เรามาคุยกันถึงข้อกฎหมายในละครเรื่องนี้กันนะครับ เรื่องของครอบครัวท่านเคยทราบไหมครับว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีอยู่ทั้งหมด ๖ บรรพ บรรพ ๑ ว่าด้วยเรื่องทั่วไป บรรพ ๒ ว่าด้วยเรื่องหนี้ บรรพ ๓ ว่าด้วยเรื่องเอกเทศสัญญา บรรพ ๔ ว่าด้วยเรื่องทรัพย์สิน บรรพ ๕ ว่าด้วยเรื่องครอบครัว บรรพ ๖ ว่าด้วยเรื่องมรดก การกำหนดเรื่องของครอบครัวไว้เป็นเรื่องหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ แสดงว่าเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ แต่ว่าไปแล้วสมัยโบราณก็มีกฎหมายลักษณะผัวเมีย กฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวเปลี่ยนไปตามสภาพสังคมในยุคนั้นๆ เช่น สมัยก่อนผู้ชายไทยมีภรรยาหลายคนได้โดยไม่ผิดกฎหมาย หรือกรณีไม่พอใจที่จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาเพียงแค่ลงจากบ้านเอามีดพร้ามาฟันเสาเรือนก็ถือว่าเลิกจากการเป็นภรรยา เพื่อนผมฟังผมบรรยายเรื่องนี้เขาบอกว่านี่ดีนะที่บ้านเขาไม่ได้ยกใต้ถุนสูงเลยไม่มีเสา ไม่งั้นฟันไปนานแล้ว ฮ่าๆๆ นอกจากนี้เมื่อสามีตาย กฎหมายก็กำหนดสัดส่วนการได้รับมรดกของเมียน้อยเมียหลวงไว้ด้วย แสดงว่าในอดีตการที่ผู้ชายมีเมียหลายคนเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมในยุคสมัยโน้น...
มาถึงยุคที่เราคบค้ากับฝรั่งมากขึ้น เรารับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากขึ้น เราเรียนรู้ว่าฝรั่งเขาอยู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียว เรามีประมวลกฎหมายใช้บังคับตามแบบฝรั่ง เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน เป็นต้น คนไทยก็เลยถูกบังคับโดยกฎหมายให้มีเมียเพียงคนเดียว แต่ก็ยังให้สิทธิผู้ชายมากกว่า หญิงชายแต่งงานกันกฎหมายบังคับให้ใช้นามสกุลของสามี เวลามีปัญหาในครอบครัวถ้าผู้ชายไปมีเมียน้อย กฎหมายใช้คำว่า “อุปการะเลี้ยงดูยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา” คือหมายถึงว่าไปดูแลเอาใจใส่เหมือนเมียอีกคนหนึ่ง อย่างนี้ภรรยาฟ้องหย่าได้ แต่ถ้าไปได้เสียกับผู้หญิงโดยไม่ยกย่องเลี้ยงดูแบบเมียอีกคนหนึ่ง หรือเพิ่งได้เสียกันครั้งเดียว อย่างนี้ภรรยาฟ้องหย่าได้แต่แพ้...อิอิ แต่พอเวลาผู้หญิงไปมีมั่งกฎหมายกลับใช้คำว่า “ภรรยามีชู้” หมายความว่าถ้าภรรยาไปนอนกับชายชู้เพียงครั้งเดียวสามีก็ฟ้องหย่าได้ มาถึงยุคสมัยนี้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ มีการแก้ไขกฎหมายครอบครัวในเรื่องเหตุแห่งการฟ้องหย่าเสียใหม่ คราวนี้เป็นไปตามยุคสมัยมากขึ้น เขาแก้เป็นอย่างนี้ครับ
มาตรา ๑๕๑๖ เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้
(๑)สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(๒)สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง
(ก) ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
(ข) ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือ
(ค) ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ
ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๓) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งนี้ถ้าเป็นการร้ายแรง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๔) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปีอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๔/๑) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิดหรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้นด้วย และการเป็นสามีภริยา
กันต่อไปจะเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหายหรือเดือนร้อนเกินควรอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๔/๒) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีหรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(๕) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่เป็นเวลาเกินสามปีโดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(๖) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควรหรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ถ้าการกระทำนั้นถึงขนาดที่อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๗) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(๘) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
(๙) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่งและโรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้องหย่าได้
(๑๐) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่า เพราะถ้ามีเหตุใดเหตุหนึ่งดังที่อ้างไว้ข้างบนครอบครัวก็ไม่มีความสุขแล้วใช่ไหมครับ ที่ยกมานี่ก็เพื่อจะบอกว่าเมื่อเด่นจันทร์จับได้ว่าสินธรไปอุปการะเลี้ยงดูเรยา ไปร่วมประเวณีกับเรยาเป็นอาจิณ ถ้าเด่นจันทร์แก้ปัญหาง่ายๆด้วยการเลิกกัน หย่ากัน ถ้าสินธรยอมหย่าง่ายๆก็จบ ถือว่าเลิกกันตามกฎหมาย เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๑ บอกว่า
“การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”
มาตรา ๑๕๑๔ วรรคแรกบอกว่า
“การหย่านั้นจะทำได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคำพิพากษาของศาล”
แต่การหย่าให้มีผลตามกฎหมายก็ต้องไปจดทะเบียนหย่าครับ เหตุผลก็เพราะการสมรสนั้นตอนแต่งงานกันกฎหมายบังคับให้จดทะเบียนสมรส เมื่อจบชีวิตคู่ก็ต้องไปจดทะเบียนหย่ากันให้ถูกต้อง แต่ถ้าสินธรไม่ยอมหย่าล่ะ เด่นจันทร์ก็มีทางเลือกสองทาง คือ ต้องมีการตายเกิดขึ้น จ๊าก...รุนแรง โหดร้าย...อิอิ กับอีกทางหนึ่งคือ ต้องฟ้องหย่าก็อาศัยเหตุตามกฎหมายข้างต้นนั่นแหละครับ คุณดี๋หรือณฤดีก็เช่นกันเมื่อจับได้ว่าคุณใหญ่ไปอุปการะเลี้ยงดูเรยาเอาเงินปันผลของบริษัทไปซื้อคอนโดให้เรยา จะทำให้การสมรสสิ้นสุดก็มีเหตุเดียวกันคือคู่สมรสคนใดคนหนึ่งต้องตาย ไปจดทะเบียนหย่า หรือฟ้องศาลให้ศาลมีคำพิพากษาให้หย่า ซึ่งก็ฟ้องหย่าได้ด้วยเหตุเดียวกัน ผมเคยเอากลอนต่อไปนี้มาเล่นครั้งหนึ่งแล้วแต่ก็ขอเอามาเล่นอีก เพราะเหมาะกับเด่นจันทร์มาก
คนเดียวที่กูกลัวก็คือผัวของกูเอง คนเดียวที่กูเกรงผัวกูเองไม่ใช่ใคร
วันไหนถ้ากูรู้ว่าผัวกูมีเมียใหม่ วันนั้นจงจำไว้ถ้าไม่ตายไม่ใช่กู...
ความจริงแล้วในละครเรื่องมงกุฎดอกส้มและดอกส้มสีทอง มีกฎหมายที่เราจะมาพูดคุยกันได้หลายเรื่องนะครับเราค่อยว่ากันทีละเรื่อง ไม่งั้นเดี๋ยวจะเบื่อกันเสียก่อน อ้อ...ใครที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้ต้องอายุ 18+ ด้วยชิมิ ชิมิ...
สวัสดีค่ะ
มารับทั้งความรู้และความบันเทิงค่ะ
เมียใครหว่า เขียนกลอนน่ากลัว
เอ หรือว่า เมียกะๆๆๆๆกุๆๆ กู อิอิ
วันไหนถ้ากูรู้ว่าผัวกูมีเมียใหม่ วันนั้นจงจำไว้ถ้าไม่ตายไม่ใช่กู...
ชอบตรงนี้..555
สวัสดีครับท่าน อัยการ เห็นเขาพูดกันมากละครเรื่องนี้ แต่หอนได้ดูเลย
แตตอนนี้ชอบมาก
"คนเดียวที่กูกลัวก็คือผัวของกูเอง คนเดียวที่กูเกรงผัวกูเองไม่ใช่ใคร
วันไหนถ้ากูรู้ว่าผัวกูมีเมียใหม่ วันนั้นจงจำไว้ถ้าไม่ตายไม่ใช่กู..."
สวัสดีค่ะ
ตามมาเติมเต็มความรู้ที่ไม่รู้ให้สมองค่ะ
ขอบคุณมากมายนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ มันไม่ใช่เพียงแค่ฟ้องหย่าแล้วจบครับ ตอนต่อไปจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมครับ กรุณาติดตามต่อนะครับ
ตามมาอ่าน ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
ขอบคุณมากค่ะ จะติดตามตอนต่อไปค่ะ
ว้าว ท่านอัยการเกาะกระแส รสนิยมสาวๆ ติดกันตรึมเลยนะคะ
ฮาๆ กะกลอน ย้อนไปตอน๑ ท่านอัยการต้องได้ชมละครนี้ทุกตอนแบบไม่กระพริบสายตา แบบคนไม่ดูทีวีมาอ่านเรื่องย่อในบันทึกท่านอัยการได้เลยค่ะ
สุขสันต์กับการใช้จ่ายเวลาร่วมกับหลานและสุดที่รัก นะคะ :)
ชอบที่สุดก็ตรงกลอนที่แหล่ะค่ะ ตรงใจ 555
ขอบคุณคุณดาวเรือง น้องปูและคุณบลูสตาร์ ครับ
กรุณาติดตามอ่านต่อไปอย่าเบื่อเสียก่อน เพราะกฎหมายครอบครัวยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเยอะครับ
น้องปู กำลังคิดถึงหลานเพราะกว่าจะกลับมาก็โน่น..วันที่ ๒๑ โน่น...ตอนนี้ยังอยู่หาดใหญ่ครับ
ตอบท่านศน.ลำดวนครับ
ต้องดูนิดหนึ่งครับว่าที่ว่าการแยกกันอยู่เกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า ถ้าสมัครใจแยกกันอยู่หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลต้องใช้เวลาเกินสามปี ตามมาตรา ๑๕๑๖(๔/๒) ถ้าไม่ยอมหย่ากันดีๆก็ฟ้องหย่าได้ แต่ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทิ้งร้างไป ฝ่ายที่ถูกทิ้งฟ้องหย่าได้เมื่อถูกทิ้งไปเกิน ๑ ปี ครับ ตามมาตรา ๑๕๑๖(๔)ครับ
สวัสดีอาจารย์อัยการชาวเกาะครับ
วันนี้ ผมผ่านแผงหนังสือ ช่วงเที่ยงวัน ผมอ่านพาดหัวตัวโต บนหนังสือสุดสัปดาห์เล่มหนึ่ง (ฤดูกาลดอกส้ม...ดอกทอง)
หากเปิดอ่านแล้ว..เดาว่าเนื้อในคงอลังการมาก นะครับ
แต่บันทึกนี้ชิงตัดหน้าแล้ว...อลังการกว่า
ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ
ท่านศน.ลำดวน ครับ
การที่ฝ่ายเราทิ้งไปไม่ใช่เหตุแห่งการฟ้องหย่า แต่ระหว่างที่ยังไม่หย่าตามกฎหมาย เธอไปมีชายอื่นยังไม่ได้นะครับไม่งั้นก็จะเข้าข้อ (๑) น้องชายท่านก็มีเหตุฟ้องหย่าได้อีกครับ
ขอบคุณท่านแสงแห่งความดีที่มามอบความอลังการให้บันทึกผมนะครับ อิอิ