เรื่มอาชีพทนาย


ได้เงินเพราะคำว่า "ผู้มีชื่อ"

ก่อนผมจะมาเป็นทนายความ ผมเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์มาก่อน ห้ามถามนะว่าเป็นได้ไง(บังเอิญจบสายอาชีพจากช่างกลสยาม ก่อนจะจบปริญญาตรีกฎหมายจากม.รามฯ)    คือเมื่อปี พ.ศ.2518 ขณะที่ผมทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์อยู่ที่บริษัทหนึ่งแถวๆ ถนนวิภาวดี มีทนายความท่านหนึ่งเดินเข้ามาในบริษัท พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ติดตามอีกหลายท่าน เมื่อมาถึงท่านทนายความได้ถามผมว่า ผู้จัดการอยู่หรือไม่ขอเชิญมาพบหน่อย เมื่อผมพาไปพบท่านผู้จัดการแล้วเห็นท่านทนายความส่งเอกสารบางอย่างให้ดู หลังจากนั้นเห็นท่านผู้จัดการถูกเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมตัวตามที่ท่านทนายความสั่งและได้มีผู้ติดตามท่านทนายความเข้าไปขนย้ายเครื่องยนต์ที่ผมกำลังซ่อมแซมอยู่ขึ้นรถบรรทุกไปด้วย ขณะที่ยืนมองอยู่ผมเห็นทุกท่านที่มาด้วยต้องทำตามคำสั่งของท่านทนายความก็มีความรู้สึกว่ามันเท่ห์น่าดู 

คืนนั้นกลับบ้านนอนคิดว่าเราก็น่าจะเป็นทนายความได้คนอื่นเป็นได้เราก็ต้องเป็นได้ วันรุ่งขึ้นผมลาออกจากบริษัทเลย ตอนยื่นใบลาออกให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลท่านถามผมว่าได้งานใหม่หรือ ผมตอบว่าเปล่าครับจะไปเป็นทนายความ ท่านถามต่อว่าจบกฎหมายมาด้วยหรือ ผมตอบท่านว่ายังไม่ได้เรียนครับ....ท่านไม่พูดอะไรเลยแล้วเซ็นชื่อพร้อมประทับตราว่า อนุมัติ....ฮา.......

สามปีต่อมาผมเดินเข้าไปที่ สำนักงาน ศรีรัตน์ จันจรัส ทนายความ ขอฝึกทนายกับคุณอาศรีรัตน์ เจ้าของสำนักงาน (ท่านเป็นเพื่อนกับคุณพ่อผม) ท่านถามว่าจบหรือยัง ผมเลยเอาหลักฐานการศึกษาระดับอนุปริญญาให้ท่านดู ท่านบอกว่าให้ไปเรียนให้จบปริญญาตรีเสีกก่อนไม่ดีกว่าหรือ ผมบอกท่านว่าอยากเป็นทนายความเร็วๆครับ ขอฝึกทนายไปเรียนไปครับ ท่านเลยบอกว่าที่นี้ทำงานตั้งแต่ 07.30 ถึง 18.00 วันเสาร์ ทำครึ่งวันนะ เริ่มวันนี้เลย

แล้วงานแรกที่ท่านมอบให้คือทำหนังสือบอกเลิกสัญญา หลังจากผมใช้เวลาร่างหนังสืออยู่ 3 ชั่วโมง ก็นำไปให้ท่าน ปรากฎว่าท่านดูไม่ถึง 2 นาที แล้วฉีกทิ้ง....ฮา.... (ดีนะที่หัวหน้าฝ่ายบุคคลไม่รู้ถ้ารู้คงส่งรถมารับไปเป็นช่างซ่อมเครื่องต่อแน่...ฮิ.ฮิ...) ท่านบอกให้นั่งรอเดี๋ยว แล้วนั่งเขียนหนังสืออยู่ประมาณ 5 นาที แล้วส่งหนังสือที่เขียนให้บอกเอาไปพิมพ์ ผมอ่านแล้วนึกในใจว่ามันก็เป็นหนังสือบอกเลิกสัญญาเหมือนกันน่าจะใช้ของผมเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าของผมไม่ต้องฟ้องคู่สัญญาอ่านแล้วต้องรีบเอาเงินมาจ่ายแน่ๆ....ฮา....(เรื่องนานมาแล้วช่างเถอะนะ)

ห้าเดือนต่อมาหนังสือฉบับแรกก็ได้เซ็นชื่อโดยผมเองและลงท้ายว่า ทนายความผู้รับมอบอำนาจ  (ฮิ.ฮิ...ยังเชื่อโดยสุจริตว่า) ระยะเวลา สี่ เดือนกว่าๆ ผมนั่งร่างหนังสือบอกกล่าวต่างๆไปมากกว่า ห้าสิบ หกสิบ ฉบับ ยังงัยของผมน่าจะใช้ได้ดีกว่า อาศรีรัตน์ คงกลัวเสียเหลี่ยมที่ต้องใช้หนังสือของผมจึงต้องฉีกทิ้งทุกครั้ง...ฮา..... 

หลังจากที่อาศรีรัตน์ฝึกสอนให้ผมเขียนหนังสือบอกกล่าวแบบต่างๆจนเป็นที่พอใจแล้วท่านก็ให้ผมร่างคำฟ้องให้ท่าน ไม่อยากจะเชื่อว่าคำฟ้องที่ผมร่างเป็นฉบับแรกในชาตินี้ท่านตรวจแล้วไม่แก้ไขไม่ฉีกทิ้งบอกเพียงว่ารีบพิมพ์ให้เสร็จวันนี้แล้วพรุ่งนี้ไปยื่นฟ้องเสียแต่เช้า พร้อมส่งซองเงินจำนวน 150,000.-บาทให้ บอกผมว่าค่าธรรมเนียมประมาณ 130,000.-บาท ที่เหลือเป็นค่าทนายคดีนี้ ค่าใช้จ่ายอื่นถ้ามีก็ให้เบิกตามจริง คิดดูประมาณปี 2522 ผมได้ค่าทนายความคดีแรกประมาณ สองหมื่น ถ้ายังเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์อยู่ ผมต้องใช้เวลา สองเดือนเศษถึงจะได้ค่าจ้าง สองหมื่น ไม่เท่ห์คราวนี้แล้วจะเท่ห์เมื่อไหร่...ฮิ.ฮิ..

เหตุเพราะเงินจำนวน สองหมื่นที่เป็นค่าทนายความคดีแรก ทำให้ผมไม่สนใจจะเรียนต่อให้จบปริญญาตรี คงใช้ตั๋วทนายชั้นสองต่อไปร่วม หกปี แต่ก็ถูกอาศรีรัตน์ถามทุกปีว่าจบปริญญาตรีหรือยัง 

ผมกว่าจะจบปริญญาตรีใช้เวลา ถึง เจ็ด ปี...ฮิ.ฮิ..ความรู้แน่นขนาดไหนคิดดู (เพื่อนๆผมที่เรียนมาด้วยกันต่างได้รับปริญญาตรีกันไปก่อนทุกคนแล้ว) แต่ตอนผมรับปริญญาตรีดันนึกในใจว่าเพื่อนในรุ่นคงยังไม่มีใครได้รับปริญญาตรีเหมือนผม...ฮา....) ช่วงหกปีมันมีเหตุให้ผมไม่สนใจจะเรียนต่อให้ได้ปริญญาตรี เพราะคดีที่สองที่ผมรับเป็นทนายความ ผมได้รับค่าทนายความส่วนแรก 187,500.-บาท จากคดีฟ้องขับไล่ในฐานะทนายจำเลย....ยิ่งเทห์มากขึ้นอีก....ฮา....

เรื่องมีอยู่ว่า ตอนผมจบสายอาชีพช่างยนต์ใหม่ๆ ผมเช่าบ้านอยู่แถวถนนสุทธิสาร ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่สร้างขึ้นมาเพื่อไว้ให้เช่าโดยเฉพาะเป็นลักษณะบ้านแฝดมีจำนวน 76 หลังคาเรือน บ้านทุกหลังอยู่กันแบบพี่น้องเพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆมีทางเข้าออกทางเดียวจึงรู้จักกันหมดใครทำอะไรประกอบอาชีพอะไรทราบกันหมด ผมจบช่างเครื่องยนต์มา หากบ้านหลังไหนมีปัญหาเรื่องรถยนต์ก็จะเรียกใช้บริการผม เพราะไม่ต้องเสียเงิน (เสียแต่ค่าอาหารบวกของเมานิดหนึ่ง..ฮิ.ฮิ..) อยู่ๆมาหลายปีหมู่บ้านที่เช่าอยู่ถูกขายให้นักจัดสรรที่ดินรายหนึ่ง บ้านทุกหลังจึงได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายความท่านหนึ่ง ในหนังสือนั้นมีข้อความหนึ่งที่ถูกผู้รู้ท่านหนึ่งที่เช่าบ้านในหมู่บ้านด้วยกันตะโกนบอกกับทุกบ้านว่าอย่ายอมมันง่ายๆ พวกเราเช่าบ้านมาหลายปีน่าจะมาบอกกันดีๆก็ได้ไอ้คนทึ่มาซื้อมันจะมีชื่อมาจากไหน (เมื่อทุกคนได้รับหนังสือต่างมารวมตัวกันที่หน้าบ้านผมเพราะทราบว่าผมเป็นทนายแล้วไม่ใช้ช่างซ่อมเครื่องยนต์อย่างแต่ก่อนและในหมู่บ้านมีผมคนเดียวที่เป็นทนาย) ไม่น่าเชื่อว่าผมได้เงินเพราะคำว่า "ผู้มีชื่อ" เพียงคำเดียวจริงๆ ใจความในหนังสือมีว่า "ขณะนี้นาย ส.... ได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายบรรดามีให้กับ ผู้มีชื่อ แล้ว และผู้มีชื่อ ไม่ประสงค์จะให้ท่านเช่าบ้านด้งกล่าวอีกต่อไป ...." คำว่าผู้มีชื่อในภาษาของนักกฎหมาย กับในภาษาของผู้รู้ท่านนั้นต่างกันครับ (ผมมาทราบภายหลังว่าท่านเข้าใจเอาว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจและมีชื่อเสียง) ในภาษาของนักกฎหมายนั้นหมายถึงบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เรานักกฎหมายมักจะใช้คำที่ทำให้อ่านแล้วมันมีความหมายเป็นนัยที่ต้องแปลความอีกต่อหนึ่งอาจเพราะต้องการใช้คำเท่ห์ๆก็เป็นได้..ฮิ.ฮื..   

ขอกลับมาเรื่องเดิมนะ คือผู้รู้ท่านนี้นำชาวบ้านทุกคนมาหาผมบอกว่าเรื่องนี้ถ้าเราจะไม่ยอมย้ายออกจะทำได้หรือไม่  ผมชี้แจงไปว่า มันเป็นทรัพย์สินของเขาเมื่อเขาไม่ให้เราเช่าต่อไปเราก็ต้องขนย้ายออกไป ถึงแม้จะต่อสู้คดีอย่างไรที่สุดแล้วก็ต้องขนย้ายออกไปอยู่ดี ทุกท่านบอกว่าใช้ถูกต้องแต่ไม่ต้องการยินยอมง่ายๆ กลับถามผมว่าเป็นทนายให้ได้หรือไม่ทำอย่างไรก็ได้ขออยู่ต่ออีก 1 ถึง 2 ปี จะคิดค่าทนายอย่างไร ผมก็เลยบอกว่าเราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง ถ้าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกันถ้าจะไปก็ไปพร้อมกันมีอะไรก็รับด้วยกันผมไม่รู้จะคิดค่าทนายอย่างไร ขอแค่ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นตามความเป็นจริงก็พอ หลังจากนั้นทุกบ้านก็ประชุมตกลงกันว่าจะให้ค่าทนายผมหลังละ 5,000.-บาท จ่ายให้ก่อนหลังละ 2,500.-บาท ทั้งหมด 75 หลังผมได้รับเงินหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันถัดมา ผมทำคดีนี้ 76 สำนวน อาศรีรัตน์ไม่เอาจากผมแม้แต่บาทเดียว แต่กลับแนะนำสั่งสอนวิธีการต่างๆให้ผม จนต่อสู้คดีมาถึง หนึ่งปีเจ็ดเดือนทุกคดียังไม่มีการสืบพยานแม้แต่ปากเดียว

ภายหลัง ผู้ซื้อขอนัดเจรจา ผมจึงนัดจำเลยทุกคนพร้อมกันและตกลงรับค่าใช้จ่ายในการขนย้าย หลังละ 35,000.-บาท

ในระหว่างเจรจา ท่านผู้รู้ถามขึ้นในที่ประชุมว่า ทำไมครั้งแรกไม่ยอมเจรจากันดีๆ ต้องให้ทนายมาอ้างว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจและมีชื่อเสียง  พวกเราถึงไม่ยอมเพราะไม่ยากให้ใครมาข่มขู่พวกเรา มีการสอบถามกันพอสมควรจนผู้รู้ท่านนี้ยกเอาหนังสือบอกกล่าวขึ้นมาเป็นหลักฐานว่าได้รับหนังสือข่มขู่ว่าท่านเป็นผู้มีชื่อจริงๆ ผมพอทราบเช่นนั้นก็เลยต้องตัดบทในการเจรจาว่าในเมื่อเรื่องมันผ่านเวลานั้นมาแล้วตอนนี้ทางโจทก์เขาขอเจรจากับพวกเราก็ไม่ต้องยกเอาเหตุอื่นมาโต้แย้งให้บรรยากาศเสียไป ขอให้พวกเราตัดสินใจว่าจะต่อสู้คดีต่อไปหรือจะขอจบเพียงนี้และจะขอค่าใช้จ่ายในการขนย้ายคนละเท่าไร โจทก์เสนอแล้วว่ายินดีช่วยเหลือค่าขนย้ายตามสมควร เรื่องถึงจบลงด้วยดีต่างรับค่าขนย้ายไปคนละ 35,000.-บาท ค่าเช่าบ้านที่อยู่กันมาอีก 1 ปีเจ็ดเดือนก็ไม่ต้องจ่าย หลังจากนั้นผมก็ได้รับค่าทนายความส่วนที่เหลือ

ตอนงานเลี้ยงอำลากัน ผมจึงได้มีโอกาสแปลภาษาไทยเป็นไทยให้ท่านผู้รู้ทราบ คำว่า "ผู้มีชื่อ" หมายความว่าอย่างไร ท่านผู้รู้กลับบอกผมว่าไม่ดีหรือที่แปลผิดทำให้คุณทนายได้เงินไปหลายแสนนะ ผมละงงยังไม่หายจนปัจจุบัน ว่าท่านแปลถูกหรือแปลผิด....ฮา....

คราวหน้าจะเล่าเรื่องจำเลยสอนมวยทนาย

หมายเลขบันทึก: 316423เขียนเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2009 01:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 00:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (36)

ผมได้ความรู้จากบทความของท่านเยอะครับ จะนำไปปรับใช้ในชีวิประจำวัน ขอบคุณครับ

ขอพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความครับ และขอขอบพระคุณ ท่าน chalong....ที่ให้กำลังใจเป็นท่านแรกครับ ผมจะพยายามเขียนบทความที่พอจะยังประโยชน์ต่อสังคมต่อไปครับ

...หนูเพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการนี้ (เหมือนดาราเลย...แฮ่ๆ)4 เดือนเอง ก็ยังงูๆปลาๆ อยู่เลยค่ะ..กว่าท่านจะได้ดีจนบัดนี้ท่านคงอดทนน่า

ดูเลยนะค่ะ....บางคนเรียนไม่เก่งเกรดไม่สูง แต่เรียนรู้เร็ว/บางคนจบเร็วแต่เรียนรู้ช้า ใช้ความรู้ไม่เป็น ไม่เคยทำ ก็ไม่มั่นใจในสิ่งที่คนอื่นถาม (มันน่าตีก้นจริงๆเลย)....เป็นทนายเนี่ยเครียดเหมือนกันนะค่ะ....ยิ่งใหม่ๆเนี่ย...ถอนหายใจบ่อย...ยังไงก็ขอสู้จนขาดใจ...จนกว่าจะค้นพบว่าตัวเองเหมาะกับอาชีพนี้หรือเปล่า.....และขอบคุณท่านที่ลงข้อมูลไว้นะคะ..ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรงค่ะ....

ยินดีตอนรับเข้าวงการครับ (ดาราจริงๆด้วย....ฮิ.ฮิ) แต่ขอให้ข้อคิดนะว่าหากไปทางสาย ตุลาการ หรือสายอัยการ ก็ดีนะดู ท่านอัยการชาวเกาะ เป็นแบบ หากรักจะมาทางสายนี้จริงๆต้องทำงานหนักหน่อย เพราะการสืบหาข้อเท็จจริงต่างๆต้องหาเอาเองไม่มีพนักงานสอบสวนจัดหาให้ครับ และอีกอย่าง อย่าตัดสินใครว่าผิดหรือถูก เพราะท่านไม่ได้เป็นผูพิพากษา ลูกความของท่านมาหาท่านเพราะเขามองท่านเป็นพระเจ้าสามารถช่วยเขาได้ ท่านต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ ชี้แจงให้เขาเข้าใจและยอมรับในผลของคดีที่อาจเกิดขึ้นในทางใดทางหนึ่งตรงนี้แหละยากสำหรับสายอาชีพนี้ ผมถึงมีคติกฎหมายว่า " ยุติธรรมคือศาสตร " สุดท้ายขอขอบพระคุณครับที่สนใจบทความของผม

มาอ่านเอาความรู้ และขอผูกมิตรกับพี่ทนายครับ หวังว่าสักวันคงมีโอกาสได้ขอคำแนะนำปรึกษาครับ

ยินดีอย่างยิ่งครับที่มีมิตรอย่างท่าน nobita ถ้าไม่ได้รับความกรุณาจากท่านไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเห็นดอกโบตั๋นหรือไม่ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ ผมชอบถ่ายภาพดอกไม้มากโดยเฉพาะแนวมาโครครับ เอาไว้มีเวลาจะส่งไปให้ดู

เข้ามาตรวจบันทึกเก่า เลยเห็นว่า สาวเหนือคนงาม(น้าอึ่งอ๊อบ คนสวย) เข้ามาแวะชมให้กำลังใจ ขอบพระคุณครับ

  • ชีวิตที่มีประสบการณ์น่าสนใจมาก!!!

ยินดีครับ ท่าน ดร.จรูญ ที่แวะเยี่ยม ผมตั้งใจจะแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งอาจยังประโยชน์ต่อสังคมบ้างเท่านั้นครับ

ขอขอบพระคุณที่ให้กำลังใจครับ

สวัสดีค่ะ ท่านทนาย

ป้าเหมียวแวะมาอ่าน ภาษากฎหมายค่ะ ผู้มีชื่อ ...ป้าเหมียวก็มีชื่อนะค่ะ...

ขอบพระคุณครับป้าเหมียว ที่แวะมา

ขอคุณพระคุ้มครองให้สวยวันสวยคืน และไม่ต้องใช้บริการทนายความตลอดไปนะครับ แฮ...

สวัสดีค่ะ คุณฝนแปดแดดสี่

  • เข้ามาหาความรู้  โดยเฉพาะภาษากฎหมายค่ะ และประสบการณ์ที่ทุกคนน่าจะได้รู้
  • สงสัยจังเลยค่ะ  ฝนแปดแดดสี่ หมายถึงจังหวัดไหนค่ะ

     คุ้นหูจังเลยค่ะ 

สวัสดีครับ คุณครูปริมปราง ที่แวะมาอ่านบันทึก

ผมพยายามจะใช้ภาษาง่ายๆ ที่อ่านแล้วไม่เบื่อ

เพื่อจูงใจให้ผู้อ่านได้รับความรู้ด้านกฎหมายไปเท่าที่ สติปัญญาของผมจะทำได้ครับ

ถามมาก็ตอบไปครับ

ฝนแปดแดดสี่ หมายถึง จังหวัดพังงา ครับ

ที่มา คือ จังหวัดผมจะมีฝนตก แปด เดือน มีแดดให้เห็นเพียง สี่ เดือน ครับ

ความจริง จังหวัดระนอง กับ จังหวัดภูเก็ต ฝนก็ตกชุกใกล้เคียงกับ จังหวัดพังงา

คือประมาณ หกถึงเจ็ดเดือน แต่ก็มีบางปี ที่ทิศทางของกระแสน้ำอุ่นในทะเลเปลี่ยนแนวมาใกล้ชายฝังก็มีฝนตกถึงแปดเดือนเช่นกัน

เป็นทนายก็เท่ดีค่ะ แต่จริงๆ อยากเรียนกฏหมายมานานแล้ว ตอนนี้ปีปริญญาตรีบริหารธุรกิจอยู่ จะไปเรียนนิติที่รามฯ ด้วยการโอนหน่วย จากนั้นก็ไปเส้นทางทนาย ไม่รู้จะเป็นไปได้ไหมคะ ตอนนี้อายุ 35 แล้ว เคยทำงานบริษัทเอกชน ตอนนี้เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกเล็กค่ะ ใครพอจะมีข้อแนะนำบ้างคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

Am แม่มินนี่

สวัสดีปีใหม่ครับ คุณ Am

ขอขอบพระคุณที่แวะมาครับ

ยินดีตอนรับเข้าเส้นทางนักกฎหมายครับ

ขอเสนอแนะว่า เมื่อคิดจะเรียนกฎหมายแล้วหากจมมาครวไปเรียนต่อเนติ์

แล้วเดินไปตามเส้นทาง อัยการ หรือ หรือผู้พิพากษา จะดีกว่านะ

หลานผมก็ได้ปริญญาตรีสาขาอื่นมาก่อน แล้วไปเรียนต่อนิติรามฯ สองปีครึ่งก็จบแล้วครับ ได้เนติ์แล้วด้วย

ตอนนี้อายุ 35 ได้เนติ์ ตอนอายุ 40 ไปเป็นผู้พิพากษา หรืออัยการก็ไม่สายครับ

ส่วนวิธีการเรียนกฎหมายให้ได้ดีนั้นมีหลายวิธีการลองศึกษาดูจากนักกฎหมายหลายๆท่านว่าวิธีใดเหมาะกับท่านครับ

แต่ที่รู้ๆคือมักจะอ่านกันชนิดไม่หลับไม่นอน สามวันสามคืนก่อนสอบครับ นอกนั้นเที่ยวอย่างเดียวครับ ฮา....(ไม่รู้จบได้ไง)

  • คุณมีเหตุจุดประกายที่ทำให้อยากเป็นทนายความ
  • ดิฉันก็เช่นเดียวกันค่ะ มีคุณครูดีน่ารักเป็นแบบอย่าง เลยคิดอยากเป็นตามท่าน
  • ขอบพระคุณทุกบันทึกที่คุณกรุณาแชร์ประสบการณ์ (ได้ยาวและละเอียดจริงๆ)ที่ยอมรับว่าหลายเรื่องไม่มีความรู้เลย
  • ขอบพระคุณอีกครั้งในความตั้งใจถ่ายทอดเรื่องราวนะคะ

สวัสดีครับคุณครูมนัสนันท์

ผมขออนุญาตเรียกคุณครูนะครับ

แม้ผมจะไม่เคยเรียนหนังสือจากคุณครู แต่สำหรับผม ครูก็คือครู ครับ

ผมเชื่อว่าบันทึกของคุณครูที่ผมจะไปติดตามอ่านก็ต้องมีส่วนที่จะสอนผม

อันที่จริงแล้วผมไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเมื่อยึดอาชีพทนายความแล้ว

ผมจะสามารถเดินมาจนถึงวันนี้ แต่การที่ผมหันมาทางนี้ก็สามารถทำให้

น้องชาย น้องสาวและหลานชาย หันมายึดอาชีพนี้ทั้งหมด

ต่างเป็นลูกพ่อขุนฯทุกคน จึงมีพิมพ์ที่เหมือนๆกันต่างกันเพียงรุ่นเท่านั้น

เราคุยกันว่า เราต่างผ่านฝนมาขนานนี้

เรากินเกลือมากกว่าเยาวชนรุ่นหลังที่กินข้าว

หากเราจะทำอะไรที่จะยังประโยชน์ต่อแผ่นดินนี้

โดยไม่ทำให้ใครเสียหายเราจะทำ

ขอขอบพระคุณที่คุณครูแวะมาให้กำลังใจครับ 

สวัสดีค่ะ

  • มาทักทาย ท่านทนายที่น่ารักค่ะ
  • มีประสบการณ์สูงแบบนี้...โลด และ โรจน์ค่ะ
  • เป็นกำลังใจให้กันนะคะ

สวัสดีครับคุณครูอ้อยคนงาม

ตื่นเช้าหรือยังไม่นอนครับ

ขอให้คุณแม่หายป่วยไวๆนะครับ ผมขอพรจากพระให้แล้วครับ

ขอขอบพระคุณในกำลังใจที่มอบให้ครับ

ได้ความรู้ดีครับ ผมชอบวิธีการเขียนของพี่นะครับ จะเข้ามาอ่านบ่อย ๆ ตอนนี้กำลังหลงไหลในวิชากฎหมาย (ถึงจะเพิ่งเริ่มเรียน... 55+ ก็มาคิดได้ตอนอายุ 25 ว่าตัวเองอยากทำงานด้านกฎหมายช้าไปใหมเนี่ย) ก็เรียนคอมฯ มาทำงานก็ทำงานคอมฯ มาคิดได้ปีก่อนไปสมัครเรียนนิติฯที่ ม.รามฯ แล้วพอไปสอบดูก็ได้รู้ว่า ตัวเองนั้นชอบทางนี้ก็มากอยู่ เลยตั้งใจจะเอาให้จบจะได้มาทำงานด้านนี้มั่ง ...เดี่ยวแวะมาใหม่ครับ

สวัสดีครับคุณวันชัย

ยินดีที่ได้รู้จักครับ และยินดียิ่งที่เราต่างเป็นศิษย์พ่อขุน เออ.ใช้คำว่าลูกพ่อขุนดีกว่านะ ไม่งันฟังเหมือนค่ายมวยมากไป อิ.อิ.

ไม่สายครับ การเรียรู้ไม่เคยมีคำว่าสาย ตอนรุ่นผมเห็นมีคุณยายท่านหนึ่ง น่าจะหกสิบแล้วครับ ไปเข้าห้องสอบ วิ.อาญา

ผมตอนเรียนก็ใช้เวลาในการเล่นเป็นเรียน เวลาเรียนเป็นเล่น แต่ก็จนมาได้งัยยัง งง..งง..อยู่

ผมได้แนะนำวิธีการอ่านกฎหมายของผมไว้ในการตอบความเห็นใน บล็อกของผมนี้แหละลองหาอ่านดู อาจยังประโยชน์บ้าง

ขอบคุณนะครับที่แวะมาอ่าน

ออ..มีอีกหน่อยที่จะแนะนำ

พยายามคุยกับเพื่อนนักกฎหมายด้วยกันบ่อยๆ

ให้ยกเอาตุ๊กตา เรื่องต่างที่ทุกคนรู้ เช่นขุนช้าง ขุนแผน ขึ้นมาถามเพื่อนดู

อาจจะถามว่า กรณีนางวันทอง ถ้าจดทะเบียนกับขุนแผน จะฟ้องหย่าได้หรือไม่ เป็นต้น

ลองนำไปใช้ดูครับ ได้ข้อคิดและทำให้เข้าใจวิชาที่เราเรียนมากยิ่งขึ้น แถมมีฮา..ระเบิด

สวัสดีคะ พี่ทนายความ ดิฉันก็เรียนจบกฎหมายรามคำแหงเหมือนกันคะ

ตอนนี้เพิ่งจบเนติ และได้ใบอนุญาตว่าความแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มฝึกทนายอย่างจริงจังคะ

คือว่าใช้วิธีลัดฝึกแบบฝากชื่อในสำนักงาน แล้วอ่านหนังสือไปสอบจนผ่าน

ตอนนี้ลังเลมากเลยคะว่าจะไปทางนิติกรหรือทนายความดี แต่ใจจริงดิฉันอยากลองอาชีพทนาย

แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง กลัวมากเลยคะ มีแต่คนบอกว่างานหนัก และช่วงแรกๆแทบจะเลี้ยงตัวเองไม่ได้

พี่ทนายช่วยให้คำแนะนำหน่อยคะ ดิฉันไม่ค่อยมีประสบการณ์งานเท่าไหร่คะ เพราะเรียนอย่างเดียว

ขอบคุณสำหรับบทความนะคะ ทำให้ดิฉันฮึดอยากจะทำงานทนายความอย่างจริงจังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง@@~

สวัสดีครับคุณนักกฎหมาย 

ขออภัยครับที่เข้ามาตอบช้า เพราะต้องไปดูแลคุณแม่

กว่าผมจะได้มาตอบ ป่านนี้มิตั้งสำนักงานทนายไปแล้วหรือครับ....แฮ..

ขอแนะนำเลยนะครับให้ตั้งเป้าไปเป็นผู้พิพากษาดีกว่าครับ ในความคิดของผมนะ ผู้พิพากษาหญิงจะมีความเมตตาสูงกว่าผู้พิพากษาชาย เวลาจะพิจารณากำหนดโทษ จำเลยจะได้รับการพิจารณาด้วยเมตตาตามสมควร

อีกประการ อาชีพข้าราชการตุลาการ ในอนาคตมีความมั่นคงมากกว่า แต่ก่อนจะไปทางสายอาชีพนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะลงมาเรียนรู้อาชีพทนายความสักปีสองปี และระหว่างนี้ก็ให้เรียนต่อ ปริญญาโท หรือจะเรียนเอาปริญญาตรีใบที่สองไปด้วยก็ได้นะครับ ที่แนะนำอย่างนี้เพราะจะเป็นผลที่ดีต่ออาชีพตุลาการในภายหน้า

ส่วนอาชีพทนายความที่ว่าต้องทำงานหนักก็เพราะตัวเราต้องออกไปค้นหาสืบค้นและทำหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวนด้วย เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงด้วยตัวเอง แล้วจึงจะรวบรวมเป็นสำนวนฟ้องหรือทำคำให้การต่อสู้คดี และต้องจำไว้ให้ติดอยู่ในจิตสำนึกว่าคู่ความฝ่ายที่ต่อสู้กับเรา ก็คือทนายความ หรืออัยการ ท่านเหล่านี้ต่างเรียนและรู้กฎหมายมากกว่าที่เรารู้ เราจึงจำเป็นต้องสืบหาข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุดหรือถ้าได้ทั้งหมดก็จะดียิ่ง เมื่อได้ข้อเท็จจริงมาแล้วเราต้องนำข้อมูลมาพิจารณา เราจะทราบว่าควรมีแนวทางที่เหมาะที่ควรอย่างไรในการทำหน้าที่ทนายความ   โดยให้ถือเอาความเป็นธรรมและมีคุณธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะเราอยู่ต้นน้ำของความยุติธรรม ศาลท่านอยู่ปลายน้ำของความยุติธรรม  สังคมไทยจะอยู่กันอย่างสงบได้หากเราทำหน้าที่ของเราด้วยความเป็นธรรมและมีคุณธรรมครับ

ขอให้โชคดีในการตัดสินใจเลือกสายอาชีพนะครับ

แวะมาทักทาย..บันทึกแรกค่ะ

มีรอยยิ้มในหัวใจ..ในทุกๆวัน นะคะ

สวัสดีครับคุณครู P @..สายธาร..@ 

ยินดีอย่างยิ่งครับที่คุณครูแวะมาทักทาย

ผมแอบแวะไปฟังเพลงที่โรงเรียนคุณครูบ่อยๆครับครับแต่ไม่ได้แวะทักทายคุณครู แล้วผมจะแวะไปใหม่ครับคุณครู

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ

สวัสดีค่ะทนายรุ่นพี่

ได้อ่านข้อความแล้วชอบในความมุ่งมั่นของพี่

ตอนนี้กำลังเรียนเนติค่ะและได้ใบประกอบวิชาชีพ

ทนายแล้วแต่ยังไม่กล้าขึ้นชกมวยสักที

อยากจะขอคำแนะนำพี่บ้างในการเตรียมขึ้นชก

จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ

สวัสดีครับคุณ น้ำมนต์

ยินดีที่ได้รู้จักครับ และขออภัยด้วยครับที่เข้ามาตอบข้อคิดเห็นล่าช้า

ผมยินดีครับที่จะให้คำชี้แนะกับคุณน้ำมนต์ หากต้องการรับรู้รับทราบเกี่ยวกับการประกอบอาชีพนักกฎหมาย หากสงสัยอะไรส่ง อีเมล สอบถามไปก็ได้ครับ

ขอบคุณครับที่ติดตามอ่านบันทึก

สวัสดีค่ะ ข้อความของท่านหนุนใจข้าพเจ้ามากทีเดียว

อีกหนึ่งเดือนข้าพเจ้าจะครบ สามสิบปี ค้นพบกับตัวเองว่าอยากเอาดีด้านกฎหมาย

ทำงานมาแล้วหลายอย่าง ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ทำไมนะตอนอายุ สิบแปด เรื่อง

กฎหมายถึงไม่เคยอยู่ในหัวเลย...แต่ทำไมตอนนี้ถึงอยากจะมุมานะไปเรียนกฎหมาย

ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะเราผ่านอะไรมาเยอะ ..และนิ่งมากขึ้นก็เลยทำให้คิด

ตัดสินใจอยากจะเรียนกฎหมาย ตอนนี้ลงเรียนรามเทอมแรก เคยมีหน่วยกิตคณะอื่น

เก็บไว้ แต่โอนได้น้อย เพิ่งสอบเทอมแรก ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า แต่เมื่อทำข้อสอบที่ผ่านมา

ก็รู้เลยว่า "ไม่ใช่เล่น ๆ นะ" "ประมาทไม่ได้เลย" หวังว่า อายุขนาดนี้คงไม่สายเกินไปที่

จะเดินไปสู่ฝันข้างหน้าใช่ไหม ข้าพเจ้าซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่านหลายเล่มนอกจาก

ตำราเรียน เช่น เส้นทางสู่ผู้พิพากษา, หรือพวกที่เกี่ยวกับการเรียน เนติฯ ก็เป็น

บทความจากผู้ที่เดินทางประสบความสำเร็จมาก่อน อนาคตไม่ทราบ แต่ ณ เวลานี้ขอทำให้ดีที่สุด

อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะจดจำมาตรากฎหมายได้ทุกอย่างสำหรับวัยข้าพเจ้า แต่ความฝันจะเป็น

น้ำหล่อเลี้ยงหัวใจที่ดีในยามที่ท้อถอยขึ้นมา ขอบคุณนะคะ สำหรับบทความที่นี่

สวัสดีครับคุณ รุ่ง [IP: 118.172.20.75] 

ยินดีที่ได้รู้จักครับ และดีใจมากครับที่บทความในบันทึกของผมสามารถเป็นแรงกระตุ้นให้คุณรุ่งตั้งใจเรียนกฎหมายต่อ อายุไม่ได้เป็นอุปสรรคครับ การเรียนกฎหมายต้องพยายามทำความเข้าใจถึงหลักความเป็นธรรม เพราะกฎหมายจะวางอยู่บนหลักความเป็นธรรม ลองใช้วิธีของผมดูก็ได้ครับก่อนอ่านตำรากฎหมายผมใช้วิธีอ่านประมวลทั้งสี่เล่มครับอ่านทั้งหมดสามจบ

ครั้งที่หนึ่ง

อ่านอย่างเดียวไม่สนใจว่าจะรู้เรื่องหรือไม่จำได้หรือไม่เข้าใจหรือตั้งใจอ่านให้จบอย่างเดียวและเป็นการฝึกอ่านเร็วด้วยครับ

ครั้งที่สอง

อ่านและพยายามจดจำว่ามาตราหลักๆแต่ละเรื่องเริ่มจากมาตราใด เช่นเรื่องเช่าซื้อในป.แพ่ง เริ่มจากมาตรา572 ก็จำไว้แค่นี้เนื้อหาไม่จำ ก้อ่านจนจบอีกรอบ

ครั้งที่สาม

อ่านและเขียนมาตราหลักๆ บางครั้งใช้วิธีท่องจำเอาเฉพาะมาตราหลักติดตัวไว้วันละสองถึงสามมาตราแล้วจะท่องจนจำได้แล้วจดเอามาตราใหม่ จนจบอีกเป้นรอบที่สามมาตราย่อยๆผมไม่ได้ท่องจำเลยแต่ก็อ่านครับ

เมื่ออ่านจบแล้วผมถึงเอาตำรากฎหมายมาอ่าน ที่ทำเช่นนี้เพราะเวลาเราอ่านตำรากฎหมายก็จะมาการอ้างอิงไปถึงกำหมายอื่นหรือมาตราอื่นเสมอทำให้เรานึกได้ว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรส่งผลให้เราเข้าใจได้เร็วขึ้น

กฎหมายต้องเรียนด้วยความเข้าใจครับ การท่องมาตราเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นครับ

ส่วนวิธีตอบข้อสอบกฎหมายไปดูได้ที่นี้ครับคลิกไปอ่านอ่านดู ท่านดร.เมธาแนะนำไว้ได้ดีมากครับ

อดทนนะครับขอเป็นกำลังใจให้ หากมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการเรียนกฎหมายก็ส่งอีเมลมาถามก็ได้ครับ

ขอบคุณครับที่แวะมาทักทาย 

หนูอยากเปนทนายค๊ เเต่ทราบมาว่าจะต้องเก่งภาษาอังกิดเเต่หนูก้อรุเเค่งูๆปลาๆอยากทราบว่าจิงมะค๊

ช่วยตอบหน่อย ขอบคุณล่วงหน้าค๊

 

อยากบอกว่าฮาครับ พี่ทนาย โฮ กว่าจะมาเป็นได้น่ะลำบากและประสบการณ์เยอะมากๆ เลย จะเอาไปปรับใช้ในการเรียนน่ะครับ ขอบคุณมากครับ

เด็กปีหนึ่ง

สวัสดีครับ นายหัว..ทนาย หายหน้าไปนานคิดถึงระโห๊ะเลย

โห่พี่สุดยอดอ่ะ........ทำได้ไงอ่ะ

หนูก็อยากเป็นเหมือนกันอ่ะค่ะ....แต่ว่าตอนนี้หนูยังอยู่,,....ม.4 อยู่เล่ยอ่ะค่ะ ก็เลยยังไม่รู้ว่าต้องเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้างอ่ะค่ะ

แต่หนูอยากเป็นมากเลยนะค่ะ

ที่ขอนแก่นพอจะรู้ไหมครับ  สำนักงานไหนรับอบรมทนายภาคปฎิบัติ

สวัสดีค่ะ กำลังจะสมัครเรียนนิติศาสตร์ ตอนอายุ41ปีค่ะ ปัจจุบันเป็นนักประมูลทรัพย์ในบังคับคดี  คุณทนายเป็นไอดอลมากเลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท