วันสำคัญทางศาสนาถือเป็นอีกวันหนึ่งที่ทุกคนในครอบครัว
ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ดำเนินกิจกรรมทางศาสนาร่วมกันเพื่อสร้าง
ความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว
รวมทั้ง นำหลักธรรมมาเป็นแนวทางปฏิบัติโดยการนำครอบครัวไปบำเพ็ญกุศล
การทำบุญใส่บาตร ในตอนเช้า ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรมและฟังพระธรรมเทศ
ในตอนเย็นพาครอบครัวไปเวียนเทียนที่วัด
วันมาฆบูชา หมายถึงการบูชา ตรงกับวันเพ็ญเดือนมาฆะ(ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓)
นับเป็นวันพิเศษที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะในวันนี้นอกจากเป็น
วันเพ็ญเดือนมาฆะแล้วยังเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ ซึ่งประกอบด้วยความพิเศษ ๔ ประการ
ที่เรียกว่า "จาตุรงคสันนิบาต"นั่นคือ
เป็นวันที่ พระสงฆ์ จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกัน โดยมิได้
นัดหมาย พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ คือ ได้รับการอุปสมบทจาก
พระพุทธเจ้า และล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ จึงเป็นการเกิดเหตุการณ์
อัศจรรย์เป็นครั้งแรกและเป็นเพียงครั้งเดียวในสมัยพุทธกาลเมื่อพระองค์
ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่และทรงประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันกรุงราชคฤห์ ก่อนเข้าพรรษาที่ ๒
(หลังจากตรัสรู้ ๙ เดือน)
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงโอวาทปาติโมกข์
อันเป็นการประกาศหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการปฏิบัติในการเผยแพร่พุทธศาสนา
ให้นำไปใช้ได้ในทุกสังคม ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุปคือ ให้ละความชั่วทุกชนิด
ทำความดีให้ถึงพร้อมและทำจิตใจให้ผ่องใส ซึ่งหลักธรรม คำสอนดังกล่าวจะเรียกว่า
เป็นธรรมนูญแห่งพุทธศาสนา หรือหัวใจของพุทธศาสนาก็ได้
ดังนั้น โอวาทปาติโมกข์ จึงชี้ชัดถึงความเป็นสมณะและบรรพชิตในพระพุทธศาสนาที่
แตกต่างจากศาสนาอื่นอันเป็นรากฐานที่ทำให้พระพุทธศาสนามั่นคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับในประเทศไทยนั้นพิธีบูชาเนื่องในวันมาฆบูชาเริ่มมี เป็นครั้งแรก
ในรัชสมัยของพร ะบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์พระองค์ทรงปรารภถึงความสำคัญของวันมาฆบูชาว่า
มีเหตุการณ์สำคัญ ๔ ประการ ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต เกิดขึ้นในวันมาฆบูชาจึงเห็น
สมควรที่พุทธศาสนิกชน จะได้ทำการบูชาเพื่อระลึกถึงความสำคัญของวันดังกล่าว
โดยโปรดให้มีการประกอบพระราชกุศลในเวลาเช้าด้วยการนิมนต์พระสงฆ์เจริญ
พระพุทธมนต์ และฉันภัตตาหาร ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในเวลาค่ำพระองค์จะเสด็จออกฟังพระสงฆ์ทำวัตรเย็น สวดโอวาทปาติโมกข์
และทรงจุดเทียนเรียงรายตามราวรอบพระอุโบสถ จำนวน ๑,๒๕๐ เล่ม
พระภิกษุเทศนาโอวาทปาติโมกข์ พระสงฆ์จำนวน ๓ รูป สวดมนต์รับเทศนา เป็นเสร็จพิธี
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอม-เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงนำพิธีบูชาเนื่องในวันมาฆบูชาไปประกอบใน
สถานที่อื่น ๆ นอกพระบรมมหาราชวัง ในคราวเสด็จประพาสต้น เช่น บางปะอิน
พระพุทธบาท พระพุทธฉาย พระปฐมเจดีย์ พระแท่นดงรัง เป็นต้น
ประชาชนได้นำเอาพิธีบูชาเนื่องในวันมาฆบูชาไปปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง
และสืบมาจนถึงปัจจุบัน แนวทางที่พึงปฏิบัติสำหรับพุทธศาสนิกชนเนื่องในวันมาฆบูชา
๑. ให้ทาน ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรในช่วงเช้าหรือเพล บริจาคทรัพย์ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ยากไรและบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
๒. รักษาศีล สำรวมระวังกายและวาจาด้วยการรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมทั้ง
บำเพ็ญเบญจธรรมสนับสนุน
๓. เจริญภาวนา บำเพ็ญภาวนาด้วยการไหว้พระสวดมนต์และปฏิบัติธรรม
และวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐาน ๔
เมื่อมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของวันมาฆบูชาแล้ว
ก็สามารถดำเนินชีวิตตามหลักธรรม เกิดความศรัทธาและ
รู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีได้อย่าง
ถูกต้องและมีความสุขตลอดไป
อ้างอิง : วารสารวัฒนธรรมไทย ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ หน้า ๑๒-๑๓
สวัสดีค่ะ
พี่คิมเตรียมตัวไปทำบุญวันพรุ่งนี้แล้วค่ะ หลังจากทำบุญก็จะปฏิบัติธรรมกับแม่ขาวที่วัดสักพักหนึ่งค่ะ ตอนบ่ายมีแขกจากโกทูโนว์ค่ะ
อนุโมทนาสำหรับสิ่งดีๆ ที่นำมาเสนอให้พวกเราได้สัมผัสและอ่าน ขอฝากเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมด้วย "มาฆบูชา: รักแท้นั้นไซร้อยู่ใกล้แค่ใจเรา" ใน http://gotoknow.org/blog/true-love/426710
สวัสดีค่ะพี่อิงจันทร์
ร่วมทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ในวันมาฆะบูชาค่ะ
ขอบคุณสาระดีๆที่นำมาฝากค่ะ
ไหว้พระ ตั้งจิต ถือมั่น ทำดีในวันนี้ และทุกๆวันครับ
ครับ เข้ามาเยี่ยมชม มีความรู้มากมาย ขอบคุณคับ
สวัสดีค่ะคุณPeter p
คุณครูแต่ก่อนพระพุทธศาสนาของเรานั้นตอนก่อนหน้านี้ที่จะมีวันมาฆบูชา พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุ ๖๐ รูปว่า เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประกาศพรหมจรรย์ฯ แต่ก่อนใช้คำว่าพรหมจรรย์ พอหลังจากที่ตรัสรู้แล้วได้ ๙ เดือน เมื่อพระมากันมากๆ พระพุทธเจ้าก็เลยถือเอาโอกาสนี้ แสดงหลักคำสอนที่เป็นหัวใจศาสนา เรียกกันว่า โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นคำตรัสในรูปคาถา สามคาถาครึ่ง คาถาคือรูปแบบแห่งคำประพันธ์ในภาษาบาลี เป็นคำที่กลั่นกรองมาดีแล้ว เพราะฉะนั้นคาถาพุทธพจน์จึงเป็นคำที่มีความหมายสมบูรณ์พร้อมทั้งอรรถ(ความหมาย) พยัญชนะ(ตัวหนังสือ)
คาถาก็คล้ายกลอนแปดบ้านเรา คาถาหนึ่งมี่สี่บาท ๘ พยางค์เป็น ๑ บาท ๔ บาทเป็น ๑ คาถา มีวิธีกำหนดอยู่ นับเรื่อยไป จนเป็นภาณวาร สุดท้ายเป็นขันธ์ ดังที่เราได้ยิน แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ที่จริงก็ย่นย่อลงในโอวาทปาฏิโมกนี้แล
และบาทสุดท้ายที่ตรัสในโอวาทปาฏิโมกข์ มีคำนึงว่า "เอตํ พุทฺธานสาสนํ" แปลว่า นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย (ผู้รู้ทั้งหลาย) คำว่า "พุทธานสาสนํ" นี่แล จึงกลายมาเป็นชื่อเรียกว่า พระพุทธศาสนา ในที่สุด
กล่าวถึงพระอรหันตขีณาสพ ๑,๒๕๐ รูปนั้น ถ้าจะมองในเรื่องราวเหตุที่พอจะเป็นไปได้ ท่านเหล่านั้นความจริงเคยเป็นนักบวชนอกพุทธศาสนามาก่อน ธรรมเนียมของนักบวชเหล่านั้น (วันธรรมสวนะ เราก็เอาเยี่ยงอย่างนักบวชที่มีอยู่ก่อน มาเป็นแบบ) เมื่อถึงวันเพ็ญ เขาจะมาประชุมกันสาธยายหลักคำสอน หรือประชุมกันบูชายัญ หรือทำพิธีกรรมบางอย่างของแต่ละลัทธิ เมื่อถึงวันมาฆะ ก็เลยมารวมกันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า นี่พูดถึงเรื่องเหตุผล ความจริงพระที่มาในตอนนั้น มีมากกว่า ๑,๒๕๐ รูป แต่จำนวนหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป เป็นจำนวนเต็ม ง่ายต่อการจดจำท่านพระอรรถกถาจารย์จึงบอกไว้เช่นนั้น ในท้องเรื่องธรรมบทมีปรากฏลักษณะนี้เป็นพื้น เช่นว่านิมนต์ พระสงฆ์มีประมาณ ๕๐๐ รูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปฉันในวันพรุ่ง
......มาเยี่ยมคุณครูแต่เขียนมากไปหน่อย ตามนิสัยชอบพูดชอบจา ขอให้คุณครูมีสุขภาพแข็งแรงนะครับ