เนื่องจากมีข่าวส่วนตัวบางอย่างที่อยากแจ้งให้เพื่อน ๆ ทราบ เพื่อร่วมแสดงความยินดี เพราะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของผม คือ เมื่อวันที่ 6-12 ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อส่งวิทยานิพนธ์ปริญาเอกเรื่อง Existence and Enlightenment : A Study of Metaphysics and Ethics in Abhidhamma and Nikaya of Theravada Buddhism ต่อมหาวิทยาลัยมัทราส เมืองเชนไน โดยส่งงานในวันที่ 12 พฤษภาคม 2010 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดเวลาตามหลักสูตร 3 ปี พอดี
หลังจากกลับจากอินเดีย ผมก็เข้าร่วมอบรบรมอาสาสมัครฑูตวิสาขโลกที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในวันที่ 15-17 พ.ค. และปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 21-23 พ.ค. โดยวันที่ 23 เป็นวันเปิดงาน วันที่ 24 เป็นวันประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่องการฟื้นฟูวิกฤติการณ์ของโลก-ทัศนะของชาวพุทธ วันที่ 25 เป็นวันปิดงานมีการกล่าวรายงานและคำประกาศปฏิญญากรุงเทพฯ ที่สำนักงานสหประชาชาติ และมีการทำพิธีเวียนเทียนที่พุทธมณฑล
ด้วยเหตุนี้จึงรายงานให้เพื่อน ๆ ทราบ เพื่อร่วมแสดงความยินดีและอนุโมทนากับงานอาสาสมัคร ขอให้เพื่อนทุกคนมีความสุขและประสบความสำเร็จ เนื่องในวันวิสาขบูชา อันเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า และผมมองว่าเป็นวันประกาศอิสรภาพของมนุษย์ดังคำอาสภิวาจาที่พระพุทธองค์ทรงตรัสในวันประสูติว่า
เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก และชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา
อยากจะขออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการของการส่งวิทยานิพนธ์ (Thesis) ของ University of Madras ให้ทุกท่านเข้าใจ
ตามกฏของมหาวิทยาลัย นักศึกษาจะสามารถส่งงานวิทยานิพนธ์ได้เมื่อครบกำหนดเวลาในหลักสูตร 3 ปี นับจากวันที่ลงทะเบียน และในระหว่าง 3 ปีที่เราเขียนวิทยานิพนธ์ จะต้องมีการส่งรายงานความคืบหน้าของการทำงานต่อมหาวิทยาลัยทุก 6 เดือน เรียกว่า Six Month Reports วิทยานิพนธ์ต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษไม่ต่ำกว่า 200 หน้า ไม่เกิน 250 หน้า (แต่วิทยานิพนธ์ของผมเกินไปนิดหน่อย 294 หน้า)
ตามระเบียบของมหาวิทยาลัยการจะส่งวิทยานิพนธ์ได้ต้องขึ้นนำเสนอผลงานต่อคณาจารย์และเพื่อนนักศึกษาก่อน เมื่อคณะกรรมการเห็นชอบเราจึงจะสามารถส่งวิทยานิพนธ์โดยผ่านการเซ็นรับรองของอาจารย์ที่ปรึกษาและคณบดี โดยส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์จำนวน 5 เล่มต่อมหาวิทยาลัย ในจำนวนนี้ วิทยานิพนธ์ 3 เล่ม จะถูกส่งไปตรวจสอบโดยให้ผู้เชี่ยวชาญ(Professor)ของมหาวิทยาลัยภายในรัฐ 1 เล่ม มหาวิทยาลัยของอินเดียภายนอกรัฐ 1 เล่ม และอีกหนึ่งเล่มจะถูกส่งไปที่ต่างประเทศ ส่วนมากจะเป็นอเมริกาหรือยุโรป
จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจะใช้เวลาในการตรวจสอบ 3-6 เดือน แล้วก็จะส่งวิทยานิพนธ์กลับคืนมหาวิทยาลัย ซึ่งหากคณะผู้เชี่ยวชาญตรวจให้ผ่าน ทางมหาวิทยาลัยก็จะสั่งให้คณะจัดตั้งคณะกรรมการสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ ซึ่งเรียกว่า Public Viva Voce คือการขึ้นนำเสนอผลงานต่อหน้ามหาชนจำนวนมาก ถ้าสถานการณ์ผ่านไปโดยความเรียบร้อยก็ถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้ามีการคัดค้านโดยคณาจารย์หรือผู้เข้าร่วมรับฟังก็ถือว่าสอบไม่ผ่าน ซึ่งในการนำเสนอนี้จะมีการซักถามในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับหัวข้อวิทยานิพนธ์ของเรา
เหล่านี้เป็นกระบวนการส่งและสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาระดับปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยมัทราส ดูแล้วเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย แต่อย่างไรก็ตามผมจะเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด เต็มตามกำลังสติปัญญาความสามารถของผม และขอกำลังใจจากสมาชิกทุกท่านด้วยนะครับ
ขอขยายเรื่องความสำคัญของวันวิสาขบูชาอีกนิดหนึ่งครับ ที่ผมบอกว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันประกาศอิสรภาพของมนุษย์นั้น หากวิเคราะห์ในทางปรัชญา ในวันประสูติพระพุทธเจ้าตรัสอาสภิวาจา โดยนัยยะหมายถึงพุทธศาสนามองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่สุดในโลก (เพราะพระองค์เกิดมาเป็นมนุษย์) และความเป็นมนุษย์ก็มีความประเสริฐด้วยตัวของมันเองโดยไม่เกี่ยวกับชาติตระกูล เชื้อชาติหรือเผ่าพันธ์ ในวันตรัสรู้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถประกาศอิสรภาพเหนือความชั่วร้ายทั้งมวลของอำนาจมืดในจิตใจของตัวเองได้ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องตกอยู่ภายใต้การบงการของสัญชาติญาณฝ่ายตำ ในวันปรินิพพานทรงแสดงให้เห็นว่าความตายเป็นธรรมชาติของสังขาร และมนุษย์ก็ไม่ต้องหวาดกลัวหรือหวั่นไหวต่อความตาย ตรงกันข้ามพระองค์กลับตรัสเตือนสติสาวกให้เร่งทำความเพียร อย่าประมาทในชีวิต เร่งเดินทางให้ถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ก่อนที่พระยามัจจุราชจะมาเยือน นี้คือความหมายของคำว่า วันวิสาขบูชาคือวันแห่งอิสรภาพของมนุษยชาติ
ขอแสดงความยินดีด้วยครับ
กับอาสาสมัครทุกท่านและผู้ที่ได้รับปริญญาเอก
ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับที่ท่านอุตส่าร่วมแสดงความยินดี
ความสำเร็จด้านการศึกษาของกระผมเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยทุนทั้งทางสังคม และทุนจากครอบครัว ทุนทางสังคมที่สำคัญยิ่งคือ พระพุทธศาสนา (มจร) เพราะฉะนั้นเมื่อสำเร็จการศึกษามาแล้วโจทย์ที่หนักที่สุดสำหรับผมคือจะตอบแทนบุญคุณของพระพุทธศาสนาและประเทศชาติตลอดทั้งวงศ์ตระกูลได้คุ้มค่าขนาดไหน ความหนักใจตรงนี้ผมจำเป็นต้องแก้ด้วยการศึกษาและเจริญรอยตามปฏิปทาของบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างท่าน ดร.อัมเบดการ์ เพื่อคนตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมจะพอมองเห็นหนทางที่จะสร้างประโยชน์ได้บ้างตามกำลังสติปัญญาเท่าที่มี
ท่าน ดร.บี.อาร์.อัมเบดการ์ นำประชาชนประมาณ ๕ แสนคน กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ณ บริเวณทิกษาภูมิ เมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฎร์ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๙๙(๒๕๐๐) โดยมีคำปฏิญาณ ๒๒ ข้อ ดังนี้
๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ และพระวิษณุอีกต่อไป
๒.ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพนับถืออีกต่อไป
๓.ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทพเจ้าของศาสนาฮินดูอีกต่อไป
๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตาร คือการแบ่งภาคลงมาเกิดอีกต่อไป
๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้า คืออวตารของพระวิษณุอีกต่อไป
๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูอีกต่อไป
๗. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างอีกต่อไป
๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศน์ โดยครบถ้วน
๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่แบ่งชั้นวรรณะ
๒๐. ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมายอมรับนับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่อย่างแท้จริง
๒๒. ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฎิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว ดร.อัมเบดการ์กล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นฮินดู เพราะข้าพเจ้าควบคุมไม่ได้ แต่จะไม่ขอตายในฐานะฮินดู แต่ขอตายในฐานะชาวพุทธ"
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/372458