ก่อนอ่านบันทึกนี้อยากขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาด้วยใจอย่างใคร่ครวญว่า ....
"การใส่ใจ" แตกต่างจาก "การจดจ่อ" อย่างไร ?
อยากขอให้ท่านนำเอาคำตอบของท่านไปทดลองปฏิบัติดูให้เห็นด้วยตนเอง โดย ทดลองใส่ใจกับอะไรสักอย่างประมาณ 1 นาที แล้วสลับเปลี่ยนมาเป็นการ"จดจ่อ" อยู่กับสิ่งนั้นอีก 1 นาที แล้วสลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งท่านมั่นใจว่าได้สัมผัสและเห็นถึงความแตกต่างของ "การใส่ใจ" กับ "การจดจ่อ"
ผมเองมีความเข้าใจคำว่า "การมีสติอยู่กับปัจจุบัน" ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อได้อ่านหนังสือ "กฤษณมูรติที่หุบเขาฤาษี" ท่านได้อธิบายทำนองว่า การมีสติอยู่กับปัจจุบันไม่ใช่การจดจ่อ แต่เป็นการเฝ้าดู การเอาใจใส่ในปัจจุบันขณะ เพื่อให้เห็นความงานของสรรพสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง จนนำไปสู่การเข้าใจความจริงแห่งชีวิต
ในหนังสือเล่มนี้ท่านได้ให้ความหมายของ "การศึกษา" ไว้อย่างน่าสนใจมาก จนตัวผมแล้วรู้สึกว่า นั่นน่าจะเป็นความหมายที่แท้จริงของการศึกษา
...การศึกษาไม่ใช่การสอบผ่าน ได้ปริญญาบัตรและมีงานทำ แต่งงานและตั้งหลักปักฐาน แต่ยังหมายถึงความสามารถที่จะฟังเสียงนกร้อง มองดูท้องฟ้า เห็นความงามประหลาดของต้นไม้ เส้นสันทิวเขา รู้สึกไปกับมัน สัมผัสมันได้โดยตรงและอย่างแท้จริง เมื่อพวกเธอเจริญวัยขึ้น ความรู้สึกที่จะฟังจะเห็นอย่างนั้นจะหายไปอย่างน่าเสียดาย เพราะว่าพวกเธอกังวล พวกเธอต้องการเงินทองมากขึ้น รถยนต์ยี่ห้อหรูขึ้น พวกเธอจะกลายเป็นคนขี้ริษยา ทะเยอทะยาน ละโมบ อิจฉา พวกเธอจึงได้สูญเสียสัมผัสแห่งความงามของแผ่นดิน
...พวกเธอเองก็ได้รับการศึกษาที่สอดประสานกับสิ่งที่เอ่ยมานี้ พวกเธอรู้หรือไม่ว่า โลกกำลังบ้าคลั่ง การต่อสู้ การทะเลาะเบาะแว้ง การข่มเหงเบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกัน นี่คือความบ้าคลั่งทั้งมวล และเธอเองก็เติบโตขึ้นเพื่อที่จะเหมือนและกลมกลืนกับสิ่งเหล่านี้
...เธอจะต้องเข้าไปอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า "สังคม" ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
...บางคนในหมู่พวกเธออาจจะพยายามหนีจากสังคม แต่การหนีสังคมอย่างนั้น ก็หาได้มีความหมายอย่างใดไม่ เธอต้องเปลี่ยนแปลงสังคม สังคมก็คือเธอกับฉัน
...จะยอมรับคุณค่าเก่าทั้งหมดกระนั้นหรือเธอรู้ไหมว่าระบบคุณค่าเหล่านี้คืออะไร เงินทอง ตำแหน่ง ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ นั้นคือสิ่งที่มนุษย์ทั้งหมดต้องการ และสังคมก็ต้องการให้เธอกลมกลืนแบบแผนคุณค่าเหล่านั้น
...
สิ่งที่ได้เรียนรู้
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ
ค่อนข้างจะเป็นภาระหนักนะคะที่จะชี้ให้เห็นความงามของสรรพสิ่งในขณะที่โลกกำลังบ้าคลั่ง..แต่เชื่อว่าครู..พยายามทำอยู่ค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์ที่แนะนำหนังสือดีค่ะ
เรียนท่านภูฟ้าครับ
จะลองทำดูครับ ใส่ใจกับสิ่งรอบตัว
สวัสดีครับท่านอาจารย์ ภูฟ้า
เป็นจริงครับ หลายสิ่งหลายอย่างนึกว่าเหมือน นึกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน
แต่พอแยกแยะมันคนอย่างกัน ใส่ใจ และจดจ่อ
มัธยัทย์ กับขี้เหนียว ดูเหมือนคล้ายครับ
เรียน อ. ษษมา
เรียน ท่านพลาย
จะลองทำดูครับ ใส่ใจกับสิ่งรอบตัว
เรียน ท่าน วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
แวะมาใส่ใจกับบันทึกอาจารย์ก่อนไปวิจัยลมขอรับ..
กราบนมัสการพระอาจารย์
(กราบ 3 หน)
เรียนท่านอาจารย์ที่เคารพ
การจัดการศึกษาไทยที่ผ่านมา ถูกออกแบบเพื่อสังคมอุตสาหกรรมมาตลอดค่ะ
จึงไม่แปลกนะคะที่เราคุ้นเคยกับการเรียนเเบบทองจำ เรียนสูตรสำเร็จตาม "หลักสูตร"
เน้นที่ "รูปเเบบ" เมื่อจบออกมาแล้วจึงเหมือนสินค้าที่ผลิตจากโรงงาน ทุกชิ้นเหมือนกันหมดค่ะ
เเละวิ่งหางานทำเหมือนสินค้าวิ่งหาผู้ซื้อ เมื่อไม่มีคนซื้อก็ขายไม่ออก
เช่นกันค่ะเมื่อขายไม่ออกก็ตกงาน เพราะไม่มีคนจ้าง
เมื่อไม่มีคนจ้างก็ คิดงานเองไม่เป็น เพราะการศึกษาไม่ได้สอนให้คิดงานเอง
แต่สอนให้ไปรับจ้าง ไม่ได้สอนให้บูรณาการชีวิตทุกส่วนเข้าด้วยกันค่ะ
สถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ยังคงพอใจกับการจัดการศึกษาแบบอุตสาหกรรม
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าโลก หรือแม้กระทั่งชุมชนของเราเปลี่ยนไปอย่างไร
ไม่ต้องไปดูงานต่างประเทศหรอกค่ะ เพียงแค่สร้าง เป้าหมายการเรียนรู้
ที่ชัดเจน แสวงหาความรู้ที่หลากหลาย ทั้งเนื้อหา สาระ กระบวนการ วิธีการ
ไม่ยึดติดกรอบและสูตรสำเร็จแต่หาความรู้ใหม่ที่จะนำไปสู่การปฎิบัติที่เกิดผลดีแก่ชีวิตค่ะ
เป็นการเอาเอาชีวิตที่แท้จริงป็นตัวตั้ง จริงๆค่ะอาจารย์
ด้วยความเคารพค่ะ
ศศินันท์(ร้อยเอ็ด7)
สวัสดีครับ อาจารย์
ความเชื่อที่หลากหลายคือเสน่ห์ของไทยครับ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับท่านเบดูอิน
เรียนท่านอาจารย์ภูฟ้าครับ
การวิ่งเหยาะเพื่ออกกำลังในยามเช้า
สามารถฝึกไปด้วยได้ไหมครับ
สวัสดีครับ
การวิ่งเหยาะเพื่ออกกำลังในยามเช้า
สามารถฝึกไปด้วยได้ไหมครับ
พบเวปเพจท่านโดยบังเอิญ...ตอนค้นหาปรัชญาของท่านกฤษณะมูรติ... ชื่นชม...ดีใจ...ที่มีคนใส่ใจกับชีวิต มากกว่าการจดจ่ออยู่กับชีวิต...
ใส่ใจ VS จดจ่อ สาธุ สาธุ หนอ