เมื่อนุ่งห่มให้ซากศพแล้ว เอาด้ายขาวผูกกรองมือ กรองเท้า แล้วโยงไป
ผูกไว้กับคอ การผูกศพเช่นนี้ก็เป็นปริศนาธรรมหมายถึง "บ่วง ๓" ได้แก่ บุตร
ทรัทย์ และภรรยา (ตรงส่วนนี้หากค้นในกูเกิล พอจะพบผู้บันทึกไว้บ้างแล้ว แต่
ไม่ชัดเจนนัก)ตรงกับภาษาบาลีว่า
และตรงกับบทประพันธ์บทหนึ่ง (จำที่มาไม่ได้แล้วค่ะ ใครทราบช่วยโพสเพิ่ม
เติมด้วยนะคะ)
เมื่อผูกศพเรียบร้อยแล้ว ให้เอาดอกไม้ ธูป เทียน ซองหมากพลู ใส่มือให้
เชื่อว่าจะได้นำไปบูชาพระจุฬามณี อันเป็นพระธาตุเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุพระ
พุทธเจ้าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือเพื่อแสดงว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา
ถ้าเป็นศพ คนมีเงินมีทอง มักเอาแหวนทองรูปพรรณใส่ในปากศพ หมาย
ถึงว่า "ทรัพย์สมบัติเป็นของส่วนกลางสำหรับโลก แม้จะปกครองยึดถือได้ก็เพียง
ชั่วคราว เมื่อตายแล้วใส่ปากให้ก็เอาไปไม่ได้ ติดตัวไปได้ก็แต่บุญกุศลเท่านั้น
หรือบางท้องที่ใช้ใบพลูปิดหน้าศพ บางรายที่มีฐานะดีอาจใช้ทองปิดหน้าศพ
โดยนัยธรรมะ ถือว่าการตายเท่ากับถูกแผ่นดินกลบหน้า ให้คนที่ยังไม่ตายถือ
เป็นคติรีบสร้างกุศล
แหวนหรือทองรูปพรรณที่ใส่ปากศพ เป็นของเสียสละ เจ้าภาพมิได้คิด
เอาคืน มักตกแก่สัปเหร่อ
เมื่อกรองมือเท้า นุ่งห่มเสร็จแล้ว เอาผ้าขาวห่อศพทบไปมาหลาย ๆ ชั้น
ผูกตราสังด้วยด้ายขาวเป็นเปลาะ ๆ ให้แน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วจึงนำศพใส่
โลง การตราสังแน่นหนานั้นมิได้มีนัยธรรมะแต่ประการใด(เท่าที่ครูอิงศึกษามา)
เพียงแต่ประสงค์มิให้ศพอ้ามืออ้าแขนเป็นท่าน่าเกลียดขณะเผาศพ เนื่องจาก
สมัยก่อนนั้นที่เผาศพจะทำเป็น "เชิงตะกอนชั่วคราว" ไม่มิดชิดเหมือนกับกา
เผาศพในสมัยนี้ ซึ่งในการทำเชิงตะกอนชั่วคราว ก็มีปริศนาธรรมที่ควรบันทึก
เอาไว้เช่นกัน ต้องติดตามอ่านปริศนาธรรมตอนต่อ ๆ ไปนะคะ
มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
มีทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภรรยาเยี่ยงบ่วงปอ รึงรัด มือนา
สามบ่วงใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร
หรือสำนวนอิสาน ว่า..
"...ตัณหาฮักลูกคือจั่งเชือกผูกคอ ฮักเมียคือจั่งปอผูกศอก ฮักวัตถุข้าวของคือจักปอกสุบตีน สามอันนี้ มาขีนขวางไว้จึงบ่ให้ได้ถึงนีรพาน..." ที่อิสานเรียกการผูกศพว่า "มัดตราสัง" มัดที่ คอ มือ ขา สมัยก่อน ผู้ที่ทำศพจะตัดเส้นเอ็นในระหว่างข้อพับทุกแห่ง เพราะแต่ก่อนเผาด้วยฟืน เขาเรียกว่า "กองฟอน" หรือ "เชิงตะกอน" เวลาศพถูกเผาไฟ เส้นเอ็นเหล่านั้นจะทำการหดตัว จากนั้นก็จะเหยียดออก ดูแล้วไม่สวยไม่งาม ประโยชน์ของตราสังจึงมีเพื่อการนี้ด้วย และยังมีไม้ข่มเหงอีก ไม้ที่ใช้ค้ำยันหรือข่มโลงศพและกองฟอนนั่นเอง..
"...ตัณหาฮักลูกคือจั่งเชือกผูกคอ ฮักเมียคือจั่งปอผูกศอก ฮักวัตถุข้าวของคือจั่งปอกสุบตีน สามอันนี้ มาขีนขวางไว้จึงบ่ให้ได้ถึงนีรพาน..."
แวะมาหาความรู้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
ภาพน้ำตกสวยๆ มาฝากครับผม
พอดีแต่งกลอนลงในบันทึกดอกไม้ริมทาง ถ้าผ่านไปทางนั้นคุณครูก็แวะไปให้คำชี้แนะด้วย เรื่องปริศนาธรรมเกี่ยวกับศพของคนอิสานนี่มีมากมาย ว่างๆจะนำเสนอให้ได้อ่านครับ.
ได้ความรู้เพิ่มพูนปัญญา
มาชวนไปเดินเล่นบนสะพานเทพสุดา กาฬสินธุ์ด้วยค่ะ
มามอบดอกไม้ให้กับบันทึกที่เล่าเรื่องภูมิปัญญา พ่อเฒ๋าที่ได้ทำได้เล่าไว้ให้ลูกหลานได้สืบกันเป็นทอดๆ
ได้เห็นศพคือพบธรรมความจริงแท้ ไม่เปลี่ยนแปรอนิจจังทุกข์ทั้งหลาย
มีเกิดขึ้นตั้งอยู่สู่ดับไป มีอะไรให้เป็นสุขทุกข์ทั้งเพ
มองคนตายให้สติมิประมาท หากผิดพลาดการเป็นคนวนหักเห
ต้องเวียนว่ายสังสารว้ฏอยู่ยันเต ใครทุ่มเทปฏิบัติธรรมนำพ้นไป
วิปัสสนาคือปัญญาพาพ้นออก พุทธองค์ทรงบอกออกทางไหน
ที่สุดแท้คือนิพพานท่านนำไป ผู้หลงไหลกิเลสยั่วมัวหลงวน
รักโลภโกรธหลงเข้าพงหนาม บ่วงทั้งสามผูกมัดศพพบสับสน
ผู้ยึดติดไม่ตัดวางทางมืดมน พุทธชนตามรอยบาทพระศาสดา
สวัสดีค่ะ
ส่วนใหญ่แล้วพี่คิมไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับวัตรเหล่านี้เลยนะคะ ขอขอบคุณค่ะ ตาลมีความรู้ดีจังเลย
สวัสดีค่ะท่านวิโรจน์
แวะมาหาความรู้จากบันทึกพี่ครูอิงจันทร์ค่ะ
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีน่ะค่ะ การตัดทั้ง 3 บ่วงนั้นถือเป็นเรื่องยากทีเดียวค่ะ ^__^
ปุตโต คีเว : มีบุตรบ่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
ธนัง ปาเท : ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภริยา หัตเถ : ภรรยาเยี่ยงบ่วงหนอ รึงรัด มือนา
สามบ่วงใครพ้นได้ จึ่งพ้นสงสาร....
เครดิต Sittichai Khammee