การเรียนรู้เรื่องพระกรุเนื้อโลหะนั้น เดิมทีผมเข้าใจว่าการดูเนื้อโลหะผสม เช่น สำริดโบราณ นั้น น่าจะดูง่ายที่สุด เพราะมีทั้งสีเขียวอมฟ้าที่เป็นเอกลักษณ์ มีสีเนื้อแยกออกเป็นชั้นๆ จากแดงด้านในเป็นเขียวด้านนอก มีความพรุนของเนื้อใน(ถ้ามีการหักบิ่น) และมีความผุกร่อนให้เห็นได้ง่าย
แต่เมื่อต้องเผชิญกับ “สำริดจากโรงงาน” นั้น ปรากฏว่า มีการทำได้ดีมาก หลบเลี่ยงลักษณะที่ต้องสังเกตได้เกือบหมด ที่ทำให้การแยกพระสำริดจากโรงงาน ออกจากพระกรุทำได้ยากพอสมควร เนื่องด้วยความหลากหลายของส่วนผสมของ “สำริด” ที่ทำขึ้นในแต่ละครั้ง ไม่เท่ากันนั่นเอง
แต่ก็ยังมีความหลากหลายด้านคุณภาพของ “สำริดโรงงาน” ที่พอจะดูได้พอสมควร มีดูยากบ้างไม่มากนัก
จุดสังเกตที่สำคัญนั้น ก็เริ่มจาก
พระทวาราวดีสำริด (แก่ทอง) ให้สังเกตสนิมและฝุ่นที่เกาะกันแน่น
เนื้อสำริดแก่ทองคำ ของพระยุคทวาราวดี
ให้สังเกตสนิมแดงที่ติดอยู่กับทองคำ สนิมเขียวและคราบดินคลุมด้านนอก
พระลพบุรี สำริดแก่ทองคำ
ให้สังเกตผิวทองคำ และสนิมเขียวคลุมเดิมๆ
ฐานพระสำริดที่ต้องมีการผุกร่อนอย่างเป็นธรรมชาติ
พระทวาราวดี สำริด ที่ไม่ผ่านการฝังดิน จะยังไม่ผุกร่อนมาก
เทวรูปสำริด ศิลปะปาปวน
ให้สังเกตความหลากหลายของมวลสาร สนิม และคราบเก่าแบบ "ธรรมชาติ"
รอยขอบบิ่นของพระชินราชใบเสมาเนื้อสำริด (แก่ทอง)
ให้สังเกตเนื้อในที่แยกเป็นเม็ดๆ ที่ทำปลอมได้ยาก
ส่วนพระโรงงานนั้น มักทำมาจากทองเหลือง แยกสีได้ชัดเจนจากทองสำริด
สิ่งที่ทางโรงงานพยายามจะทำเลียนแบบ มีหลายระดับ
ที่ยังไม่ค่อยทำ หรือทำไม่เหมือนธรรมชาติคือ
ที่ยังเป็นจุดสังเกตได้
แต่ก็ไม่แน่นะครับ บางโรงงานอาจจะทำได้แล้วก็ได้ อย่าประมาทครับ
ดังนั้น จุดที่พอจะเหลือพอสังเกตได้ ก็คือความ “เนียน” ของส่วนต่างๆ
ทั้งผิวนอก ขอบ รอยผุ สนิมขุม และความหลากหลายของมวลสารในเนื้อพระองค์เดียวกัน ที่เป็นการเสียเวลาและลงทุนสูงไม่คุ้มกับค่าแรง
โดยเฉพาะพระที่ราคาในท้องตลาดไม่สูงนัก
และพระเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการยกให้เป็นพระหลัก แต่อาจนิยมอยู่ในกลุ่ม “พระโบราณ” ที่มีตลาดแคบ ที่อาจไม่คุ้มกับการลงทุนที่อาจต้องทำในปริมาณมาก หรือได้ราคาสูงเท่านั้น
ขอให้โชคดีครับ
ไม่มีความเห็น