สรุปเนื้อหาการอบรมการช่วยกู้ชีพทารก (Newborn Resuscitation) ชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2553 ณ ห้องจูปิเตอร์และห้องวีนัส ชั้น 3 โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร
การตายของทารกทั่วโลก (Neonatal deaths) มีจำนวน 5 ล้านคนต่อปี พบว่า เกิดจากภาวะขาดออกซิเจนตั้งแต่แรกเกิด (birth asphyxia) (World Health Organization,1995) ซึ่งทารกเหล่านี้มักไม่ได้รับการช่วยกู้ชีพทารกที่เหมาะสม ดังนั้น การส่งเสริมความรู้ให้แพร่หลายเกี่ยวกับการช่วยกู้ชีพทารกแรกเกิดอาจทำให้ผลลัพธ์ดังกล่าวดีขึ้น
บุคลากรทางการแพทย์ที่ควรอยู่ขณะทารกคลอด
ในทุกครั้งที่มีการคลอด ควรมีบุคลากรทางการแพทย์ 1 คนที่สามารถมารับทารกได้ทันทีและสามารถให้การช่วยกู้ชีพได้ โดยบุคลากรนั้นควรมีทักษะครบถ้วยในการช่วยกู้ชีพ ได้แก่ การใส่ท่อช่วยหายใจและการให้ยา บุคลากรที่อยู่เวร On call ไม่ควรอยู่ที่บ้านหรือบริเวณอื่นๆของโรงพยาบาล เนื่องจากอาจทำให้ทารกที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยกู้ชีพได้รับการช่วยเหลือช้าเกินไป
การใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกในการช่วยกู้ชีพทารกแรกเกิด
Bag bag ขนาดความจุไม่เกิน 750 mL เนื่องจาก bag ที่มีขนาดใหญ่จะควบคุมปริมาณก๊าซที่น้อยๆได้ยาก Bag ที่ใช้อยู่ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ
1. Flow-inflating bag (Anesthesia bag) สามารถให้ออกซิเจนแก่ทารกได้ 100% คือ เท่ากับที่ปล่อยออกจาก flow meter แต่ต้องต่อกับมาตรควบคุมแรงดันของออกซิเจนที่ให้
2. Self-inflating bag สามารถให้ออกซิเจนแก่ทารกได้เกือบ 100% ถ้าต่อกับ reservoir bag จะมีลิ้นปิด-เปิด เพื่อให้อากาศเข้าสู่ทารก ขณะที่บีบ bag
3.T-piece resusitator จะทำงานได้เมื่อมีก๊าซเข้าสู่เครื่อง ก๊าซจะออกจากเครื่องมือนี้เข้าสู่ทารกโดยการปิดที่ทางออกของรูท่อรูปตัว T ด้วยนิ้วหัวแม่มือ
การช่วยหายใจด้วยแรงดันบวก (PPV)
อัตราการช่วยหายใจด้วยแรงดันบวกในอัตรา 40-60 ครั้ง/นาทีหรือน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ครั้งใน 1 นาที
หยุดการ PPV เมื่ออัตราการการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ทารกมีผิวสีชมพูขึ้น ทารกหายใจได้เอง ความตึงตัวของกล้ามเนื้อดีขึ้น ตรวจสอบหาอาการดังกล่าวที่จะหยุดการPPV หลังช่วยการช่วยการหายใจไปแล้ว 30 นาที หาก HR < 60 ครั้ง/นาทีต้องทำการกดหน้าอกต่อ
ถ้าบีบ bag > 2 นาทีให้ใส OG
การกดหน้าอก (Chest Compressions)
การกดหน้าอกจะเริ่มเมื่ออัตราการเต้นของหัวใจน้อยกว่า 60/min ทั้งที่ทารกได้รับการ PPV อย่างเพียงพอแล้วเป็นเวลา 30 วินาที
มี 2 เทคนิคในการทำการกดหน้าอก
1.การใช้นิ้วหัวแม่มือ โดยนิ้วหัวแม่มือทั้งสองกดที่กระดูกหน้าอกในขณะที่ฝ่ามือโอบรอบหน้าอกของทารกและนิ้วมือที่เหลือหนุนกับกระดุกสันหลัง
2.การใช้สองนิ้ว ใช้ปลายนิ้วกลางและนิ้วชี้หรือนิ้วนางกดที่กระดูกหน้าอก ในขณะที่อีกมือวางหนุนที่หลังของทารก (กรณีที่ทารกไม่ได้อยู่บนพื้นผิวที่มั่นคง)
ความลึกของการกดหน้าอกประมาณ 1 ใน 3 ของความกว้างทรวงอกในแนวหน้าหลัง
อัตราการกดหน้าอก ต้องทำให้เป็นจังหวะและสัมพันธ์กับการช่วยหายใจ โดยจะมีการช่วยหายใจ 1 ครั้งตามหลังการกดหน้าอก 3 ครั้ง โดยรวมใน 60 วินาทีจะทำการช่วยหายใจ 30 ครั้งและกดหน้าอก 90 ครั้ง/นาที
หยุดทำการกดหน้าอกเมื่อ HR > 60/min
การใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal intubation)
ข้อบ่งชี้ในการใส่ท่อช่วยหายใจ
- มีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ หากทารกเกิดมาไม่หายใจ ไม่เคลื่อนไหว หัวใจเต้นช้า ใส่ท่อเพื่อดูดขี้เทา
- PPV แล้วยังมีอาการเขียว ทรวงอกไม่ขยายหรือต้องได้รับการช่วยการหายใจเป็นเวลานาน
- เมื่อต้องทำการกดหน้าอก
- เมื่อต้องการให้ยา Epinephrine เพื่อกระตุ้นการเต้นของหัวใจ ผ่านทางท่อระหว่างรอหาเส้นเลือดดำให้
การเลือกขนาดท่อช่วยหายใจ
ขนาดท่อ (มม.) |
น้ำหนัก (กรัม) |
อายุครรภ์ (wks) |
2.5 |
< 1,000 |
< 28 |
3.0 |
1,000 – 2,000 |
28 – 34 |
3.5 |
2,000 – 3,000 |
34 – 38 |
3.5-4.0 |
> 3,000 |
> 38 |
ท่อช่วยหายใจมักผลิตยาวมากเกินความจำเป็นควรตัดขนาดท่อช่วยหายใจให้มีความยาวประมาณ 13 – 15 ซม.และตัดในแนวเฉียงเพื่อให้สวมต่อกับ connector ได้ง่ายและพอดี
Laryngoscope
เบอร์ 0 สำหรับทารกเกิดก่อนกำหนด
เบอร์ 1 สำหรับทารกเกิดครบกำหนด
ขนาดท่อช่วยหายใจ |
ขนาดสายดูดเสมหะ |
2.5 |
5F หรือ 6F |
3.0 |
6F หรือ 8F |
3.5 |
8F |
4.0 |
8F หรือ 10F |
เปิดเครื่อง Suction ที่ความดัน 100 มม.ปรอท
จัดท่าของทารกเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจ ท่า “Sniffing” คือ วางศีรษะบนพื้นราบ ศีรษะตรง ใช้ผ้ารองบริเวณไหล่เพื่อทำให้คอเหยียดเล็กน้อย
ข้อควรปฏิบัติในการในการดูดขี้เทาออกจากหลอดลมคอ
- ดูดโดยใช้เวลาไม่เกิน 3 – 5 วินาที
- กรณีดูดไม่ได้ขี้เทาไม่ต้องดูดซ้ำ
- ถ้าดูดครั้งแรกได้ขี้เทาให้ฟัง HR ถ้าเร็วให้ใส่ท่อดูดซ้ำ ถ้าช้าควร PPV และหยุดดูดขี้เทา
ความลึกของท่อช่วยหายใจ
น้ำหนัก (กิโลกรัม) |
ความลึก (ซม.จากริมฝีปาก) |
1* |
7 |
2 |
8 |
3 |
9 |
4 |
10 |
*ทารกน้ำหนัก < 750 กรัมอาจใส่ลึก 6 ซม,ก็เพียงพอ
ข้อปฏิบัติขณะใส่ท่อช่วยหายใจ
- ให้ออกซิเจนแก่ทารกก่อนทำการใส่ท่อช่วยหายใจ
- ให้อออกซิเจน Free flow ระหว่างใส่ท่อช่วยหายใจ
- กำหนดเวลาในการใส่ท่อช่วยหายใจไม่เกิน 20 วินาที
การให้ยาและสารน้ำ (Medications)
ข้อบ่งชี้ในการให้ยา คือ เมื่อPPV อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว 30 วินาทีและ PPV ร่วมกับการกดหน้าอกอีก 30 วินาทีแล้วทารก HR < 60/min
- ความเข้มข้นของยา คือ 1:10,000
- วิธีบริหารยา คือ ทางหลอดเลือดดำ (ให้ทางท่อช่วยหายใจได้ในระหว่างรอการใส่สายสวนหลอดเลือดดำ)
- ขนาดยา 0.1 – 0.3 มล./กก. ของยา epinephrine 1:10,000 (ให้ 0.3 – 1 มล./กก.ถ้าให้ทางท่อช่วยหายใจ)
- อัตราการให้ยา เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
สารน้ำที่แนะนำในการรักษาความดันเลือดต่ำจนซ็อค คือสารน้ำชนิด isotonic crystalloid ได้แก่
-0.9%NaCl
-RLS
-PRC group O Rh negative
ขนาดที่ควรให้เริ่มแรกคือ 10 มล./กก.
อัตราการให้สารน้ำภายใน 5- 10 นาที
ทารกที่ได้รับการกู้ชีพทารก อาจต้องการช่วยเหลือบางอย่างต่อ ซึ่งมักมีความเสี่ยงที่อาการจะกลับแย่อีกและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากภาวะ transition ที่ผิดปกติ ทารกเหล่านี้ควรได้รับการดูแลต่อในที่ที่มีการประเมินและเฝ้าติดตามอาการได้
สรุปโดย
1.นางสาวลัดดาวัลย์ ทินกระโทก
2.นางสาวรัชนีกร จำปาขันธ์
สวัสดีครับ ขอฝากข่าวถึงลูกจ้างของรพ.ทุกคนครับ
"เรียน เพื่อนๆๆลูกจ้างสาธารณสุข
สมาคมลูกจ้างสาธารณสุขได้มีหนังสือเชิญประชุมที่พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 4 กันยายน นี้
เพื่อนๆสามารถดึงมาจากเว็ปได้เลย แล้วนำไปเสนอหัวหน้าส่วนราชการได้เลย
ท่านใดประสงค์จะพักโรงแรมติดต่อได้ที่ ท่าน สมยศ ครองหิรัญ 089-5398846 หรือแฟ็ก 035-242182