ความจริงเสมือนที่กำลังทำลายทรัพยากรที่ดินและสิ่งแวดล้อม


ทั้งเกษตรกรและนักวิชาการแทบทุกระดับ ได้ร่วมกันสร้างภาพความจริงเสมือนนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย และเชื่ออย่างไม่ลังเลว่าสิ่งเหล่านี้คือ "ความจริงแท้"

ก่อนที่ผมจะทำงานในโครงการศึกษาความเสื่อมโทรมของดินเขตร้อน เมื่อปี ๒๕๔๐ ผมก็เคยมีความเชื่อเช่นเดียวกับนักวิชาการด้านดินและปุ๋ยท่านอื่นๆว่า

  • ความเสื่อมโทรมของดินมาจากการที่พืชที่ปลูกนำธาตุอาหารออกไป
    • ถ้าเราชดเชยโดยการใส่ปุ๋ยให้กับดินก็จะแก้ไขได้
    • จึงเน้นศึกษาการสูญเสียธาตุอาหารจากการนำออกไปกับพืชที่เก็บเกี่ยว
    • และเชื่อว่า ถ้าเราเก็บเกี่ยวน้อย คืนสู่ดินมากๆ ดินก็จะไม่เสื่อมโทรม หรือ เสื่อมไม่มาก
    • จนเป็นที่มาของนโยบาย "ปุ๋ยสั่งตัด" ในระดับประเทศ
  • พืชชนิดต่างๆปรับตัวเข้ากับปริมาณน้ำในดิน จึงต้องการน้ำแตกต่างกัน
    • จึงเน้นศึกษาปริมาณน้ำที่เหมาะสมกับการเจริญกับพืชแต่ละชนิด
    • จนเกิดเป็นงานวิจัยเรื่อง "ความต้องการน้ำของพืชชนิดต่างๆ"
  • ต้นไม้ช่วยปรับปรุงดินให้กับพืชเกษตร
    • จึงเน้นศึกษาชนิดของพืชยืนต้นที่เหมาะสมกับระบบ "วนเกษตร"
    • โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วที่ตรึงไนโตรเจนได้

ที่ความเป็นจริง

แต่ทั้งหมดเป็นเพียงความจริงเสมือนของความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติเท่านั้น

  • ที่ผมได้ค้นพบ "ความจริงกว่า" ในงานวิจัยหลายโครงการ ต่อมา 
    • ทั้งที่ทำระดับห้องปฏิบัติการ
    • เรือนทดลอง
    • แปลงทดลอง
    • ในระดับไร่นาเกษตรกรทั่วภาคอีสาน และ
    • สุดท้ายมาทำด้วยตัวเอง และ
    • จัดการความรู้จากการปฏิบัติ 
    • จึงได้ความรู้ทั้งเชิงวิชาการ หลักการและเชิงประจักษ์

จากผลการทำงาน และจัดการความรู้จากงานที่ทำต่อๆมาว่า

  • ความเสื่อมโทรมของดินมาจากสูญเสียโดยการตัด ถาง เผา และการชะล้างธาตุอาหารออกไปจากดินและที่ดินมากกว่าพืชที่ปลูกนำธาตุอาหารออกไป
    • จนเหลือไม่เกิน ๓๐ % ของความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม
    • โดยไม่นับปริมาณสำรองในระบบพืชพรรณที่มีอยู่เดิม
    • การชดเชยโดยการใส่ปุ๋ยให้กับดินมากเพียงใดก็ยังไม่สามาถจะชดเชยหรือแก้ไขได้
    • มีการสูญเสียเล็กน้อยไปกับพืชที่เก็บเกี่ยว ไม่เกิน ๕% ของปริมาณความอุดมสมบูรณ์ของดินเดิม
    • ที่อาจชดเชยได้แต่ก็ไม่พอแก่การปรับปรุงดิน หรือ เท่ากับที่เคยมี
    • แม้จะไม่เก็บเกี่ยวพืชเกษตรเลย ดินก็จะยังเสื่อมโทรมประมาณเท่าๆเดิม
    • เพราะดินขาดระบบ "การเก็บสำรอง และระบบปลดปล่อย" ที่เคยมีในระบบนิเวศธรรมชาติ
  • พืชชนิดต่างๆปรับตัวเข้ากับสภาพและปริมาณธาตุอาหารในดิน โดยมีระดับน้ำในดินเป็นตัวแปร แต่ต้นพืชต้องการน้ำที่ใช้ในต้นใกล้เคียงกัน จึงปรับตัวเจริญอยู่ในสภาพที่มีน้ำแตกต่างกัน
    • จึงเน้นศึกษาการปรับปรุงปริมาณสำรอง และความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารที่เหมาะสมกับการเจริญกับพืชแต่ละชนิด ในสภาพที่มีน้ำแตกต่างกัน
    • และพบว่าปริมาณน้ำที่พืชต้องการนั้นเล็กน้อยมาก
    • เพียงทำให้ปากใบเปิด รับคาร์บอนไดออกไซด์มาสังเคราะห์แสง และทำให้ธาตุอาหารเคลื่อนที่ได้ในต้นมาช่วยรับพลังงานแสงได้ ก็เพียงพอแล้ว
    • แต่ถ้าดินมีธาตุอาหารน้อยไป น้ำก็จะช่วยละลายและปรับให้ธาตุอาหารเป็นประโยชน์มากขึ้น
    • ที่พืชบางชนิดปรับตัวอยู่กับประเด็นความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารมากกว่าปริมาณน้ำโดยตรง
  • ต้นไม้ช่วยสำรองและหมุนเวียนธาตุอาหาร ที่เป็นการปรับปรุงดินให้กับพืชเกษตร
    • จึงใช้พืชใดก็ได้ที่เจริญเติบโตเร็ว และดูแลง่าย บังแสงน้อย เจริญที่มีแสงน้อยได้ดี 
    • ที่สามารถสะสมธาตุอาหารจากระบบที่เสื่อมโทรมได้ดี และพัฒนาดินและที่ดินได้เร็ว
    • ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นพืชตระกูลถั่วตามความเชื่อเดิมๆของนักวิชาการ ที่สามารถปรับใช้อย่างเหมาะสมกับระบบ "วนเกษตร"

แต่ความจริงเสมิอนข้างต้น ทั้งด้าน ดิน ธาตุอาหาร ปุ๋ย น้ำ แหล่งน้ำ ป่าไม้ ต้นไม้ ที่เป็นความเชื่อและปฏิบัติกันมาจน "ชิน"

  • ทั้งเกษตรกรและนักวิชาการแทบทุกระดับ ได้ร่วมกันสร้างภาพความจริงเสมือนนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย และ
  • เชื่ออย่างไม่ลังเลว่าสิ่งเหล่านี้คือ "ความจริงแท้"
  • ที่กำลังทำลายระบบสังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรที่ดินและสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง

แบบยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

ผมจึงเขียนบันทึกนี้

  • เพื่อสะกิดให้เราตื่นจากฝันร้าย
  • ที่กำลังฝันกันอยู่
  • ทั้งๆที่ไม่อยากฝัน

ถ้าไม่อยากฝันร้าย ก็รีบตื่นมาอยู่กับความเป็นจริง

แล้วทั้งชีวิตเรา สังคม และความสุขก็จะกลับคืนมา

  • ที่ยังมีฝันร้ายอีกหลายเรื่องที่ยังหาคำตอบไม่ได้อีกมากมาย
  • ที่จำเป็นต้อง "ตื่น" มาแก้
  • และไม่มีทางแก้ได้ในความฝัน

ที่หวังว่าเราจะตื่นมาอยู่กับความจริงกันครับ

ขอให้โชคดีและ "ตื่นจากฝันร้าย" กันทุกท่านครับ

หมายเลขบันทึก: 445125เขียนเมื่อ 21 มิถุนายน 2011 08:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เยี่ยมยอดจริงๆ ครับอาจารย์ เราคงหลงความจริงเสมือนมานาน

ผมกำลังทดลองความจริงกว่า ลองปลูกผักปลังในถุงดำขนากหกนิ้ว 8-9 ถุง วางเรียงไว้ริมกำแพง บนพื้นซิเมนต์ แล้วรอบๆ ถุงเอาเศษฟาง เศษอาหาร ขยะย่อสลายได้ไปสุมไว้  

งามดีครับ เก็บกินได้ เพราะรากผักแทงออกจากรูก้นถุงมาหากินกับอินทรีย์วัตถุ ซึ่งผมสุมไว้บนพื้นซิเมนต์ และมีไส้เดือนมาอยู่ร่วมด้วย ผมยังงว่าไส้เดือนมาได้ไง?

It is clear that we do (believe in) a lot of things on farm according to 'old wisdom' and we don't ask (why) questions.

There are truths in 'old wisdom' and there are truths in what you say.

Somehow, we are not getting better 'choosing side' without understanding 'our natural system' --whole--.

Both models are missing ('variables' or) components or 'the real stake-holders': micro-organisms, insects, worms, and 'weeds' and so on. Other living things (in and on soil) uses inorganic materials: CO2, nitrogen, light, temperature, water, ... and organic materials: (wastes and) produces of other lives, work done by other lives (aerating, fermenting, ...).

Enough to say that we have not one whole 'web of relations' (network of interdependencies) but only 'parts of the picture' (pieces of the jigsaw puzzle). Unconnected, we don't know 'the real real truth' or 'we don't have 'the whole truth'.

All we have are pieces vying for a (position) place on the board.

BTW, I have spent 20 tears on 100 acres of bushland with native (gum and wattle) trees, tropical (fruit and flower) trees and (market and wild) vegetables, other exotic imported plants and animals. I can say that I live in a multicultural environment. I can say that to 'blend in the environment' I have to learn to understand the 'nature of things'.

I have to throw away many 'old wisdom' and I have come to 'respect' many 'old wisdom' too.

Years of editing and re-interpreting 'old wisdom' may have the 'old wisdom' dressed for too many occasions ;-)

Finally, 'buddhist' means 'one who is awaken', one who opens her/his/its eyes and can now see. ;-) ;-) ;-)

ครับ

ผมคิดเองนะครับว่า

คนจำนวนมากทีเดียว ไม่รู้ว่าเรากำลังฝัน หรือ กำลังตื่นอยู่

สมัยเด็กๆ ผมเคยทำได้อยู่หลายปี แต่พอโตขึ้น ความสามารถนี้หายไป

เมื่อผมทำได้นั้น ผมจะรู้ว่า

"ผมกำลังฝัน หรือ กำลังตื่น"

โดยใช้วิธีการหาความสัมพันธ์ ว่า ที่ผมเห็นนั้น หรือ กำลังเป็นอยู่นั้น มันเป็นจริงไปได้หรือไม่

โดยการลองหยิกตัวเอง และหลายๆวิธี และหาความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ถ้าเชื่อมโยงได้หมด ก็น่าจะเป็นจริง

แต่ทุกครั้งที่ผมกำลังฝัน จะต้องมีอะไรที่ไม่สามารถเชื่อมโยงได้

แล้วผมจะสรุปว่า "กำลังฝัน"

ต่อจากนั้น ผมก็จะสนุกกับมัน และไม่ต้องสนใจ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะมันเป็นแค่ "ความฝัน" เดี๋ยวมันก็หายไป เมื่อการฝันจบลง

ทุกวันนี้ ผมทำไม่ได้เลย ไม่รู้เลยว่า "กำลังฝัน"

ฝันร้าย หรือ ฝันดี ก็ไปจริงจังกับมันหมดเลย

ผมสูญเสียการ "รู้ตัว" ในระหว่างฝันไปนานแล้ว

มิหนำซ้ำ ผมยังมี "ฝันซ้อนฝัน" แบบสี่ห้าชั้น เกิดขึ้นบ่อยๆ

ตื่นตั้งสามชั้นแล้ว ยังไม่ตื่นจริงเลย ยังเป็นการตื่นอยู่ในฝันอยู่เลย

ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเป็นนี้ มันอาจจะเกิดเป็นจริงกับคนบางคนที่ "กลับกัน"

คือ แม้แต่ยังตื่นๆเห็นๆ ก็ยัง "เพ้อฝัน" ไม่รู้ว่าอะไร เป็นอะไร

ไม่เคยคิดหาเหตุผล ไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ปล่อยให้ชีวิตตัวเองลอยไปตามกระแสเหมือน "เศษขยะ" ไหลไปตามทาง (ตามความเคยชิน ตามสังคม) ลอยตามน้ำ (ตามความเชื่อ ความคิด) ตามลม(ตามค่านิยม คำพูด) ฯลฯ แล้วแต่กระแสจะพาไป

แล้วก็จบลงอย่างไร้จุดหมาย และไร้ความหมาย

ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาทำไม

แม้เราจะพยายามบอก ก็เหมือนเราไปสร้างปัญหาให้เขา มากกว่าที่จะมองว่าเราไปช่วยเขา

ความจริงเสมือนนี่ มันร้ายกาจจริงๆ

อยูในทุกวงการ สร้างปัญหาได้แทบทุกเรื่อง

สงสัยจะเป็น "ธรรมดา" ของโลกครับ

คิดมากไปก็จะกลับกลายเป็นความทุกข์ไปเปล่าๆ

ปล่อยให้ "สัตว์โลก เป็นไปตามกรรม" บ้าง

คงจะง่ายดีนะครับ

ขอบคุณครับ

Yes, it is sad when we can no longer tell if the world is real or just another virtual (sensual) picture in our dreams.

To many climbing Mt Everest is a dream -- too far away. To some who started the journey, Mt Everest is getting closer and one day it will under their feet and the dream is a past reality.

People who don't dream (far and high enough), don't have a vision or don't start 'doing', will go with the currents --drift toward an ocean (the final sink)--. Those who dream and 'do' find the journey much more exciting, rewarding or life fulfilling. But in the end, very few manage to change the course of a current. Most die trying with eyes still open but no longer see. It is this confusing reality that makes 'webs of relations' --how one things links to another-- a network of paths for our minds (and thinking) to (choose and) follow.

In a "dynamic web of relations" one can go around and around the same circuit and not seeing (knowing) the merry-go-round. But, don't worry, be happy ;-)

บางคนก็วนเวียนทำสิ่งที่ "ไร้สาระ" แบบไม่คิดจะเหนื่อย

ก็น่าสงสารอืกแบบ และเราคงทำอะไรไม่ได้มากนัก

และ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ครับ

your "ร่วมกันสร้างภาพความจริงเสมือนนี้" is exactly wrong Key Performance Index (KPI) in mine Reverse Threshold Model. 5 555555555 wish you can see my words at least. Regardss, zxc555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท