"การรับ" คือ "การให้" อย่างหนึ่ง


 

การที่มีจิตของ "ผู้ให้" นั้น นับเป็นสิ่งประเสริฐ อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เมื่อมีผู้ให้ ย่อมมีผู้รับ..
คิดไหมว่า การเป็น "ผู้รับ" บ้าง ก็เป็นการให้เช่นกัน
.
หัวข้อวันนี้ ข้าพเจ้าทบทวนอยู่หลายทีว่าจะเขียนดีหรือไม่..
ก่อนอื่นจึงต้อง ขอชี้แจงว่า มิได้มีเจตนาพาดพิงใครแต่อย่างไร
เพียงอยากนำประเด็นมาอภิปราย จากหลายๆ กระบวนทัศน์
...
เมื่อวาน เพื่อนชาวจีน ช่วยข้าพเจ้าขนถังน้ำจากหอเก่ามาหอใหม่
เมื่อมาถึง ข้าพเจ้าซึ้งในน้ำใจอันหายากมาก ที่นี่
ไม่รู้จะตอบแทนอะไร จึงยกพรุนแห้งสำหรับทานเล่นให้
เธอยิ้มขอบคุณ แต่คะยั้นคะยอเท่าไหร่ก็ไม่ยอมรับ
เพื่อนคนนี้เธอเป็นคนนิสัย น่ารัก เปิดเผย
เวลาทำ Dumpling มักแบ่งเก็บไว้ให้ข้าพเจ้าเสมอ
( ข้าพเจ้า เพิ่มพริกขี้หนูซอย และน้ำปลา )
แต่เวลาข้าพเจ้าทำอาหารไทย
เธอจะขอ บาย บอกว่า "มันเผ็ดมากๆ"
ข้าพเจ้าชื่นชมความเป็นผู้ให้ของเพื่อนคนจีนคนนี้จริงๆ
แต่ขณะเดียวกัน ก็อดคิดไม่ได้ว่า
หากเธอ จะ รับน้ำใจ จากข้าพเจ้าสักครั้ง..ก็คงจะดี
...
หลายวันก่อน ข้าพเจ้าได้ search หัวข้อหนึ่งใน google
แล้วพบลิงค์ มาบทความหนึ่งใน gotoknow 
เป็นบทความของผู้มีคุณวุฒิท่านหนึ่งเขียนไว้นานพอควร
บทความเขียนสาระวิชาการ อย่างละเอียด
เต็มไปด้วยความตั้งใจถ่ายทอดความรู้
แต่น่าเสียดาย ว่า 
ท่านผู้เขียนได้ประกาศเลิกเขียนไประยะหนึ่งแล้ว
สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตคือ
เขียนแบบมีบทบาทเป็นผู้ให้ อย่างเดียว..
นั่นคือในส่วนกิจกรรม..มีเพียงการเข้ามาเขียน 
ไม่มีการไปอ่าน บทความของผู้อื่นเลยสักครั้ง..
.
ข้าพเจ้าสังเกตว่า ผู้ที่เขียนบล็อกต่อเนื่อง
มาหลายๆ ปี อย่างมีความสุข
หลายๆ ท่านในที่นี้ 
ในส่วนกิจกรรม มักเป็นผู้ที่อ่านเยอะด้วย
เป็นทั้ง ผู้ให้ และ ผู้รับ 
       ถาพจาก www.tamdee.udomtham.com
...การแบ่งปัน..
การให้ ไม่จำเป็น ต้องหมายถึง เราเป็นผู้หยิบยื่นมอบให้ เท่านั้น
การรับ  ในสิ่งที่ผู้อื่นเต็มใจ ก็เป็นการให้ความรู้สึกดีๆ แก่ผู้อื่นเช่นกัน
เรื่องนี้อาจฟังดูเป็นเรื่องธรรมดา 
ธรรมดาเสียจนข้าพเจ้าเองก็อาจหลงลืมมันไป..บางเวลา..
...
คริ คริ ห้ามใจตัวเองไม่ให้เขียนบล็อกไม่ได้ แม้ไฟลนก็ยังเฉย
อาจเข้ามาตอบช้าไปบ้างคงไม่ว่ากันนะคะ 
.
update *********************
คำถามอันมีค่า จากท่านวอญ่า..
ใครทราบ ที่มาทฤษฎี "ช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อตนเอง" โปรดช่วยแถลงหน่อยคะ
อยากรู้เหมือนกัน :-)
หมายเลขบันทึก: 456217เขียนเมื่อ 26 สิงหาคม 2011 03:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 มิถุนายน 2012 10:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (42)

ไม่มีความคิด ไม่มีความเห็น ไม่คอมเมนท์ไว้

แต่ชอบใจ ให้ดอกไม้ เป็นหลักฐาน

รับคือให้ ทฤษฎี มีมานาน

นั้นคือการ"ช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อตนเอง"

ทฤษฎ๊ ของใคร จำไม่ได้

จะอ้างให้ ถูกต้อง และตรงเผ็ง

หากอาจารย์ รู้ที่มา อย่าได้เกรง

ช่วยบรรเลง แหล่งที่ จะขอบคุณ"

(ด้วยคารวะครับอาจารย์หมอ)

May I ask "what is the value of a giving?"

Should we value the gift from the giver's or the receiver's point of view?

Many people give to relieve their stress (from contacts with 'unpleasant situations' or experiences).

Like when we give a coin to beggar to uplift our spirit and our salvation (to be happy ever afterwards).

Like when we give to show that we are a part of the community (group/family/village/town/...) -- and hope for our turns...

It is not easy to dwell on this issue --give and forget and be happy--

;-)

สวัสดีค่ะอาจารย์

รู้สึกดี มีความสุขทุกครั้งเมื่อได้รับและได้ให้ค่ะ

ในสังคมแห่งนี้รู้สึกตนเองเป็นผู้รับมากกว่าให้ค่ะ ได้รับสิ่งดีๆมากมาย น่าประทับใจค่ะ

**^_^**

ไม่ว่ากันอยู่แล้วจ้า....

พี่หมอคะ

การให้และรับ หนูมองว่ามันเป็นคำที่มาคู่กันค่ะ

เพราะสองคำนี้ช่วยให้เกิดวงจรการแบ่งปันอย่างยั่งยืนในระดับหนึ่ง เมื่อเราให้และรับคืนบ้าง ถึงแม้มันจะมีระดับที่ไม่เท่ากันแต่ทั้งสองสิ่งต่างก็เป็นการหล่อเลี้ยงให้ลำธารนี้ไม่แห้งหายไปนะคะ ^_^

* ในแนวพุทธวิถี มีบัญญัติเรื่องการบำเพ็ญ " ทานบารมี " ด้วยใจที่มีเมตตา และกรุณา เพื่อยังประโยชน์ผาสุขให้แก่ผู้มีทุกข์ทั้งปวง..

* ทานที่ให้ จึงมีทั้งที่เป็น รูปธรรม และ นามธรรม ที่เกิดมรรคผลแก่ผู้รับและผู้ให้ มากน้อยตามเจตนาและประเภทของบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมท้ังความเหมาะสมแก่กาลเวลาด้วย

* ตามประสบการณ์ที่ผ่านมา เคยเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ .. สุขบ้าง ทุกข้บ้าง ..ล้วนเป็นบทเรียนที่น่าจดจำทั้งสิ้น

* สุขเมื่อเป็นผู้รับ คือ เกิดความกตัญญูรู้บุญคุณของผู้ให้ พึงหาโอกาสตอบแทนด้วยความสุขใจ (เข้าข่ายผู้ ผู้รับ คือ ผู้ให้)

* ทุกข์เมื่อเป็นผู้รับ คือ รับมาแบบถูกยัดเยียด รับแบบเกรงใ่จ รับแบบบริหารจัดการยาก ฯลฯ

* สุขเมื่อเป็นผู้ให้ คือ เกิดกุศลอิ่มใจที่เห็นผู้รับมีความสุขที่เราเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาและเติมเต็ม (เข้าข่าย ผู้รับ คือ ผู้ให้)

* ทุกข์เมื่อเป็นผู้ให้ คือ เกิดความคาดหวังจากผู้รับมากเกินไป สนองความต้องการไม่ได้ทั้งหมด

ให้ความเห็นมายาวๆ เพียงเพื่อสรุปว่า ผู้ให้-ผู้รับ ที่เกิดความสุขลงตัว พึงใช้ปัญญาอย่างเหมาะสมด้วยค่ะ :)

เป็นผู้รับก็นับเป็นเช่นผู้ให้            เป็นแรงใจคนให้ดีมิเก้อเขิน

ได้ภูมิใจในความดีที่สร้างเพลิน     ร่วมก้าวเดินเป็นกำลังใจให้แก่กัน

แต่ผู้รับต้องซาบซึ้งถึงคุณค่า       อย่าเหมือนว่าหลอกเอาเฝ้าเย้ยหยัน

เป็นผู้รับนับเป็นผู้ให้ได้เหมือนกัน  รับสร้างสรรค์ส่งเสริมเติมกำลังใจ

 

ถ้าไม่มีผู้รับก็ไม่มีผู้ให้นะคะ  บางครั้งเราต้องทำตัวเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับด้วย

ถึงแม้จะต่างระดับของการให้และการรับ  แต่ก็สร้างสัมพันธภาพให้ยืนยาวได้

บางครั้งการเขียนบันทึกถึงแม้เราจะมีความสุขกับการให้โดยการเขียน เขียน

และเขียนแต่หากไม่รับรู้การเขียนของผู้อื่นบ้าง ในความคิด...คิดว่าเป็นการปิด

กั้นตัวเองนะคะ  คิดปิดกั้นความคิดหรือความรู้ของคนอื่น  ศักยภาพของแต่ละคน

ไม่เท่ากันแต่..ความคิดของคนอื่นบ้างครั้งก็เป็นสิ่งที่เรามองข้ามหรือคาดไม่ถึง

เช่นกัน  ขอบคุณกับบันทึกที่ให้เขียนในสิ่งที่อยากระบายนะคะ

ขอบคุณมากมายกับความห่วงใยเรื่องการล้างสารพิษค่ะ....

อยากกด like หลายๆๆครั้ง ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ครับ ขอให้มีความสุขกับการทำงาน การเรียนครับ...

บทกลอนไพเราะ เสนาะยิ่ง..

นั้นคือการ"ช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อตนเอง"

ทฤษฎ๊ ของใคร จำไม่ได้

จะอ้างให้ ถูกต้อง และตรงเผ็ง

หากอาจารย์ รู้ที่มา อย่าได้เกรง

ช่วยบรรเลง แหล่งที่ จะขอบคุณ"

 

คำถามนี้ คงต้องประกาศหาผู้รู้มาช่วยแล้ว

ด้วยความคารวะ เช่นกันคะ

That's a good point ka Khun Sunthorn

 --give and forget and be happy--

การให้ด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ :-)

แต่ถ้าให้แบบไม่เต็มใจ (โดนฉกกระเป๋าตังค์) ...
       
       -- Forgive and forget and be hungry

การที่รู้สึกว่าเป็นผู้รับมากกว่า
ก็เพราะมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มองเห็นคุณค่าผู้อื่นเสมอคะ

ไม่ว่ากัน.ใจดีจัง :-) งั้นขอไปปั่นงานต่อก่อนนะคะ พรุ่งนี้จะกลับมาใหม่

เห็นด้วยค่ะ

เคยเขียนบันทึกไว้เหมือนกันค่ะ จำไม่ได้ว่าชื่อ การรับคือการให้ หรือเปล่าค่ะ

"เมื่อไม่มีผู้รับ ย่อมไม่สามารถให้" .... นะคะ

...การแบ่งปัน..
การให้ ไม่จำเป็น ต้องหมายถึง เราเป็นผู้หยิบยื่นมอบให้ เท่านั้น
การรับ  ในสิ่งที่ผู้อื่นเต็มใจ ก็เป็นการให้ความรู้สึกดีๆ แก่ผู้อื่นเช่นกัน
    ประโยคนี้ใช่เลยค่ะ
เป็นความสุขมากค่ะที่ให้แล้วรับนั้น
ไม่ทำให้ผู้ให้เสียน้ำใจ เพราะตั้งใจให้ด้วยรัก อยากตอบแทน..เหล่านี้

คุณหมอบางเวลา CMUpal มีเสน่ห์มากที่ทำให้น้องคนนี้ >> มะปรางเปรี้ยว สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ทุกบันทึกเลย ;)...

ปกติน่ะ ... เธอไม่ ... นะ 555

อ่านบันทึกนี้ ชวนคิด ชวนจำ และชวนทบทวนตัวเองเป็นอย่างมาก
ชื่นชมครับ...

 

ลองค้นดูเจอแล้วคะ ชื่อ การรับ..คือการให้ :-)

บันทึกเมื่อ 26 ม.ค.2009  

อย่างที่ท่านวอญ่า ว่าคะ สิ่งนี้มีผู้รู้มานาน..

พล็อตเดียวกัน แต่ต่างที่รายละเอียด

เมื่อเราให้และรับคืนบ้าง ถึงแม้มันจะมีระดับที่ไม่เท่ากันแต่ทั้งสองสิ่งต่างก็เป็นการหล่อเลี้ยงให้ลำธารนี้ไม่แห้งหายไปนะคะ

Concisely, truely, deeply  คะ :-)

ขอบคุณมากๆ คะ สำหรับความเห็นที่มาเติมเต็ม
เราสามารถตีตารางเป็นสี่ช่องหาจุดสมดุล ได้เลยนะคะ

แต่สงสัยนิดหนึ่ง

สุขเมื่อเป็นผู้ให้ คือ เกิดกุศลอิ่มใจที่เห็นผู้รับมีความสุขที่เราเป็นส่วนหนึ่งของการเยียวยาและเติมเต็ม (เข้าข่าย ผู้รับ คือ ผู้ให้) -> อันนี้ พี่ใหญ่หมายถึง ผู้ให้ คือ ผู้รับ หรือเปล่าคะ

แต่งกลอนได้สรุปความดีมากเลยคะ คุณวิโรจน์

แต่ผู้รับต้องซาบซึ้งถึงคุณค่า       อย่าเหมือนว่าหลอกเอาเฝ้าเย้ยหยัน

ข้อนี้สำคัญ 

เขียนแต่หากไม่รับรู้การเขียนของผู้อื่นบ้าง ในความคิด...คิดว่าเป็นการปิด กั้นตัวเองนะคะ

ได้เรียนรู้ ทั้งสาระและเทคนิคการเขียนแบบฟรีๆ ทำไมจะไม่สนจริงไหมคะ

555 อาจารย์ขจิต ติดใจ facebook ;-)

ประเด็นสำคัญเลยคะ การตอบแทนบุญคุณ การแสดงกตัญญู

คนที่ไม่รับ มองอีกแง่หนึ่ง คือ ไม่หวังสิ่งตอบแทน

ทางออก คือ นำไปสร้างบุญต่อก็ได้คะ

เช่น ตอนเอาเงินเดือนแรกให้แม่..คุณแม่อาจบอกว่า บอกว่าจะเอาไปทำบุญต่อนะ

ได้เป็นผู้ให้ทั้งคู่ win-win :-)

อรุณสวัสดิ์วันหยุดค่ะ .. กลับมาตอบข้อสงสัยค่ะ

* พี่ใหญ่หมายความตามที่เขียนไว้ค่ะ .. ผู้รับเป็นผู้ให้ ในขั้นที่ 2 คือ เมื่อการให้เห็นผลตามประสงค์ของผู้ให้สะท้อนออกมาจากความสุขของผู้รับ เช่นนี้แล้ว ผู้รับคือผู้ให้ ..ให้กำลังใจค่ะ เป็นวงจรที่สมบูรณ์ :)

สวัสดีค่ะIco48 แวะเข้ามาอ่าน"การรับ" คือ "การให้" อย่างหนึ่ง...เรียกว่าอุตส่าห์รับหรือเปล่าค่ะ...anyway สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้...ให้จนคนรับไม่รู้คุณค่า...ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงนะคะ

ขอบคุณคะ ที่ชม (หรือเปล่า :-) 
น้องมะปรางเปรี้ยว มีคนคิดถึงหลายคนนะคะ 

หากได้เขียนจากเรื่องราว “ใกล้ตัว” หรือเขียนจากเรื่องราวอันเป็น “โลกส่วนตัว” ของตัวเอง ยิ่งทำให้การเขียนผ่อนคลาย ไหลรื่น

อย่างที่อาจารย์ว่าเลยคะ :-)

 

 สวัสดีะ ตอนนี้ที่นี่ยังเป็นเย็นวันศุกร์

ขอบคุณที่ทำให้กระจ่างคะ...ได้ข้อคิด..อย่าอายที่จะแสดงความสุขในการรับ 

ชอบจัง.. "อุตสาห์รับนะนี่..ฮะ!" อิ อิ

สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้...ให้จนคนรับไม่รู้คุณค่า

เตือนใจได้ดีคะ คิดถึง ให้ปลา หาปลา ขึ้นมาทันที

 

 

อ้าว...เพิ่งเห็นว่า อ.วิตพาดพิงถึงนะค่ะเนี๊ยะ^_^

ขอบคุณครับคุณหมอ ผมเองก็เริ่มเปิดรับข้อมูลจากกัลยาณมิตรท่านอื่นๆ บ้างนอกเหนือจากการบันทึกความรู้ครับ

ขอบคุณบันทึกดีๆนะคะ..อ่านแล้วมองย้อนกลับไป..มันใช่เลย...คริ..คริ..คริ

หมายถึง comment อ.พจนา หรือ บทความคะ กด like เนี่ย ;-)

ขอบคุณสำหรับบทความและคำอธิบายอย่างละเอียดคะ เป็นแหล่งความรู้มีค่ามหาศาล


แต่การอ่านบทความของท่านอื่น วงการอื่น ก็ช่วยเปิดมุมมองได้กว้างขึ้นจริงๆ คะ  

เป็นเกียรติคะท่านอาจารย์  
ชีวิตคือการเรียนรู้ เหมือนเราส่วนมากเคยโดนประตูหนีบมือมาก่อน :-) 

ดีจังเลยค่ะ ...ขอบคุณสำหรับ บทความดีดีนะคะ .... จะคอยติดตามค่ะ ชอบ เรื่องของอาจารย์จังค่ะ

ดีใจที่ชอบคะ อ่านเรื่องสบายใจแล้วขอให้มีกำลังใจอ่านหนังสือ ทำวิจัย ต่อนะคะ :-)

" เอาเป็นว่าเราต่าง...เติมใจให้กัน.." นะคะ

คำว่า "เติมใจให้กัน" นี้ลึกซึ้งคะ

ทำให้คิดถึงคำว่า"น้ำใจ"

แต่ละคน มีน้ำใจ แต่บางสถานการณ์ทำให้มันแห้ง 

พอมีใคร ใส่น้ำใจของตัวเอง เติมลงไป 

คนที่ได้รับ ก็กลับมา "มี" น้ำใจอีกครั้ง

...ได้ข้อคิด หากเราคิดว่าใครขาดน้ำใจ บางทีเพราะยังไม่มีใครเติมให้เขาก็ได้

ขออนุญาตนำไปแบ่งปันที่ Facebook

.ในภาพข้อความว่า "การให้...คือบุญ การรับ...คือความสุข"

ขอบคุณนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท