การดูจิตที่คน IT รู้จักกันดี


ซึ่งการดูจิตนั้นมีหลักใหญ่ ๆ อยู่ไม่กี่ข้อ 1 คืออย่าฝืนจิตปกติ หรือจิตธรรมชาติของมนุษย์ในตัวเรา 2 ฝึกรู้เมื่อจิตพื้นฐานเหล่านั้นเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ขึ้น (เรียกว่าตัวรู้)

                ครูบาอาจารย์หลาย ๆ ท่าน ในยุคนี้มีการยกปัญญาขึ้นมากกว่าเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว จากที่เมื่อก่อนเน้นการนั่งสมาธิเป็นหลัก บ้างก็ว่าสมถะเป็นวิปัสนา บ้างก็ไปยึดเอาอาการสร้างภาพทางจิตมาเป็นสวรรค์วิมานกันไป จนทำให้ดูเหมือนพุทธศาสนาจะมีไขมันที่พอกพูน มีเปลือกที่หนาขึ้นทุกที ทุกที  

                ซึ่งในยุคนั้นก็เห็นจะมีแต่ท่านพุทธทาศ กับสายวัดป่าบางองค์เท่านั้นที่กล้ายืนหยัดทัดทานกับกระแส เปลือกแห่งพระพุทธศาสนา ต่อมาในยุคนี้มีการประมวลเอาความรู้จากพระอริยะในยุคที่แล้วมาประมวลผลกันใหม่ จนเกิดเป็นการเข้าถึงสภาวะแห่งนิพพานอย่างฉับไวและรวดเร็วซึ่งเรียกกันว่า "การดูจิต" นั่นเอง  

                คราวนี้ในการดูจิตนั้นครูบาอาจารย์ท่านก็พยายามประมวลให้ง่ายแล้ว ซึ่งผมเองก็ว่ามันง่ายแล้วเหมือนกัน แต่คนโดยทั่วไปก็ยังคงเข้าถึงได้ยากอยู่ดี วันนี้ผมก็เลยจะลองเอามาเทียบกับเรื่องทาง IT สักเล็กน้อย เพื่อที่ว่าอย่างน้อยผมจะได้ขนเอาคนทางด้าน IT ไปสัมผัสสภาวะการดูจิตได้ซักเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังดี  

                ซึ่งการดูจิตนั้นมีหลักใหญ่ ๆ อยู่ไม่กี่ข้อ 1 คืออย่าฝืนจิตปกติ หรือจิตธรรมชาติของมนุษย์ในตัวเรา 2 ฝึกรู้เมื่อจิตพื้นฐานเหล่านั้นเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ขึ้น (เรียกว่าตัวรู้)    

                ทีนี้พอจิตหรือตัวรู้ทำงานบ่อยเข้า ๆ แล้วมันจะเกิดการเรียนรู้หรือกระบวนการทางจิต ความรู้ดีรู้ชั่วมันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ (อันนี้ดูได้จากครูบาอาจารย์ที่ถึงแล้วท่านจะมีความสดชื่นแจ่มใสอยู่ตลอด) แต่ใช่ว่านิสัยนั้นจะเปลี่ยนไปมากมายนักเพราะธรรมชาติอย่างไรมันก็ยังคงเป็นของมันอย่างนั้น จะสังเกตได้จากพระอริยะบางองค์เช่น หลวงพ่อพุทธทาศ ท่านก็ยังคงดุและเคร่งระเบียบอยู่ ศิษย์บางคนบางองค์ยังคงกลัวท่านดุอยู่ 

               ทีนี้มันก็เกิดคำถามว่าเหตุไฉนต้องปล่อยให้จิตมันทำงานของมันเล่า ก็ต้องตอบว่าถ้าไปฝืนมันมันจะทำงานไม่ปกติ แต่ถ้าปล่อย ๆ และเราตามรู้มันแล้วจิตที่เผลอชั่ว เผลอคิดไม่ดีมันจะเหมือนโจร พอเรารู้แล้วเห็นหน้าเห็นสันดารมันแล้วมันจะ อายหนีไปเองไม่ต้องไปทำอะไรมันมาก

               คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องของ IT กระบวนการที่ผมบอกมานี้มันก็เหมือนกระบวนการของ Software นี่ละครับ จิตพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ก็คือ Software ที่เรื่องว่า Operating System : OS และจิตโดยทั่ว ๆ ไปก็คือ Software ต่าง ๆ กันไปแล้วแต่หน้าที่ คราวนี้มาพิจารณาเป็นคำที่ฝรั่งเขาใช้นะครับ เขาใช้คำว่า Operating นั่นก็สื่อว่ามันกำลังทำงานเพราะลงท้ายด้วย –ing นั่นเอง ซึ่งถ้าเปรียบกับจิตคนมันก็คือ “สติ” นั่นละครับ ให้ง่ายก็คือสตินั้นคือจิตประเภทหนึ่งที่เป็นบาทฐานของจิต(Software) อื่น ๆ ให้ทำงานได้ ไอ้ Software บางตัวมันก็ทำงาน ส่งผลดีกับ OS บางตัวก็ทำหน้าที่เสริมกับ OS

               แต่ไอ้ Software บางตัวสิครับมันทำหน้าที่ทำลายระบบบ้าง ใช้ฐานจิตเราไปทำลายระบบของคนอื่นบ้าง ทำให้ Software ตัวอื่นทำงานรวนเรผิดพลาดบ้าง ซึ่งเราก็รู้จักกันดีในนามของ Virus ต่าง ๆ นั่นละครับ พอมันสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นแล้วเราทำอย่างไรครับ ก็หา AntiVirus บ้าง FireWall บ้างมาทำหน้าที่ คอยจ้องดูมันไว้ แล้วก็กำจัดมันทิ้งไป ปัญหามันก็อาจเกิดคือ บางทีฆ่าได้บ้างไม่ได้บ้าง มันก็แล้วแต่ความสามารถล่ะครับ แต่ทีนี้กระบวนการทางจิตนั้นเหนือกว่ามากครับ เมื่อเราทำการให้สติคุ้นชินกับการดูจิตได้ มันจะทำหน้าที่เหมือน Include ตัว AntiVirus เข้าไปถึง บาทฐานของสติกันเลยทีเดียว(หรือคงอาจจะเปรียบได้กับ Service Pack ของจิต)

               พอจะให้ภาพคร่าว ๆ นะครับ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้ว Software กับ จิตมนุษย์ยังห่างชั้นกันอีกมากนัก และสิ่งที่น่าใจหายมากที่สุดเลยครับ ผมอยากให้นัก IT ลองสังเกตว่า ภาพและเสียงหรือการรับรู้ของระบบคอมพิวเตอร์นั้นสุดท้ายแล้วมันหามีตัวตนไม่ เสียงที่ได้ยินหรือภาพที่เราเห็นนั้นมันก็เกิดจาก กระแสของ 0 กับ 1 ที่สลับกันทำงานเท่านั้น ซับซ้อนเข้า ซับซ้อนเข้า จนดูเหมือนมันมีอยู่จริง ทำหน้าที่ได้สารพัดทั้ง Multimedia, Utility, Database, Business Application จนเราหลงและคิดว่ามันมีตัวตนจริง ตรงนี้ฟังยากมาก ๆ จะเข้าใจได้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าจะลองคิดช้า ๆ ก็คงจะพอเข้าใจ เปรียบง่าย ๆ อย่างนี้ครับ ถ้าสติของเราเป็น Software ที่สามารถเรียนรู้พฤติกรรมของ Virus ได้นั้น เราต้องปล่อยให้ไวรัสมันสำแดงเดชอย่างเต็มที่ครับ หรือไม่ก็ต้องสอน OS(สติ) ตัวนี้ให้รู้ถึงพฤติกรรมของมัน ไม่ใช่กดข่มหรือปิดบังไม่ให้รู้จัก เพราะหากมันส่งผลแต่สติไม่รู้ว่ามันเป็นไวรัสแล้วสติอาจจะพังไม่เป็นท่าติดเชื้อชั่วเรื้อรัง หาดี ไม่ได้ถึงกับสิ้นคน หาช่างมือดีได้(ผู้ให้การอบรมณ์ทางจิต) ก็ลง OS กันใหม่ หามือดีไม่ได้ก็คงต้องยอมใช้สติที่ติดเชื้อชั่วไปจน Hardware พังกันเลยทีเดียว

               แต่จะเอาเข้าจริง ๆ แล้ว สติมันก้ไม่มีจริงครับไว้ต่อกับรอบหน้า เพราะต้องไล่กับยาว คือถ้าผมบอกว่าจิตไม่มีจริง สติไม่มีจริง มันจะสุ่มเสี่ยงต่อมิจฉาทิฐิว่าตายแล้วสูญครับ…

หมายเลขบันทึก: 320123เขียนเมื่อ 13 ธันวาคม 2009 22:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 สิงหาคม 2013 17:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ยามดึกค่ะ

สวัสดีค่ะ

ขอบคุณค่ะที่แวะไปเยี่ยมกัน

ชอบการเปรียบเทียบกระแสของ 0 1 ที่ทำให้เกิดภาพ ทั้งๆที่ไม่มีอยู่จริงจังค่ะ เปรียบเทียบจนเห็นภาพเลย

 

ดิฉันเชื่อว่า ผู้ปฏิบัติธรรมมักดูจิตกันอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี หากไม่มีการฝึกอานาปานสติควบคู่กันไป เราอาจจะจับเวทนาละเอียดๆไม่ค่อยได้ จึงอาจไม่รู้ว่ายังมีบางขณะที่เกิดตัวกูของกูขึ้นมานอกเหนือจากขณะที่เราจับได้ บางครั้งเราก็หลงค่ะ คิดว่าว่าเราดูจนรู้หมดทุกขณะแล้ว

และเมื่อจับเวทนาได้แล้ว หากแค่เห็นว่ามีการเกิดดับของเวทนา แต่ไม่มีการพิจารณาสืบสาวถึงต้นเค้า ผลที่เกิดต่อไปหากจัดการด้วยปัญญา และผลที่เกิดต่อไปหากจัดการด้วยความหลง แม้ว่าเวทนานั้นๆจะได้รับการปราม แต่ก็ยังประกอบกับจิตอยู่ โอกาสที่จะปลดเปลื้องไปจะน้อยกว่าการปลดเปลื้องด้วยการปฏิบัติฐานจิตในการปฏิบัติอานาปานสติค่ะ ซึ่งจุดนี้ได้ข้อสังเกตุจากน้องที่ปฏิบัติจากการดูจิตอย่างเดียว แต่ไม่ได้อบรมจิตต่อ จึงเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ จนบางช่วงเค้าเกือบท้อที่ดูจิตอยู่ตลอดแต่ทำไมยังโกรธกับเรื่องเดิมๆได้อีก

และในบางขณะ ควรค้นหาเวทนาภายใน ภายนอก ในอดีตขึ้นมาพิจารณาด้วย หากเฝ้าดูจิตเพื่อให้จิตแจ่มใสอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ใช้ธัมมวิจัย อาจใช้สติหมดไปกับการนี้จนไม่เปิดโอกาสให้ได้ใช้สติเพื่อการพัฒนาปัญญาอันตัดกิเลสต่อไป

การดูจิตนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อปิดกั้นโอกาสที่จะเกิดกิเลสเพิ่ม แต่ก็มีเรื่องต้องระวังดังที่เสนอความเห็นมานี้

นี่เป็นข้อสังเกตุที่ได้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง และจากการสังเกตุผู้ใกล้ชิด หากผิดพลาดอย่างไร กรุณาชี้แจงด้วยนะคะ

(ดิฉันเชื่อว่าพระคุณเจ้าที่สอนให้ดูจิตนั้น ท่านสอนเรื่องการปฏิบัติอานาปานสติด้วย แต่ผู้ปฏิบัติในยุคหลังๆอาจไม่ได้นำอานาปามาประกอบกัน จึงเหลือเพียงเฝ้าดูจิตเพียงอย่างเดียวค่ะ)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท