ลองหลับตานึกภาพ เวลาท่านจะซื้อต้นไม้ ที่ไม่เคยปลูกมาก่อน
ยกตัวอย่าง ต้นพีช ไปเที่ยวดอยอ่างขางมา เห็นเขาปลูกออกผลงามดี
ในโลกนี้ ไม่มีใครบอกกันได้ทุกเรื่อง..วิจารณญาณจึงเป็นเพื่อนที่ซื่อตรงที่สุด
เวลานำไปใช้ อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ "ชาวบ้านเวลากิน/ไม่กินยา ใช้/ไม่ใช้ยา เขาคิดยังไง รู้สึกยังไง?"
เพราะผมพบว่าบางทีเรากับเขามี paradigm การคิด การทำ การใช้ชีวิตต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้สำคัญมากในการดำเนินชีวิต + ความฉลาด + ความเฉลียวใจ + ความชำนาญ + ฯลฯ
สวัสดีครับ
...ตอนนี้ ผมอยากเก็บข้อมูลเล็ก ๆ จังครับ...เพราะเห็นครัวเรือนในหมู่บ้าน....มีจานดาวเทียม...จานที.วี. มากมาย ทำให้ชาวบ้านรับข่าวสารเรื่องการขายยา ผลิตภัณฑ์อาหารและยา และเครื่องมือแพทย์ (ที่ออกจะหายได้ทุกโรคมากมาย) ...วิทยุชุมชน บางคลื่นก็โฆษณาขายยา สมุนไพร และกาแฟ กระหน่ำ....ผมก็ภาวนาเงียบว่า...อยากให้ชาวบ้านคิดให้ดี...เพราะผมเชื่อว่า...ชุดความคิดของแต่ละคนบนโลกไม่เหมือนกัน
.........
ผมสารภาพครับ...อาจารย์หมอ
จะตั้งหน้าตาคอย...อ่านบันทึกของอาจารย์นะครับ
เพราะได้ความรู้ และสาระบันเทิงจากบันทึกของอาจารย์
เหมือนสมัย ผมอยู่ ป.4
ผมจะตั้งหน้าตั้งตา...อ่านนิยายจีน...ที่เขาเอามาลงที่หนังสือพิมพ์ทุกวัน
บางวันแม่เอาไปห่อของขาย...โกธรแม่..ไม่ยอมกินข้าวเย็น
จนโดนแม่ตี...แต่แม่ก็พาไปบ้านที่เขารับหนังสือพิมพ์
แม่ก็รออยู่นั่นแหละ...
จริง ๆ แล้ว ผมรักการอ่านเพราะแม่นะครับ
..........
ตอนแรก ๆ ที่รู้จักอาจารย์หมอผ่านบันทึก....ผมก็แอบเชียร์อยู่
ตอนนี้แฟนคลับคุณหมอ...มีมากมายกว่าผม
ผมก็ยังเชียร์ และตามอ่านตลอด
พร่ำเพ้อจัง
ขอบคุณครับ
ขอบคุณประสบการณ์ที่แบ่งปันคะ
การกินนมเปรี้ยว เป็นไปได้สูงคะ เพราะถ้าไม่ UHT
จะมีจุลินทรีย์ฝ่ายดีแลคโตบาซิลลัส
เพื่อแบคทีเรียฝ่ายอธรรม :-)
ขอบคุณคะ ตรึกตรองตามที่อาจารย์กล่าว หมายถึง หากจะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้วิจารณญาณในการใช้ยา ควรทำความเข้าใจความคิดเขาก่อนหรือเปล่าคะ ?
หากอาจารย์มีเวลา อยากรบกวนขยายความอีกนิดคะ
น่าสนใจ แต่หนูยังไม่ค่อยเข้าใจ code สี :-)
.. + ไปยาลใหญ่
แทนความหมาย ต้องเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตอีกเยอะคะ :-)
เรียนอาจารย์
ประเด็นยาแก้ปวดที่ขายตามร้าน เภสัชกรอาจชำนาญมากกว่าคะ แต่ขอตอบเท่าที่รู้คือ
ยาแก้ปวด ที่ไม่ใข่พาราเซต จะเป็น NSAIDs คะ กลุ่มนี้ มีทั้งแบบระคาย และ"ไม่ค่อย" มีผลต่อกระเพาะอาหาร
ชุดความคิดของแต่ละคนบนโลกไม่เหมือนกัน
เป็นมุมมอง จากคนทำงานที่ชวนคิด
ปัจจัยในการตัดสินใจ ของชาวบ้านในพื้นที่ อาจต่างกับ มุมมองคนในเมือง
และของผู้ให้บริการสุขภาพแบบคนละขั้ว คนละภาษาเลยก็ได้
เป็นสิ่งน่าหาคำตอบคะ
คุณหมออดิเรก คิดว่า เรื่องความผูกพัน ทางใจ ทางวัฒนธรรม มีส่วนหรือเปล่าคะ ?
ไม่พร่ำเพ้อหรอกคะ ใครอ่านก็อดปลื้มใจไม่ได้ :-)
มุทิตา เป็นคุณธรรมที่ล้ำลึก และทำให้นับถือหมออดิเรกมากขึ้นทุกวัน จากใจจริงคะ
ขอบคุณน้ำใจของคุณหมอบางเวลา CMUpal ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ "ยาแก้ปวด" มานะครับ ;)... เน้นคนอายุมาก ๆๆๆๆๆ ;)...
ขอบคุณคะ เลยได้เพิ่มรูปประกอบ :-)
เพิ่งเสร็จจากการทบทวนกรณีคนไข้ที่ใช้ยาหลายตัว เตรียมไว้ให้ลุงสอนinternวันจันทร์ก็ได้เข้ามาอ่านบันทึกนี้
เกิดความคิดโผล่แว้บขึ้นมาว่า เอ น่าจะทำแบบสอบถามง่ายๆ เรื่อง พฤติกรรมการกินยาของคนไข้ที่ OPD อายุรกรรม เอาไว้ "คุย" เวลาคนไข้เข้ามาตรวจ มันน่าจะทำให้เรารู้อะไรๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคนที่ต้องกินยาตลอดชีวิตได้บ้าง
วันก่อน พี่คุยๆ กับคุณหมออภิชาติที่กำลังครุ่นคิดเรื่อง empower คนไข้ พี่บอกว่าว่าพี่แอบแบ่งคนไข้ในใจไว้ ๔ ประเภทนะ แล้วพี่ก็วาดๆๆ ความคิดลงบนกระดาน หมออภิชาติถามว่า "พี่แบ่งไปทำไม" พี่ตอบว่า "ก็เพื่อที่เราจะได้คิดวิธี empower เขาได้ถูกไง แต่ตอนนี้ยังคิดไม่จบนะ" หมออภิชาติว่า "พี่รีบๆ คิดให้จบนะ"
คุณหมอมีอะไรแนะนำพี่มั๊ยคะ
จริงๆ แล้วบันทึกนี้ต้องให้เครดิต แรงบันดาลใจจากพี่ nui คะ :-)
ดีใจที่ได้คุยต่อยอดความคิดกันต่อ
ทำแบบสอบถามง่ายๆ เรื่อง พฤติกรรมการกินยาของคนไข้ที่ OPD อายุรกรรม เอาไว้ "คุย" เวลาคนไข้เข้ามาตรวจ
เป็นความคิดสร้างสรรค์ มากเลยคะ
เพราะที่ผ่านมา พวกเราพยายามให้คนไข้เข้าใจ สิ่งที่เราคิด
คราวนี้ ลองพยายามเข้าใจ สิ่งที่เขาคิดบ้าง
คนไข้ 4 ประเภท -- น่าสนใจมากคะ พี่ nui ถ้าคิดจบหรือใกล้จบแล้วลองมาแชร์ดูนะคะ
เผื่อมี brain stroming เล็กๆ :-)
ตอนนี้ขอให้กำลังใจไปก่อนนะคะ
ตอนเป็นเด็ก แม่พาไปหาหมอ แล้วจะเป็นคนกลัวเข็มมากๆ
เวลา คุณหมอ ถามอะไร ก็จะซ่ายหน้า ปฎิเสธ อย่างเดียว
หมอถามว่า ปวดหัวไหม ก็จะซ่ายหัว พร้อมตอบว่าไม่
เจ็บคอไหม ก็ซ่ายหัว แล้วก็ตอบว่า ไม่
เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไหมก็ คำตอบเดิม ซ่ายหัว ไม่
เหตุผล เดียว ที่ตอบว่า "ไม่" ก็คือ ไม่อยากฉีดยา
อย่างนี้เรียกว่า อะไร ดีคะหมอ อิอิ
55 เรียกว่าทักษะการป้องกันตัว ได้ไหมคะ :-)
ผมเคยอ่านหนังสือของสตีเฟน แบทชเลอร์ เรื่องไรจำไม่ได้แล้ว แกเขียนมาสองสามเล่มเกี่ยวกับพุทธศาสนา ในช่วงพุทธประวัติ มีช่วงหนึ่งที่สานุศิษย์ก็เกลียดกลัว "มาร" มาก จนกระทั่งก็มีคนเสนอว่า เราน่าจะ categorize จัดหมวดหมู่มารดูนะ ว่ามีกี่แบบๆ เพื่อที่ว่าพอมาแบบไหนๆ เราจะได้เตรียมต่อสู้ จัดการมันให้หมดไปเลย ดีไหมๆ
ปรากฏว่าความเห็นนี้ถูกระงับไป เพราะ "มาร" นั้นมันเจ้าเล่ห์แสนกลมากนัก ถ้าเราจัดไว้ 10 แบบ และ 10 กลยุทธฺที่จะจัดการกับมาร อุ่นใจ เบาใจ ที่สุดก็ชะล่าใจ และจะพบที่หลังเสมอว่ามารจะมาในแบบที่ 11 แบบที่ 12 ที่เราไม่ได้จัดไว้ในตอนแรก
จริงอยู่ใน concept ของการจัดการ การใช้ color-code แบ่งกลุ่ม มัน speed process และเป็น quality improvement ได้ แต่ระวังการ "แบ่งกลุ่มคน" เพราะมันแบ่งไม่ได้ ที่สำคัญคือ พอแบ่งเสร็จ เราเองที่จะตกเป็นทาสของตารางการแบ่งที่เราคิด หรือพยายามจะยัดคนที่มาเข้าไปใน category ใด category หนึ่งให้ได้ จะหลวมโพรก ฟิตปั๋ง ก็ไม่สน เพราะแบบฟอร์มมันบังคับให้ยัดลงไป
เหมือนการซักประวัติ พอปวด ก็ต้องปวดจี๊ดๆ ปวดตุ้บๆ ปวดตื้อๆ มีอยู่ไม่กี่ category ที่เราจะนำไปใช้เข้าตารางวินิจฉัยแยกโรค พอคนไข้บอกว่า "ปวดหวิวๆ" หมอก็เริ่มหงุดหงิด เพราะจัดกลุ่มไม่ได้ สุดท้ายบอกเป็น choice ว่า "แล้วไอ้ปวดหวิวๆน่ะ มันจี๊ดๆ ตุ้บๆ หรือตื้อๆ" คนไข้มองหน้าหมอแล้วอาจจะตอบว่า "มันหวิวจี๊ดๆน่ะหมอ!!"
color-code แบ่งกลุ่ม มัน speed process และเป็น quality improvement ได้ แต่ระวังการ "แบ่งกลุ่มคน" เพราะมันแบ่งไม่ได้
ขอบคุณอาจารย์ที่เพิ่มความกระจ่างคะ
"ถ้าโกรธ หรือชอบอยู่ อย่าเพิ่งทำ โอกาสพลาดสูง"
ข้อความนี้ชัดเจนต่อการปฎิบัติดีมากเลยคะคุณครู
ตาชั่งที่ยังไม่ได้ calibrate ชั่งกี่ทีก็พลาดคะ :-)
ถ้าคนใต้ "สวน" มาแบบนี้อาจจแปลว่าชัก "หวิบ" (เคือง ฉุน ปนรำคาญ) แล้ว ตอบให้ตรงกับในตัวเลือกก็ได้ (วะ)
5555555 นานๆถึงได้ยินอาจารย์ หมอ สกล (วะ่)สักที.......
ลางเนื้อชอบลางยา คำนี้ยังใช้ได้อยู่ ครับคุณหมอ ....
CMUpal
ได้แรงอกน่ะ ท่านวอญ่า อิ อิ
ฟังสองท่านนี้ แหล่งใต้กัน
ได้ศัพท์วันนี้
หวิบ = ฉุนอย่างแรง
ได้แรงอก (ด้าน-แรง-อ๊อก) = โดนใจ ใช่เลย
google เจอผิดถูกอย่างไร ชี้แนะด้วยนะคะ
หวังว่า อ.สกล คงไม่ หวิบ หนูนะคะ :-)
ลุ่มลึกเสมอ ซูฮกค่ะ .. หลังจากเคยเป็นตัวแทนขายยา ก็แทบไม่อยากจะแตะยาเลยค่ะ :)
เคยดู พอสว. ผ่านทีวี เสมอ ไว้จะรอ อยากอ่านบันทึกผ่านมุมมอง ของคุณหมอ ช่วงลง พอสว. บ้างจัง ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณคะ แต่ครั้งสุดท้ายเกือบสามปีมาแล้ว เลือนลางเต็มที เพราะไปแบบสั้นๆ ไม่ได้สัมผัสลึกซึ้งเหมือนอาสาสมัครที่ลงพื้นที่นานๆ แบบคุณ poo คะ...ทึ่งในความหลากหลายคนๆ นี้จัง :-)
บ้านปางฝาง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ปี 2552
ตอนนี้ก็กำลังใช้วิจารณาญาณและความรู้ที่มีมาในการเลือกวิธีการรักษาตัวเองเช่นกันค่ะคุณหมอ
ขอบคุณที่แบ่งปันเช่นกันคะ
บันทึกคุณยุพา เล่าถึงรายละเอียด ความรู้สึก ความคิด ในการตัดสินใจ เลือกรักษา จากประสบการณ์ตรงของตัวเอง..น่าติดตามอย่างยิ่ง
อาจารย์ตอบได้อ่านจุใจและกรุณาอธิบายอย่างแยบยล
ช่วยเปิดกะลาให้กบตัวนี้โดยแท้คะ :-)
มนุษย์ (Homosepian) กับ คน (Man)
เมาคลี มีกายภาพภายนอก ที่คนเห็น "ใส่น้ำปลา" ให้ว่าเป็นมนุษย์ (Homosepian)
แต่ น้ำปลา ที่เมาคลีเห็นภายใน เป็นหมาป่า ..เมาคลี เลยไม่สามารถเป็นคน (Man)
เคยอ่านเรื่อง Multiple intelligences ของโฮวาร์ด การด์เนอร์ มี "ความฉลาด" กลุ่มนึงชื่อ Spatial intelligence ว่าด้วย "การสามารถเห็น="ช่องว่าง/ประโยชน์ของช่องว่าง space"= ซึ่งผมว่าน่าสนใจมาก
อาทิ เฟอร์นิเจอร์ทุกชนิด ของใช้ บ้าน ตึก ฯลฯ ในขณะที่เราอาจจะชื่นชม หลงใหล ชมชอบรูปลักษณ์ของสิ่งเหล่านี้ แต่ function ที่แท้จริงอยู่ที่ "ช่องว่าง" ของสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ ได้แก่ เราวางของ ทำงาน "บน" โต๊ะ นั่ง "บน" เก้าอี้ อาศัย "ใน" บ้าน (ไม่ได้อยู่ในกำแพง แต่อยู่ใน space)
สำหรับคนก็มี space ที่ว่านี้ใน function หลายๆประการ รวมทั้งการสื่อสารและพฤติกรรมอีกหลายๆอย่าง น่าเสียดายที่เรามองไม่ค่อยเห็น space เห็นแต่วัตถุ ตัวบุคคล
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ being นั้นเป็น closed system ในการ "กำหนด" หมายความว่า ช้างเป็นช้าง มดเป็นมด คนเป็นคน จะเพียงพอในการกำหนด ก็ใน "ถุงผิวหนัง รูปร่าง" เหล่านี้ก็พอ ไม่ต้องอาศัยอะไรภายนอกเพื่อที่จะ "เป็น"
แต่ Living นั้นต้องเป็น open thermodynamic system นั่นคือ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ได้ด้วยตนเอง ต้องมีการแลกเปลี่ยนระหว่างภายในกับนอกระบบ (นอกขอบเขตของร่าง) เสมอ เป็น must และเป็น absolute condition
ในการเยียวยาผู้คน เรากำลังทำให้เขาอยู่ในตัวเขา โดยการทำงานแบบ open thermodynamic ซึ่งจะมี "ขอบเขต" หรือ "ด่านหน้า frontier" เกิดขึ้น การทำงานตรงขอบเขตนี้ที่สำคัญมากๆ และละเอียดอ่อน สามารถมีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย จนถ้าเราทำให้เกิด oversimplification ขึ้น เราอาจจะตกใจกับผลที่ไม่พึงประสงค์เพราะความรู้ไม่เท่า มองไม่เห็น ของเราเอง
ขอบคุณคะอาจารย์สกล ให้เกียรติร่วมวงสุนทรียสนทนา :-)
พอเข้าใจ ความแตกต่างระหว่าง living กับ being มากขึ้นคะ
แต่ยังไม่เข้าใจนักคะตรง
การทำงานแบบ open thermodynamic ซึ่งจะมี "ขอบเขต" หรือ "ด่านหน้า frontier" เกิดขึ้น การทำงานตรงขอบเขตนี้ที่สำคัญมากๆ และละเอียดอ่อน สามารถมีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย
อาจารย์พอจะยกตัวอย่างในชีวิตจริง ให้กบน้อย :-} นี้เห็นภาพได้ไหมคะ
สวัสดีคะ กระบวนการ "รู้ตัวเพื่อพัฒนาจิต" จึงสำคัญ
เพราะการทดสอบกับตัวเองอันตรายหากรับรู้สิ่งที่เกิดกับตัวเองคะ
ขอบคุณคะ :-)
ในโลกนี้ ไม่มีใครบอกกันได้ทุกเรื่อง..วิจารณญาณจึงเป็นเพื่อนที่ซื่อตรงที่สุด
กบในกะลาอย่างผม(ยืมกบคุณหมอมาใช้) เห็นด้วยก็ประโยคนี้ เพราะบทความก่อนหน้าสัก 99 percentile (อันนี้ก็ยืมคุณหมอ) เห็นจะได้ กบในกะลาอย่างผมไม่กระดิกรับรู้อะไรเลย แต่ผมเห็นด้วยกับทั้งหมด ของบทความที่คุณหมออุตส่าห์ ลองหลับตานึกภาพเปรียบเคียงต้นไม้(ต้นอะไรซักอย่าง) กับหน้าที่จริง
คุณเขียบเป็นผู้รู้แล้วละคะ ว่าไม่มีใครรู้ไปทุกอย่าง
เป็นเหมือนกันคะ บางเรื่องก็ไม่กระดิกเลย
เช่น เรื่องกฎหมายการปกครอง เครื่องยนต์กลไก ..ทำตาปริบๆ :-)
สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ
ชอบค่ะ อ่านแล้วคิดถึงประโยคที่ว่าคนแต่ละคนตอบสนองต่อยาไม่เหมือนกัน ลึกซึ้ง ซับซ้อนเหมือนกันนะค่ะ
นี่คือความซับซ้อนของวิทยาศาสตร์สุขภาพเลยคะ
เวลาผลวิจัยยาออกมา ว่าทำให้ความดันลด มากกว่าอีกตัว 2 mm.Hg ก็ขายยาได้แล้ว
แต่เวลาคนไข้มา BP 140 กับ 142 mm.Hg เราแทบไม่เห็นความต่าง
นับครั้งไม่ถ้วนที่ปลอบประโลม เมื่อ LDL 100 ขึ้นมา 105
เป็นเช่นนั้นจริงคะ :-)