ไม่กี่วันมานี้ผมเพิ่งไปพบอาจารย์บัญชร แก้วส่อง เพื่อขอให้ท่านช่วยรับรองคุณสมบัติบางประการให้
ผมรู้จักกับ อ.บัญชร แก้วส่อง ตั้งแต่สมัยยังเป็นบวชเป็นพระ คราวหนึ่งที่ผมนำแกนนำพระสงฆ์นักพัฒนาจากภาคเหนือไปศึกษาดูงานเครือข่ายพระสงฆ์และเครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน ก็ได้อาจารย์บัญชรนี่แหละเป็นผู้จัดเส้นทางและเป็นผู้นำทาง
และในการเดินทางไปทัศนะศึกษาในคราวนั้น ไม่เพียงผมเท่านั้น แต่ทำให้พระสงฆ์ที่ร่วมเดินทางไปด้วยหลายรูปเริ่มปรับเปลี่ยนทัศนะและเข้าใจเกี่ยวกับ “คนจน” และ “ความจน” มากยิ่งขึ้น ที่สำคัญทำให้เข้าใจปัญหาในเชิงโครงสร้างมากขึ้น
ช่วงนั้นทั้งอาจารย์และผมต่างก็อยู่ในเครือข่ายงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) อาจารย์อยู่ภาคอีสาน ส่วนผมอยู่ทางเหนือ การพบปะเจอะเจอและพูดคุยกับอาจารย์โดยมากจะเป็นช่วงที่ สกว. จัดประชุม
ในช่วงที่ผมยังดูแลสถาบันโพธิยาลัย และเป็นกองเลขาฯ เครือข่ายพระนักพัฒนาภาคเหนือนั้น ผมได้เชิญอาจารย์อาจัดอบรมการประเมินผลให้กับพระนักพัฒนาและพระนิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ รวมทั้งนักพัฒนาเอกชน ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งในผู้เข้ารับการอบรมด้วย
หลังจากที่ผมลาสิกขอออกมาแล้ว ก็ได้รับความเมตตาจากท่านให้ผมเข้าร่วมเป็นทีมวิจัยประเมินผล โดยได้มอบหมายให้ผมทำงานในพื้นที่ภาคเหนือ ต่อเนื่องกัน ๒ โครงการ โครงการแรกเป็นการประเมินผลองค์กรพัฒนาเอกชนจากต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และโครงการที่สองเป็นการประเมินผลโครงการของสันติอโศก ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจาก สสส.
ในช่วงที่ท่านขึ้นมาลงพื้นที่ในเขตภาคเหนือนั้น ผมเป็นผู้ขับรถพาท่านไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ที่ต้องเข้าไปประเมิน เป็นช่วงที่ผมได้เรียนรู้อะไร ๆ จากท่านมากมาย การเรียนรู้เหล่านั้นได้ติดตัวเป็นทักษะการทำงานโดยเฉพาะด้านการประเมินผลมาจำนวนมาก ซึ่งผมได้ใช้ทำมาหากินในปัจจุบัน
จะว่าไปแล้วบรรดาความรู้ความสามารถที่ผมใช้ทำมาหากินอยู่ในปัจจุบันนั้น เป็นสิ่งที่ผมได้รับและเรียนรู้มาจากท่านเป็นส่วนใหญ่ ปราศจากท่านแล้วชาตินี้ผมอาจเอาตัวไม่รอดในการทำมาหากินก็เป็นได้
ช่วงที่ผมร่วมงานกับท่านนั้น ท่านยังเป็นอาจารย์ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น รวมทั้งยังเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยทางภาคอีสานอีกหลายแห่ง ดูแลกำกับวิทยานิพนธ์ทั้งระดับปริญญาโทเอกอีกจำนวนไม่น้อย ทราบมาว่าท่านอึดอัดกับระบบของมหาวิทยาลัยจึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ทั้งที่กำลังจะได้รับตำแหน่งทางวิชาการเป็นรองศาสตราจารย์อีกไม่นาน
อาจารย์บัญชร เป็นนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในงานพัฒนาชนบทและคนจน จึงเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของนักพัฒนาเอกชนในพื้นที่ภาคอีสานจำนวนมาก
อาจารย์มีความเชื่อมั่นว่าหากเข้าไปมีบทบาทในการเมืองระดับประเทส น่าจะมีส่วนช่วยในการผลักดันนโยบายที่จะเป็นประโยชน์สำหรับชาวบ้านระดับล่างและคนยากคนจน ท่านจึงลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายครั้ง และครั้งหนึ่งผมได้ขับรถปิคอัพคู่ใจเดินทางจากภาคเหนือไปช่วยท่านตะเวนหาเสียงต่อเนื่องกันหลายวัน แต่น่าเสียดายที่โอกาสไม่เปิดให้ท่านเข้าไปทำหน้าที่นั้น
ปัจจุบันอาจารย์ มาทำงานเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ
ขอคารวะอาจารย์ด้วยบันทึกนี้ครับ...
อาจารย์ บัญชร แก้วส่อง ขอท่องชื่อไว้ คงได้มีวาสนา พบพาน กับงานชุมชน
(สบายดีมั้ยครับน้องหนานเกียรติ ...ค่ายครั้งต่อไป รร.เกาะหมากน้อย พังงา คงมีโปรแกรมล่องทะเลตกปลาแถมพกด้วย)
คารวะท่านผู้เฒ่าครับ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม อ.บัญชร คนนี้ตัวจริงเสียงจริงเลยหละครับ...