางออกของมัน
การแก้ อาศัย สติ ปัญญา และที่สำคัญ กล้าที่จะเผชิญกับมันด้วยค่ะ 

สวัสดีครับ คุณหมอ

ประทับใจบันทึก เล็กๆ ..น้อยๆ.. แต่ให้ความรุ้ที่ยิ่งใหญ่ครับ

บันทึกนี้เป็นตัวอย่างของการต่อยอดความรู้ที่ดีบันทึกหนึ่งครับ ;)...

ขอบคุณค่ะ คุณพิชัย 

เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นปัญหา และดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

ขอบคุณสำหรับข้อความชวนคิด " พ่อไม่ได้สอนให้รักพ่อ แต่พ่อสอนให้รักกัน" ..

นี่ก็คงชวนคลายปม ที่ขมึงเกลียว อันเกิดจากการแบ่งเขาแบ่งเรา ได้นะคะ 

เคยอ่านผ่านตาเรื่องจากหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ ขอยกมาทั้งดุ้นเลยค่ะ  - ปริม ทัดบุปผา

เป็นยามเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ พืชพรรณกำลังผลิใบใหม่

ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานบนทางเท้า ป้ายกระดาษข้างหน้าขอทานเขียนว่า "ผมตาบอด"

ชายคนหนึ่งเดินผ่านจุดที่ขอทานคนนั้นนั่ง อ่านข้อความบนป้ายนั้น แล้วถามขอทาน "รายได้จากการขอทานเป็นอย่างไร?" "

ก็มีคนให้เศษสตางค์บ้าง แต่นิดหน่อย"

ชายคนนั้นจึงก้มลงเขียนข้อความบางอย่างบนป้ายกระดาษแผ่นนั้น

ครั้นถึงตอนเย็น ชายคนนั้นเดินกลับมาที่จุดเดิม

ถามขอทานว่า "รายได้วันนี้เป็นอย่างไร?"

ขอทานตาบอดบอกว่า "ดีมากเลย วันนี้มีคนให้เงินผมมากกว่าทุกๆ วัน คุณป็นใคร? คุณเขียนอะไรบนป้ายของผม?"  

ผมเป็นนักเขียนคำโฆษณา ผมไม่ได้ทำอะไรมาก แค่เขียนประโยคเดียวต่อจากประโยคเดิมของคุณ"

ข้อความบนป้ายคือ "ผมตาบอด และนี่เป็นฤดูใบไม้ผลิ"

-----------------------------------------------------------------------------------------

ถึงคุณหมอ ป และคุณปริม 

มีคนนำเรื่องนี้มาลง YouTube คนที่เห็นเป็นนักแสดงอาชีพครับ

ฉันเขียนให้คุณเหมือนเดิม

แค่เปลี่ยนคำพูดเท่านั้น

มีคนดูวีดีโอนี้แล้ว เกือบสิบสองล้านคน

 

สวัสดีค่ะคุณ คนบ้านไกล,

ขอบคุณค่ะที่แบ่งปันวีดีโอ ดีๆ ให้ดู

เป็นอันว่าที่คำพูดดีดี ช่วยกระตุ้นความเมตตา ช่วยสร้างความเห็นอกเห็นใจได้มากทีเดียว...

ขอบคุณค่ะ

 

สวัสดีอีกรอบค่ะคุณบ้านไกล คุณพ่อที่น่ารัก
เห็นด้วยกับคุณปริมค่ะ 
เรื่องราว และวีดีโอที่นำมาแบ่งปัน ย้ำเตือน
ให้เราเห็นความสำคัญของ คำ มีผลต่อการตัดสินใจ..
แม้สาส์นไม่ต่าง แต่ ให้อารมณ์แตกต่าง
" I am blind, please help" -> ฟังดูจมกับตัวเองไปนิด
" Today is beutiful and I can't see" -> ยังไงก็ยังมีอารมณ์ร่วม กับพวกคุณนะ

"...ปัญหาที่ดูเหมือนยุ่งเหยิงซับซ้อน..แก้ได้เมื่อ ตั้งสติแล้วลงมือ + ใช้ความลื่นไหลตามสถานการณ์ + ความผ่อนคลาย แล้วปมปัญหาก็ผ่านพ้นไปตามวิถีของมัน..."

สายสร้อยแห่งสติ อันผ่อนคลาย

บทเรียนที่...ทำการต่อยอดอย่างเข้มข้น!

ขอบคุณมากค่ะ


 

สวัสดีค่ะ  เมื่อเจอกับปัญหาเข้าจริงๆ สติตามยังไม่ค่อยทันค่ะ

เพียงผ่อนคลาย ปัญหาก็ไม่ถูกขยายมากขึ้น (เช่น คนที่ได้ข่าวบ้านถูกงัด ขับรถเร็ว ไปชน เลยปัญหาหนักเข้าไปอีก)

ดีใจด้วยนะครับอาจารย์หมอ

หวังว่าคงได้เจอกันสักวันนะครับ

ไม่อยากพลาดโอกาส

เหมือนกับการเข้ามาอ่านบันทึกนี้ครับ

รู้สึกมาช้าไปนะครับ

และเข้าไปอ่านบันทึกที่เชื่อมต่อ...

ปราณีตมากครับ

ขอบคุณค่ะ
เมื่อใดได้เริ่ม R2R  จะนึกถึงคุณหมออดิเรกเป็นคนแรกๆ เลยค่ะ
พบกันเร็วๆ (ไม่มีคำว่าช้าไป) ที่เชียงใหม่นะคะ :-) 

ด้วยอายุที่มากขึ้นและผ่าน"ปม"มามากมายหลายแบบ พบจริงๆค่ะว่า ความยืดหยุ่น การหล่อลื่น (ในบริบทต่างๆกัน) การถอยห่าง การหยุด การผ่อน (คำทั้งหลายเหล่านี้ ใช้ตามบริบทของ "ปม"ที่มี) จึงจะคลี่คลายปมได้ค่ะ ความพยายามแบบเข้มข้น เคร่งเครียด รีบเร่ง ใช้ไม่ได้กับ"ปม"แทบทุกอย่างเลยค่ะ

ขอบคุณพี่โอ๋ ที่นำประสบการณ์ชีวิต เสริมให้มั่นใจ ในแนวทาง "แก้ปมอย่างผ่อนคลาย ลื่นไหลตามบริบท" ค่ะ..

ล่าสุด มีปมปัญหา เรื่องการแปลผลข้อมูล

เมื่อสองฝ่ายต่างวางความเห็นของตนเองลง แล้วถอยคนละก้าว

สักพักก็มี คนกลาง เสนอไอเดียยอดเยี่ยมที่ทั้งสองยอมรับ 

แล้วจบได้ด้วยดี :-) 

การเป็นคนมีความสุข มีความปราณีตกับชีวิตทั้งในงานและนอกงานตั้งแต่อายุยังไม่มากเป็นบุญที่ได้สร้างสมมาดีนะคะ 

การใช้ชีวิตในยุคนี้ยากเพราะแต่ละคนก็มีปมต่างๆนานา หากไม่มีสติ เป็นเหมือนกัน ตามๆกันหมดปมก็คงยิ่งยุ่ง แถมไปเพิ่มปมอีก ยิ่งแก้ยากเข้าไปใหญ่

เพิ่งแวบไปอ่านบันทึกฮิโรชิมา ที่อาจารย์ร้อยเรียงอย่างน่าอ่าน
นึกถึงความประณีตของชาวญี่ปุ่น สะท้อนมาทั้ง อาหารการกิน การแต่งตัว ไปจนถึงวิธีสื่อสาร..คงมีส่วนให้ ปมปัญหา ของประเทศหลังสงครามโลกถูกคลายออกอย่างสร้างสรรค์นะคะ

บางทีวิธีแก้ปัญหาบางเรื่องก็เหมือนเส้นผมบังภูเขา เราอาจคิดซับซ้อนเกินไปหน่อย อีกอย่างความอดทนในการค่อยๆแก้ไขปัญหาของเราก็ไม่เท่ากัน เพราะความอยากแก้ให้มันได้เร็วๆเลยทำให้เราอดทนที่จะแก้มันน้อยลง แต่เมื่อเราแก้ไขมันได้ก็รู้สึกโล่งใจไปได้มากเลยทีเดียว อีกอย่างการแก้ปัญหาหลายๆอย่างมักทิ้งสิ่งที่มีค่าให้เราเสมอ เช่น ความรู้หรือเทคนิคใหม่ๆที่เกิดขึ้นที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป ซึงปัญหาต่างๆมันก็เกิดขึ้นตลอดเวลาให้เราได้คิดได้ตัดสินใจอยู่เรื่อย หากมองให้เป็นเรื่องสนุกมันก็น่าสนุกดีนะครับอาจารย์ เพราะมันทำให้เรารู้สึกตื่นตัวและรู้สึกว่ากำลังค้นพบอะไรใหม่ๆจากการแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่จะมีใครคิดแบบนี้สักกี่คน แม้แต่ผมเองก็ยังคิดแบบนี้ไม่ได้เลย คงต้องพยายามปรับวิธีคิดที่มีต่อปัญหาที่เจอกันต่อไปครับ

ขอบคุณ คุณสุรเชษฐ์ค่ะ (เดาจาก surachet ถูกไหมคะ)

เหตุที่การแก้ปัญหา ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ที่คุณสุรเชษฐ์กล่าวมา เมื่อพิจารณากับตัวเองแล้ว ตรงเผงทีเดียวค่ะ
- เราอาจคิดซับซ้อนเกินไปหน่อย 
- เพราะความอยากแก้ให้มันได้เร็วๆเลยทำให้เราอดทนที่จะแก้มันน้อยลง

และเห็นด้วยว่า ปัญหา เป็นยาบำรุงกำลังอย่างหนึ่งของชีวิต ไม่มีเสียเลย ก็ขาดแรงกระตุ้น ขาดการเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ 
มีมากเกินไป ก็ทำให้ใจสั่น
เอาเป็นว่า รับปัญหาไม่เกินวันละสองขวด ละกันนะคะ :-)

ครับอาจารย์ เรียกผมน้องเชษฐ์ก็ได้ครับ ปัญหาที่เข้ามาทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นครับ ชีวิตมีสีสันดี ครับ

ขายหมดห้องหรือยังคะนี่...^_^

หมดห้องเรียบร้อยค่ะ ส่วนใหญ่ไม่ได้ขาย แต่ยกให้กล่องรับบริจาคไป พร้อมกับข้อคิด..

Happiness is not "More things we have"
Happiness is "Less things we worry about"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท