มะอึกขึก...ในความทรงจำ (เทียนต่อเทียน...รุ่นต่อรุ่น)


...."มะอึก" เป็นพืชในตระกูลมะเขือ มีสีเหลืองออกส้ม รสชาติเปรี้ยวอมฝาด เปรียบเสมือนกับชีวิตของพวกเราวัยรุ่นที่มีสีสัน อยากรู้ อยากลอง บางครั้งก็สุข บางครั้งก็ทุกข์ เช่นเดียวกับรสชาติของมะอึก ส่วนคำว่า "ขึก" เป็นอาการที่มากยิ่งกว่า คึก นั่นเพราะ กลุ่มของพวกเรานั้นคึกคักไปยิ่งกว่าใครๆจะนึกได้ ... ว่าแล้วก็ลากเข้าความกันไปตามทางที่เราอยากให้เป็น (ฮ่าๆ)
          "จากวันนั้นเพื่อนขวัญเคยร่วมกัน ขับขาน รวมจิตใจ สู่วันนี้พี่น้องต้องจากไกล ฝากใจถึงทุกคน ด้วยความรักเปี่ยมล้น บนเส้นทาง สว่างไสว ในศรัทธา ร่วมกันสร้างพรุ่งนี้ของประชาที่สดใส ให้เป็นจริง... ชีวิตเธอมีคุณค่า ปวงประชาเขารออยู่ รอเธอเป็นผู้ก้าวไป ดังมวลไม้ที่งอกงาม ยามถึงคราวชูช่อใบ ไปเถิดจงไปทั่วแดน อยากให้เธอเป็นเทียนเล่มน้อยที่ส่องแสงสู่หน...ทางมืดมน เทียนสว่างไสวอยู่ในใจผู้คน ตราบจน นิรันดร์"

          ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังเพลง "เทียน" ภาพบรรยากาศการทำกิจกรรมจะค่อยๆเคลื่อนเวียนเข้ามาในความคิด และทุกครั้งเช่นเดียวกัน ผมมักจะอดขนลุกเมื่อฟังเพลงนี้ด้วยไม่ได้ เพราะเพลงนี้เองที่ทำให้ใครๆต้องเสียน้ำตาและใครอีกหลายคนต่างส่งยิ้มให้แก่กัน ทุกใบหน้าที่เห็นมีแต่ความอิ่มเอม...มีความสุข และหากจะมองให้ลึกลงไปในดวงตาของคนที่อยู่ตรงหน้าจะพบว่า "ฉายแววไปด้วยพลังใจและไฟฝัน"

          "กลุ่มมะอึกขึก" หลังจากได้ก่อตั้งเป็นกลุ่มกิจกรรมที่ทำงานด้านรณรงค์และป้องกันปัญหาด้านสิ่งเสพย์ติด เอดส์ และสิ่งแวดล้อม อย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว สมาชิกภายในกลุ่มก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน โดยเพื่อนของเราคนหนึ่งในกลุ่มคือ เอก ได้ขอถอนตัวออกไปเพราะได้ทดลองกับตัวเองหลายครั้งแล้วว่าไม่ใช่ทางที่ถนัด แต่เนื่องจากงานของพวกเรานั้นต้องใช้กำลังคนเข้ามาช่วยพอสมควรจึงได้ชักชวนเพื่อนอีก 3 คนให้เข้ามาทำงานร่วมกัน นั่นคือ พจี ศรี และแก้ม (จำได้ว่าเราต้องไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนสองแคววิทยาคม จ.เชียงใหม่ ตอนนั้นคนที่มาร่วมกิจกรรมมีเยอะมาก พวกเรา 8 คนรับมือไม่ไหวแน่จึงต้องหากำลังเสริม) ผมเองใช้สิทธิความเป็นพี่ใหญ่(แก่สุดในกลุ่มครับ ฮ่าๆ) เลือกหญิงสาวทัั้ง 3 คนเข้ากลุ่มโดยไม่ประชุมขอความเห็นล่วงหน้า งานนี้ผมโดนเคืองนิดหน่อย แต่เพราะความเป็น"พี่"ทำให้น้องเขายอมลงให้...แต่จนทุกวันนี้ผมไม่เคยนึกเสียใจเลยที่ปากไวไปชวนเพื่อนทั้ง 3 คนมาทำกิจกรรมด้วยกัน เพราะนับแต่นั้นเป็นต้นมา กลุ่ม"มะอึกขึก"ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

          สมัยนั้นคนทำกิจกรรมมักถูกมองว่าเรียนไม่เก่ง เป็นตัวโจ้กคั่นเวลา แต่ด้วยผลการเรียนของพวกเราที่อยู่ในระดับที่"น่าพึงพอใจ" ตามด้วยความสำเร็จของกิจกรรมที่พวกเราได้ทำร่วมกัน ทำให้หลายๆคนเริ่มเปลี่ยนความคิด ไม่ว่าจะเป็นครู เพื่อนๆ รุ่นพี่หรือรุ่นน้อง ต่างจับจ้องกลุ่มทำงานของเราอย่างสนใจ (ก่อนหน้านี้ใครได้เป็นคณะกรรมการนักเรียน หรือเป็นนักกีฬาของโรงเรียนก็ถือว่าเท่ห์ครับ แต่ตอนนั้นที่รร.พะเยาพิทยาคม พวกเรามะอึกขึก"POP&HOT"ที่สุดแล้ว ฮ่าๆ) โดยเฉพาะผู้ปกครอง หลายคนเริ่มวางใจให้มาทำกิจกรรมที่โรงเรียนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลายบ้านจะมีอาหาร ขนม และผลไม้ฝากมาให้พวกเราได้กินกัน

          แล้วเวลาของชีวิตนักเรียนชั้นม.4 ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงระดับชั้นม.5 ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ พวกเราเริ่มกังวลถึงเวลาที่จะต้องทุ่มเทให้ทั้งการเรียนและการทำกิจกรรม ไม่อยากให้อย่างใดอย่างหนึ่งต้องลดความเข้มข้นลงไป จึงมีความคิดที่จะหารุ่นน้องเข้ามาสืบทอดและต่อยอดกิจกรรมของพวกเราให้ดียิ่งขึ้น จึงได้ประกาศรับสมัครมะอึกรุ่นใหม่ในช่วงเทอมแรกนั่นเอง

         วันแรกและวันสุดท้ายของการรับสมัคร (จริงๆคือเรารับวันเดียว ฮ่าๆ) มีน้องๆเกือบร้อยคนมายืนต่อแถวยื่นใบสมัครและรอสัมภาษณ์ แถวนั้นยาวตั้งแต่หน้าห้องปกครองซึ่งอยู่ทางขวาสุดของอาคาร 1 ไปจนถึงด้านซ้ายสุด(ห้องประชาสัมพันธ์)แล้วยังต้องปัดแถวเรื่อยลงไปตามบันไดของอาคารเพราะต้องเว้นที่ว่างให้คนอื่นได้ใช้ทางเดินด้วย (วันนั้นเป็นวันศุกร์ เวลาที่รับสมัครจะเริ่มประมาณบ่ายสี่โมงครึ่ง จำได้ว่าใครเดินผ่านอาคาร 1 ก็จะหันมามองและสงสัยว่าเด็กพวกนี้มาต่อแถวทำอะไรกัน ทำไมไม่กลับบ้าน)

          พวกผมเองยังตกใจเลยนะครับ ไม่เคยนึกเลยว่ากลุ่มของเราจะได้รับความสนใจขนาดนั้น ยิ่งเห็นน้องมากันเยอะ กำลังใจของพวกเราก็มาทันที ทำให้การสัมภาษณ์ในเย็นวันนั้นเป็นไปอย่างเข้มข้น หลังจากนั้นก็ให้น้องกลับบ้านไปเก็บผ้า-เก็บของมานอนโรงเรียนเพื่อเข้าค่ายทำกิจกรรมกับพวกเรา คืนนั้นมีน้องกลับมาเข้าค่ายกับเราประมาณ 60 คน (หากจำผิดก็ให้อภัยคนแก่ด้วยนะครับ) แต่จะมีเพียง 11 คนเท่านั้นที่จะได้รับการคัดเลือกให้เป็น "มะอึกขึก รุ่นที่ 2" ผลการเข้าค่ายร่วมกิจกรรมระหว่างกันสร้างความหนักใจให้กับรุ่นพี่อย่างพวกเราเป็นอย่างมาก เพราะน้องแต่ละคนนั้น"ปล่อยของ"กันแบบไม่ยั้ง แม้จะทำให้ต้องคิดหนักเมื่อถึงเวลาต้องเลือก แต่กระนั้นก็ทำให้พวกเราวางใจว่ากลุ่ม"มะอึกขึก"จะไม่มีวันหายไปอย่างแน่นอน

          แล้วในบ่ายของวันอาทิตย์ต่อมา ก็ถึงเวลาของการประกาศผลการคัดเลือกที่แสนปวดใจ (ทั้งคนเลือกและคนถูกเลือก) เราได้น้องที่ต่อไปจะเป็นผู้นำกิจกรรมทั้งสิ้น 15 คน (ขนาดว่าเพิ่มคนแล้วก็ยังอดเสียดายไม่ได้) ผมจำได้ว่าตอนที่ประกาศนั้นหลายคนถึงกับน้ำตาคลอ น้องผู้หญิงบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาตัวเองไม่อยู่เมื่อได้รู้ว่าไม่มีชื่อของตัวเองที่รุ่นพี่ได้ประกาศออกไป ... แต่ถึงจะไม่ติดโผดังที่ตั้งใจไว้ น้องๆก็ให้สัญญาว่าจะมาช่วยพวกเราจัดกิจกรรมอย่างแน่นอน ... ผลของการให้สัญญาใจในครั้งนั้นได้สร้างความสำเร็จให้กับกลุ่ม"มะอึกขึก" เป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะมีการจัดกิจกรรมขึ้นครั้งใดก็ตาม น้องๆจะมาช่วยพวกเราเสมอ... ร้อยยิ้ม เสียงหัวเราะ และน้ำตา...สร้างความสุขและช่วยเติมเต็มกันและกัน

          จากวันนั้นถึงวันนี้ มี"มะอึกขึก"แล้วถึง 12 รุ่น (ที่จีนผมใช้เฟซบุ๊กไม่ได้ เลยยังไม่แน่ใจว่ามีการรับน้องรุ่นที่ 13 ไปหรือยัง)... น้องหลายคนอาจรู้จักผมเพียงคนที่มีรายชื่อในฐานะของมะอึกขึก "รุ่นแรก" (ตัวผมเองก็ไม่ได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเลยเกือบ 10 ปี) แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของน้องๆ ทั้งจากเว็บไซต์ หรือถามข่าวคราวจากเพื่อนๆที่ไปเยี่ยมหรือไปทำกิจกรรมกับรุ่นน้องอยู่เสมอ และทุกครั้งที่ได้ยินใครพูดถึงกลุ่ม "มะอึกขึก" ผมจะอดยิ้มและรู้สึกภูมิใจไปด้วยไม่ได้ ...เรื่องราวเก่าๆเกิดวนซ้ำ...ภาพการทำกิจกรรมยังปรากฏชัด... และแน่นอนวันนั้นที่พิษณุโลกผมยังจำได้ดี วันที่พวกเราคิดชื่อ "มะอึกขึก"ขึ้นมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

          ... สาวๆจากเฉลิมขวัญฯที่แสนจะมุ่งมั่นได้เสนอชื่อกลุ่มตัวเองว่า "มะคึก" เธอเล่าให้กับชาวค่ายว่ามาจาก "เนินมะคึก" ซึ่งเป็นชื่อของตำบลที่พวกเธออาศัยอยู่ ผลการนำเสนอเรียกเสียงฮือฮาปนทึ่งจากทุกคนอย่างเสียมิได้...แต่พวกเรามาไกลจากพะเยา จะมาเสียเชิงเพียงแค่เริ่มต้นจากการตั้งชื่อกลุ่มไม่ได้...จะด้วยเพราะอยากเอาชนะหรือโชคชะตาดลใจก็ตาม พวกเราก็ได้เสนอชื่อ "มะอึกขึก" ออกไป (ล้อจากชื่อกลุ่มเขานั่นแหละครับ แต่ต้องเอาให้"โดนกว่า"ให้ได้ และให้เผอิญว่าเพื่อนกลุ่มข้างๆ กระซิบบอกเราว่า มะอึกมีอยู่จริง พร้อมทั้งเล่ารายละเอียดให้พวกเราฟังคร่าวๆ...แบบนี้ก็เข้าทางสิ...ฮ่าๆ) ส่วนความหมายหรือครับ ...พวกเราออกไปนำเสนอหน้าห้อง แต่ละคนท่าทางเงียบขรึมเพื่อกลบเกลื่อนที่มาอันน่าปวดตับนี้ 

          ...."มะอึก" เป็นพืชในตระกูลมะเขือ มีสีเหลืองออกส้ม รสชาติเปรี้ยวอมฝาด เปรียบเสมือนกับชีวิตของพวกเราวัยรุ่นที่มีสีสัน อยากรู้ อยากลอง บางครั้งก็สุข บางครั้งก็ทุกข์ เช่นเดียวกับรสชาติของมะอึก" ส่วนคำว่า "ขึก" เป็นอาการที่มากยิ่งกว่า คึก นั่นเพราะ กลุ่มของพวกเรานั้นคึกคักไปยิ่งกว่าใครๆจะนึกได้ ... ว่าแล้วก็ลากเข้าความกันไปตามทางที่เราอยากให้เป็น (ฮ่าๆ)

 

 

          "เทียนหนึ่งถูกจุดที่นี่ เทียนนี้ถูกจุดลุกไสว  เทียนนี้ถูกจุดที่ใจ เปลวไฟถูกจุดขึ้นมา เปลวไฟแห่งเทียนลุกไหม้ เปลวไฟแห่งการศึกษา เปลวไฟต่อสู่มายา เปลวไฟกล้าท้าผองภัย...บางครั้งเทียนกระพริบริบหรี่ เมื่อมีลมกระโชกโบกใบ้ บางครั้งเทียนแทบดับไป แทบไม่อาจต้านลมแรง...
          ศักดิ์ศรีที่เทียนส่องอยู่ เชิดชูศรัทธากล้าแกร่ง แม้เป็นเทียนน้อยด้อยแสง แต่แฝงศรัทธาเนืองนอง  ...เทียนหนึ่งถึงคราวมอดดับ ลาลับไปจากเพื่อนผอง แต่ ณ ที่นี้เรืองรอง ขอเทียนน้องส่องทดแทน..."

 

แด่...วารและวันที่ผันผ่าน

Kunming  11-06-11

 

 

ปล. รูปมะอึกที่ปรากฏนี้ผมไปแวะเก็บมาจากสวน(บล็อก)ของท่านอ.ขจิตครับผม ผู้สนใจสามารถสืบค้นได้ที่ http://www.gotoknow.org/blog/yahoo/406827 และที่สำคัญคือ ต้องขอขอบพระคุณท่านอ.ขจิตเป็นอย่างยิ่งที่นำรูปมะอึกมาแบ่งปันให้ได้ชมกันครับ ส่วนภาพกิจกรรมของน้องๆกลุ่มมะอึกขึก ผู้สนใจสามารถเข้าไปชมได้จากเว็บไซต์ของโรงเรียนพะเยาพิทยาคม(เลือกที่เมนูภาพกิจกรรม) และขอขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านที่ยังสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่ม"มะอึกขึก"มาอย่างต่อเนื่องครับผม

หมายเลขบันทึก: 443416เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2011 09:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (31)

อืมม...

ขึก  นี่ความหมายดีแต้ๆ

แต่สำเนียงคล้ายๆ  คำว่า หลึก เจียงใหม่บ้านเฮา

เปิ้นแปลว่า  ดื้อซู้ดดด....เจ้า

เพิ่นว่า"เด็กซน คือเด็กฉลาด" จะอั้นกะหมายความว่า ละอ่อนหลึก (ขึก) กะต้องหลวกแต้ๆครับพี่มนัญญา (ฮ่าๆ)

ปล. ขอบคุณพี่มนัญญามากครับที่คอยติดตามอ่านบันทึกของผมอยู่เสมอ

อีกท่านที่คอยตามมาให้กำลังใจ(ดอกไม้) คือ คุณหมออดิเรก (ผมเองก็รออ่าน รักแท้ ไม่มีคำบรรยายอยู่นะครับ)

ขอบคุณมากครับผม

  • ดีจัง มาเจอพี่เขี้ยวที่นี่ด้วย สวัสดีครับ
  • อ่านแล้ว ขึก ทางใต้เราว่า ได้แรง

ช่างสรรหาคำแท้นะ  มะอีกขึก  เห็นแล้วอึ้ง..ทึ่ง..ชวนติดตาม

คำว่า"หนาน" ใช้กับคนที่บวชเรียนนานแล้วไม่ใช่เหรอ

หรือว่า เข้าใจผิด...???

สวัสดีค่ะ

สมัยนั้นคนทำกิจกรรมมักถูกมองว่าเรียนไม่เก่ง....เห็นด้วยค่ะ  สมัยก่อนของพี่คิมก็ถูกมองแบบนี้แหละ  แต่พี่คิมเป็นเหมือนเขามองค่ะ  เรียนไม่เก่งจริงค่ะ

นับเป็นวารและวันที่ผันผ่านจริง ๆ นะคะ  ความประทับใจยากที่จะลืม  และเป็นแรงผลักดันจริง ๆค่ะ อ่านแล้วสนุกค่ะ

กลุ่มมะอึกขึก...พี่คิมเคยได้ยินแต่มะอึก (ไม่มีคำว่าขึก) หรือว่าไปหลงรักสาวเฉลิมขวัญจากเนินมะคึก ฮา ๆ ๆ

ขอเป็นกำลังใจเพื่อความเข้มแข็งของกลุ่ม "มะอึกขึก"  ต่อไปนะคะ

เมืองจีนอากาศเป็นอย่างไรคะ  หนาวเย็นไหมหน้านี้

สวัสดีครับครูนงเยาว์

คำว่า"หนาน" ใช้กับคนที่เคยบวชเป็นพระครับ เช่น หนานเกียรติ อีกคำคือ "น้อย" ใช้เรียกคนที่เคยบวชเป็นเณร เช่น น้อยโหน่ง น้อยเท่ง ครับผม

ขอบคุณท่านอาจารย์หมอเต็มมากครับ ที่ตามมาอ่านบันทึกผมอีกครั้ง

สวัสดีค่ะ

แวะมาสะกิดค่ะ  อาจารย์ลืมตอบเม้นท์ของคุณหมอค่ะ ท่านเป็นคนดีที่น่าศรัทธามากค่ะ  ที่คุนหมิงชอบเป็ดย่าง  ไข่พะโล้และมันเทศปิ้งค่ะ  ทานเผื่อด้วยเน้อเจ้า

เด็ก ฉส. เขาเก่งค่ะ  เป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดผาน ISO  มากมาย

พี่คิมเป็นเด็กศิษย์เก่าเจียงใหม่เจ้า

รออ่านเรื่องเล่าจากคุนหมิงค่ะ

สวัสดีครับครูคิม

ตอนที่ไปรร.เฉลิมขวัญเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ยอมรับเลยครับว่า "ทึ่ง" (และตามประสาวัยรุ่นครับที่มีหลงบ้าง...นิดๆ ฮ่าๆ) เพราะสาวๆที่นั่นเขาเก่งและกล้ามากครับผม ปกติที่โรงเรียนผมพวกผู้หญิงเขาจะเงียบๆ เรียบร้อย (เว้นสาวๆที่อยู่ในกลุ่มมะอึกนะครับ...ฮ๋าๆ) ประสบการณ์คราวนั้นทำให้เข้าใจคำว่า "โลกกว้าง" จริงๆครับผม

ปล. ที่คุนหมิงช่วงนี้อากาศร้อนๆหนาวๆครับ เพราะฝนตกสลับแดดออก ช่วงฝนตกอุณหภูมิจะตกลงมาราวๆสองถึงสี่องศา แต่พอแดดออกก็จะกลับขึ้นไปอีก ช่วงนี้เลยไม่อยากออกไปไหนครับ (ติดบล็อกงอมแงม) กลัวปรับอุณหภูมิไม่ทัน

สวัสดีค่ะ

เอ๊ะ..เอ๋...พี่คิมมาอ่านเม้นไปแล้ว ๑ เที่ยวแล้วนะคะ  หมายความว่าเราเดินสวนทางกันค่ะ

คุณครูคิมเข้าใจถูกแล้วครับ แต่ที่แปลกไปคือ "ลำดับ"ครับ ...ผมลบและเขียนใหม่อีกครั้งน่ะครับ พอดีว่าเจอคำที่เขียนผิด(แบบที่ไม่แก้ จะตีความหมายไปอีกอย่างเลย ฮ่าๆ)... ก็เลยลบแล้วเขียนใหม่ครับผม ขอบพระคุณครูคิมมากครับผมที่เข้ามาสะกิด (สะท้อนให้เห็นว่าครูคิมเป็นคนที่ดูแลรักจิตใจของทุกคนที่อยู่รอบข้าง...ขอบคุณมากครับผม)

  • ตามมาเชียร์กลุ่มมะอึกขึก
  • แต่อันนี้มาแซว
  • ต้องการคนโห่ไหมครับ
  • 2. ว่าที่ภรรยา (สิงหานี้จะยกขันหมากไปขอครับ ฮ่าๆ) ก็เป็นชาวพิษณุโลกครับ
  • โห่ๆๆๆๆๆฮิ้วๆๆๆ
  • เอหรือเอาภาพมีคนจีนเกาะไหล่ให้ก่อนดีหรือเปล่านะ
  • ฮ่าๆๆ

ทำไมซื้อหวยไม่แม่นเท่ากะที่คิดไว้ว่า ต้องโดนท่านอ.ขจิต แซวแน่ๆ...(ฮ่าๆ)

ปล. เรื่องภาพน่ะ ผมเล่าให้ทางบ้านฟังไปนานแล้วครับ ... ใสๆ

ดูแล้วคล้ายมะเขือขื่น

หลังบ้านเรานี่เองนะครับ

เคยสมัครเข้าชมรมแล้วรุ่นพี่ไม่รับเหมือนกันค่ะ แต่ก็เข้าใจว่ามีคนสมัครเยอะ ...เราเป็นคนส่วนมากที่ไม่ได้รับเลือก..

(เลยไม่เสียใจ ฮ่า ฮ่า)

.........

อ่านแล้วทำให้คิดถึงสมัยเรียนมากๆ ค่ะ

........

การตั้งชื่อกลุ่มเป็นอะไรที่ยากในการตัดสินใจเหมือนกันนะค่ะ ชื่อแปลกดีค่ะ

แสดงว่าผมก็ลากเข้าความมาได้อย่างถูกทางสิครับท่านอ.โสภณ

มะคึก---------------> มะอึก

(มะเขือ) ขื่น-------> ขึก

ไม่ใช่แค่คนที่ไม่ได้รับเลือกที่เศร้า คนเลือกก็เสียใจไม่แพ้กันครับ

อย่างวันที่รับสมัครนั้น เราใช้วิธีตัดจำนวนคนด้วยการให้เขากลับมาทำกิจกรรมโรงเรียนด้วยกันในคืนวันนั้น

ดังนั้นน้องๆที่กลับมา 60 คนนั้น ก็คือตัวจริงแล้วล่ะครับ เพราะเขามีใจให้เราขนาดนี้ แต่ถึงจะตัดไปสักกี่คน

ด้วยความมุ่งมั่น พวกเขาก็กลับมาช่วยงาน และพวกผมเองก็รับเขาในฐานะ "มะอึกขึก รุ่นที่ 2" ไว้ตั้งแต่

ผ่านการรับน้องแล้วล่ะครับ

ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นให้จริง สิ่งยั่งยืน มิใช่ฝืนเพราะใครสั่งให้นั่งทำ เมื่อทำแล้วเกิดความสุขทุกกิจกรรมไม่ต้องว่าได้อะไรใจเรารู้ หลายปีผ่าน....ผมเองก็ได้กลับไปโรงเรียนแรกที่ได้ศึกษา จากเกือบห้าสิบปี

ณ.ที่นี้ยังผูกพันและคิดถึง

ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ

ที่กรุณาติดตามบันทึกของผมตลอดครับ

ภาวนาให้อาจารย์มีความสุขมาก ๆ นะครับ

ยินดีทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องราวและเป็นสุขทุกครั้งที่ได้นึกถึง...เป็นความอิ่มเอมเช่นเดียวกันเลยครับท่านผู้เฒ่าวอญ่า....

เรื่องราวที่คุณหมออดิเรกได้เอามาแบ่งปัน อ่านแล้วได้แง่คิดการดำเนินชีวิตหลายอย่างครับ

แบบนี้แล้วจะละไว้ไม่ติดตามได้อย่างไรครับผม

สวัสดีค่ะ

เขียนเล่าเรื่องได้ละเอีด เห็นภาพมากนะคะ

เด็กที่ทำกิจกรรมมักจะประสบความสำเร็จในชีวิตการทำงาน เอาตัวรอด แก้ปัญหาได้ดี

เป็นกำลังใจให้สานต่องานดีๆนะคะ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับพี่แดง เพราะว่าเด็กๆที่ทำกิจกรรมจะได้ทดสอบตัวเองครับว่าทำอะไรเป็นบ้าง หรือทำอะไรได้ดีกว่าทำอย่างอื่น เมื่อถึงเวลาทำงานจริง จึงมีทั้งประสบการณ์และความสำเร็จ(ทั้งสุข-ทุกข์) เป็นแรงหนุนเสริมให้ขับเคลื่อนงานไปได้ด้วยดีครับผม

 ที่ลำปางมีหรือเปล่าค่ะ

         เจ้ามะอึก ใส่น้ำพริกกะปิอร่อยมาก

ยังไม่เคยทานเลยครับพี่กานดา ว่าแต่ขนมตาล ลูกตาลลอยแก้ว ที่เอามาฝากนี่...ยั่วลำลายจริงเทียว กลับไปผมจะตะลุยกินขนมไทยให้หายอยากเลยครับผม ว่าแต่ที่อยู่ในกระทะทองเหลือง เรียกว่าอะไรครับ

กิจกรรมน่าเรียนรู้ครับ

ขอบพระคุณท่านอ.จิตเจริญ ที่แวะเข้ามาอ่านครับผม

word of mouth the greatest influence good The watches meant to sell at the

in a fiery in unprecedented in word of mouth the greatest influence

ตอนนี้ก็ยังมีมะอึกอยู่คะ ล่าสุดรุ้น 13 แต่ว่าอ่านจากที่ว่ามีคนสนใจมะอึกนับเป็นร้อน หนูถึงกับอึ้งมรากเลย เพราะเห็นตอนนี้รับทีไรคนเงียบๆ แต่หนูยังอยู่ ม.3 อยู่เลยค่ะ ตั้งใจว่าอยากเป็นรุ่น 15 ของมะอึกให้ได้ แต่ไม่รู้จะได้รับความสนใจเหมือนแต่ก่อนหรือเปล่า เพราะหนูถามเพื่อนใครๆ เขาก็ตอบว่า มะอึกไร้สาระ ได้แต่เต้น ร้องเพลง แหกปากไปวันๆ อันที่จริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย หาคนที่มีจิตใจ สาธารนะเริ่มยากขึ้นทุกทีแล้วค่ะ ยังไงฝากถึงพี่รุ่นแรก หนูจะสัญญาว่า จะสานต่อเจตนารมนี้ต่อไปไม่ให้หายไปจาก พะเยาพิทยาคมเลยค่ะ (ปล. ว่างๆนานๆที มาแวะหาที่พอคอได้นะคะ อยากเห็นพี่รุ่นแรกเหมือนกัน ^ ^)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท