ในระยะหลายวันที่ผ่านมา
ผมได้มีโอกาสทบทวนการแยกพระสำริดแก่ทองออกจากพระโรงงาน
ที่เดิมคิดว่าดูได้ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยความรู้
ความเข้าใจในเชิงมวลสาร และวิวัฒนาการของการสร้างพระค่อนข้างมาก
ที่ในสมัยโบราณ
- การหลอมโลหะน่าจะทำเพียงในระดับให้โลหะหลอม
แบบข้นๆ เทลงพิมพ์ได้
ความร้อนไม่สูงพอที่จะทำให้โลหะเป็นของเหลวเข้ากันได้ดีแบบในปัจจุบัน
- ที่น่าจะเป็นปัญหาของการสร้างพระโลหะขนาดใหญ่
- เช่น
กรณีของการสร้างพระพุทธชินราช สมัยสุโขทัย
ที่เททองไม่สำเร็จตั้งหลายครั้ง
- จนถึงกับต้องมี
"ตาปะขาว" มาช่วย จนเททองได้สำเร็จ
- ที่น่าจะมาจากระดับความร้อนในการหลอมโลหะที่ไม่พอ
ที่จะทำให้โลหะทอง เงิน ทองแดง
หลอมรวมกันไหลไปตามพิมพ์ที่ทำไว้
- ปัญหาระดับความร้อนต่ำนี้
ทำให้เกิดการแยกเนื้อโลหะออกจากกัน และไปรวมกันเป็นที่ๆ
ไม่สม่ำเสมอทั้งองค์
ประเด็นนี้เอง ที่เป็นตัวสำคัญในการแบ่งแยก "โลหะโบราณ" ที่มีความหลากหลายในเนื้อกับ
"โลหะใหม่" ที่สม่ำเสมอ กลมกลืน ในเนื้อ
-
ที่ยังต้องพิจารณาเชื่อมโยงกับการวิวัฒนาการ
- การเกิดสนิมยากง่าย
และ
- การกร่อนหลุดไปของโลหะต่างๆ
โดยเฉพาะ ทองคำ เงิน ทองแดง
และโลหะอื่นๆที่ปะปนมา
- ตามอายุ
ตามการเก็บรักษา และตามการใช้งานอีกด้วย
ในการพิจารณาดูเนื้อพระ
"กรุ"ยังต้องอาศัยแสงสว่างส่องเข้าไปในเนื้อพระ และกล้องกำลังขยายสูง
ร่วมกับการสังเกต ในประเด็น
- ต้องดูความวาวในเนื้อ
ที่ดูเป็นเม็ดๆ
แวววาว หลากหลายแบบ เพราะเป็นเนื้อโลหะเก่า ได้อายุที่ตกผลึก
จนมีจุดทึบจุดใสในเนื้อ
-
- ในขณะที่พระโรงงาน
เนื้อจะดูใหม่ๆ มีเนื้อทึบๆ
ด้านๆ แบบเดียวกันทั้งองค์
- มีสนิมแดงเป็นเม็ดๆ
อยู่ในเนื้อทอง ตามที่อยู่ของเม็ดทองคำในเนื้อที่แววาวนั้น
ที่จะพบทั้งส่วนที่นูนและส่วนที่เป็นหลุม ถ้ามีโลหะเงินผสมอยู่ด้วย
ก็จะมีจุดดำๆ แบบสนิมตีนกา ตรงจุดที่เม็ดเงินปรากฏอยู่
หรือถ้ามีทองแดงก็จะมีสนิมหยกบางๆที่ผิว
สนิมที่หลากหลาย
และตรงตามชนิดโลหะ (ใต้จุดสีแดงมีพรายทอง
ใต้จุดสีดำเป็นพรายเงิน) ที่ยังทำไม่ได้ในพระโรงงาน
-
- ในขณะที่พระโรงงาน
จะทำผิวทองแบบผิวกะไหล่ทอง หรือชุบทอง แล้วทำสนิมหลอกๆ
โดยใช้สีแดงโทนเดียวกับสนิมทองทาที่ผิวเป็นแถบๆ หรือจุดๆ
โปะอยู่ภายนอก
และสีที่ทามักเกาะได้ดี อยู่ในหลุมเป็นจุดๆ
-
การกร่อนของผิวเป็นหลุมๆ
มักพบว่ามีสนิมหยก คราบกรุ
หรือมวลสารธรรมชาติอยู่ในหลุม
- ในขณะที่พระโรงงานอาจใช้วิธีชุบทอง
ลงสี ที่มักไม่ค่อยมีหลุม
แม้มีหลุมบ้างก็จะไม่พบคราบสนิมหยกจากในเนื้อ
แต่อาจเป็นสนิมโปะจากด้านนอก
-
การเกิดสนิมหยก
ที่มีประปรายบางๆตามผิว
- ในขณะที่พระโรงงานอาจใช้วิธีเอาสีเขียวน้ำเงินของจุนสี
"โปะ" มีความเขรอะ และหนา
-
ความหลากหลายของเนื้อที่ผิว
ที่หลักๆ มักมีทองคำ เงิน และทองแดง ที่หนาแน่นมากน้อยเป็นจุดๆ
กระจัดกระจายทั่วๆไป ทำให้มีเนื้อและสนิมสีต่างกัน
ในส่วนต่างๆขององค์พระ แต่ก็กลมกลืนกัน
- พระโรงงานมักมีเนื้อเดียว แต่ทำสนิมหลายชั้น
แต่ดูแล้วมักเป็นสีเดียว
-
ถ้ามีรอยขีดข่วนที่ผิว
ให้สังเกตการเกิดสนิมแดงของทอง
และดำของเงินในร่องที่ข่วน หรือในเนื้อทองในระดับลึก
(ตามรูปพระด้านหลัง ข้างบน)
- พระโรงงานมักมีผิวเรียบร้อย
ถ้าบังเอิญมีรอยข่วน ก็จะเห็นเนื้อในว่าเป็นอะไร ที่มักไม่มีสนืมแดงในเนื้อของทอง
อย่างมากก็ใช้สีแดงๆทาหลอกเอาไว้
-
การเกิดผิวทองเป็นเม็ดๆแวววาวในร่องกร่อน
ที่มักมีสนิมหยก แบบเดียวกับผิวปรอทในพระเนื้อเงิน
- ลักษณะนี้จะไม่พบในพระโรงงาน
- หลังจากนั้นก็พิจารณาพิมพ์
ความละเอียด อ่อนช้อยของศิลปะ ตรงตามลักษณะของยุค
และของกรุต่างๆ
- โดยไม่ต้องกังวลกับ
"ตำหนิ" มากนัก เพราะของแค่นี้ ช่างฝีมือโรงงานทำพระขาย
เขาทำได้หมดแล้ว ถ้าแค่ตำหนิยังทำไม่ได้
เนื้อที่ยากกว่าร้อยๆเท่า
ย่อมทำไม่ได้แน่นอน
หลังจากดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ควรนำไปให้ร้านทองที่ไว้ใจได้ตรวจสอบเนื้อทองคำอีกครั้งหนึ่ง
เพราะพระโรงงานมักไม่ใช้ทองคำ อย่างมากก็กะไหล่ทอง
หรือชุบทอง ก่อนการโปะสีชั้นต่างๆ ที่มักดูแล้วเลอะเทอะ
ไม่เป็นระบบแบบธรรมชาติ
ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ