คนต้นเรื่องโดยน้องเอ พญ.วรุณยุพา เล่าให้ฟังว่า จากการออกตรวจที่ศูนย์แพทย์มิตรภาพพบผู้ป่วยชายวัยกลางคนรายหนึ่งที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี ระดับน้ำตาลประมาณ 300 mg% พยายามแนะนำผู้ป่วยให้ควบคุมอาหาร แต่ผู้ป่วยปฏิเสธเพราะจะมีอาการเหนื่อย เลยเกิดคำถามว่า การควบคุมน้ำตาลอย่างเคร่งครัด จะส่งผลต่อคนไข้อย่างไร จากคำถามดังกล่าว ได้นำกระบวนการของ Evidence-based medicine มาใช้ โดยใช้แบบฟอร์มที่จัดทำโดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งจะครอบคลุมกระบวนการตั้งแต่การตั้งคำถาม การค้นหาข้อมูล การประเมินJournalทั้งในด้านความถูกต้อง ระดับของผลที่เกิดขึ้น จนกระทั่งการนำไปใช้กับคนไข้ของเรา แบบฟอร์มดังกล่าวมีประโยชน์มากที่เดียวในการประเมิน Journal ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ช่วงท้ายเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมในกรณีที่ผู้ป่วยคุมน้ำตาลไม่ได้
- ผู้ป่วยอาจมีปัญหา Psychosocial ที่แอบแฝงอยู่ที่แพทย์เองก็ยังไม่เข้าใจถึงจุดนี้ เช่น ปัญหาครอบครัว หนี้สิน ผู้ป่วยก็จะให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นมากกว่าที่จะคุมระดับน้ำตาล นอกจากนี้ความเครียดยังอาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยทานอาหารมากขึ้นด้วย (Stress induced eating)
- สามไม่รู้ที่สังเกตพบในผู้ป่วยเบาหวานที่มารับบริการ คือ ไม่รู้อย่างแรกคือ ไม่รู้ค่าระดับน้ำตาลตนเอง ไม่สนใจ มารับยาอย่างเดียว ไม่รู้อย่างที่สอง คือ ไม่รู้ว่าระดับน้ำตาลที่ดีควรมีค่าระดับเท่าใด ไม่รู้อย่างที่สาม คือไม่รู้ว่าจะควบคุมน้ำตาลไปทำไม แถมไม่รู้อย่างที่สี่คือ ไม่รู้วิถีในการควบคุมน้ำตาล
- ในผู้ป่วยบางคน ระดับน้ำตาลที่ลดลงแม้จะไม่มากก็ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย เพลีย ใจสั่นได้
- ผู้ป่วยมีความเชื่อว่า การเพิ่มยาจะทำให้ไตวาย ทำให้ไม่ยอมเพิ่มยาตามที่คุยกับแพทย์ไว้
- ต้องเข้าใจปัญหา Psychosocial ของผู้ป่วยก่อน ผู้ป่วยมีปัญหาอื่นๆแอบแฝงอยู่หรือไม่ การเยี่ยมบ้านจะทำให้เข้าใจสภาพของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
- ใช้การต่อรองกับผู้ป่วย (Negotiation) เพื่อหาแนวทางในการควบคุมระดับน้ำตาลหรือการตกลงบริการกันก่อน เช่นถ้าระดับน้ำตาลไม่ลดลงในครั้งต่อไป อาจจะต้องเพิ่มยา เป็นต้น
- การค้นหาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่นการทำงานของไต ภาวะเบาหวานขึ้นตา อาจจะทำให้ผู้ป่วยสนใจที่จะมาดูแลตนเองเพิ่มขึ้น
- ในกรณีที่ผู้ป่วยปรับยาเองแต่ควบคุมระดับน้ำตาล อาจจะยอมรับตามที่ผู้ป่วยปรับยาเอง แต่ถ้าผู้ป่วยควบคุมไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจกับผู้ป่วย
- ใช้ Group counseling เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์ในการควบคุมระดับน้ำตาล
- ใช้การเปรียบเทียบ โดยให้ผู้ป่วยนึกถึงบ้าน ถ้าเปิดประตูบ้านทิ้งไว้จะเป็นอย่างไร บางคนเคยเปิดประตูบ้านไว้แล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีขโมยมา ก็เลยเปิดไว้ตลอดเวลา ใครมาบอกก็ไม่เชื่อ บอกว่าไม่เห็นเป็นอะไร ไม่มีขโมยหรอก แต่เราจะรู้ไหมว่าขโมยจะมาวันไหน ไม่มีขโมยคนไหนที่มาบอกก่อนว่า พรุ่งนี้จะมาขโมยของที่บ้านของเรา บ้านก็เหมือนกับร่างกาย การเปิดประตูบ้านเหมือนกับระดับน้ำตาลที่สูงที่เปิดโอกาสให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ตลอดเวลา ภาวะแทรกซ้อนก็เหมือนกับขโมยที่เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด
- แพทย์ที่ทำการรักษาต้องทำการบันทึกข้อมูล(Record) เพื่อบ่งบอกว่าแพทย์มีความสนใจใน Psychosocial problem และตัดสินใจภายใต้การร่วมคิดกับผู้ป่วย
- ผู้ประเมินต้องมีความเข้าใจถึงปัจจัยหลายๆอย่างที่อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลของผู้ป่วยนอกจากการใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
จะเห็นว่าการดูแลผู้ป่วยที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ต้องอาศัยความเข้าใจในตัวโรคที่ผู้ป่วยเป็นและบริบทแวดล้อมผู้ป่วย การเพิ่มยาอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ ต้องอาศัยกลยุทธหลายอย่างและต้องอาศัยการร่วมตัดสินใจระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงจากภายใน
Thank you for this useful information.
IMHO, the word ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลสูง can cause "negative" self-confidence for ผู้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง. After all we should try to reduce ระดับน้ำตาลในเลือด in ผู้มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง -- but not to reduce them into ผู้ป่วย. And yes, to reduce ระดับน้ำตาลในเลือด, we need to help ourselves as well as to help helpers to help us. ;-)
ขอยืมเทคนิคอธิบาย เปิดประตูบ้านทิ้งไว้ ไปใช้กับผู้ป่วยเบาหวานบ้างนะคะ
และขอบคุณประเด็น ผู้ป่วยเบาหวานควรมี autonomy เรื่องระดับน้ำตาลหรือไม่?
ขอบคุณที่สรุป Half day มาเผยแพร่นะครับ
พวกเราก็ได้คุยอะไรที่เป็นประโยชน์มากมายแต่ไม่ค่อยบันทึกไว้
เป็นกำลังใจให้ทำต่อเนื่องไปนะครับ
หลาย ๆ คนอาจจะเห็นประโยชน์และอยากทำบ้าง
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ