รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Backward Design
1. หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Backward Design มี Grant Wiggins และ Jay Mc Tighe เป็นผู้เผยแพร่ขึ้นในปี ค.ศ. 1998 โดยให้ความสำคัญกับเป้าหมายการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ โดยกำหนดหลักฐานการแสดงออกของผู้เรียนที่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ แล้วจึงออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและหลักฐานที่กำหนดไว้
2. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถและได้แสดงความรู้ ความสามารถนั้นตามหลักฐานการแสดงออกและกิจกรรมการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่กำหนดไว้
2. เพื่อให้ผู้สอนจัดการเรียนการสอนอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีความสอดคล้องระหว่างกิจกรรมการเรียนการสอนและเป้าหมายที่ต้องการ
3. ขั้นตอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้
3.1 กำหนดความรู้ความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Identify desired results) โดยพิจารณาว่าในหน่วยการเรียนรู้นั้น ๆ ผู้เรียนควรรู้อะไร มีความเข้าใจในเรื่องใด และทำอะไรได้บ้าง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คงทน (Enduring understandings) ติดตัวผู้เรียนเป็นเวลานาน โดยจัดลำดับเนื้อหาให้เป็นไปตามลำดับตั้งแต่
1. ความรู้ที่ต้องการให้นักเรียนอ่าน ศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในหน่วยการเรียนรู้นั้นเพิ่มขึ้น
2. ความรู้ หลักการและทักษะที่สำคัญในหน่วยการเรียนรู้นั้น เพื่อให้มีความรู้ความสามารถตามที่กำหนดไว้
3. ความคิดหลักหรือหลักการสำคัญที่ต้องการให้เป็นความรู้ที่คงทน (Enduring understanding) ซึ่งมีหลักในการพิจารณาดังต่อไปนี้
- เป็นประเด็นหลักที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
- เป็นความรู้/กระบวนการ ที่เป็นส่วนสำคัญของหน่วย ซึ่งผู้เรียนได้ค้นพบด้วยตนเองโดยผ่านกิจกรรมที่ผู้สอนจัดให้อย่างเป็นกระบวนการ
- เป็นความรู้/กระบวนการ ที่เป็นนามธรรม เรื่องยาก ซับซ้อน และเป็นส่วนสำคัญของหน่วย
- เป็นความรู้/กระบวนการ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ตามความสนใจของผู้เรียน เพื่อให้สามารถถ่ายโยงไปสู่เรื่องที่สนใจอื่น ๆ
3.2 กำหนดหลักฐานของการเรียนรู้ที่ชัดเจนและยอมรับได้ (Determine acceptable evidence of learning) ตามที่กำหนดไว้ใน 3.1 โดยใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายและต่อเนื่องเป็นระยะ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งนี้ต้องพิจารณาความเหมาะสมในการใช้เครื่องมือประเมินกับเป้าหมายที่ต้องการด้วย โดยมีข้อควรพิจารณาดังนี้
1. หลักฐานของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นผลการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะแสดงออกมาโดย
- การพูด เช่น การพูดเล่าเรื่อง พูดอธิบายเรื่องราว เหตุผล ขั้นตอนต่าง ๆเป็นต้น
- การเขียน เช่น การเขียนบันทึก เขียนจดหมาย เขียนเรียงความ เขียนคำประพันธ์ เป็นต้น
- การปฏิบัติและการแสดงออกได้แก่ การเลือก/การตัดสินใจ การวางแผนปฏิบัติงาน เช่น การดูแลตนเอง การใช้และเก็บรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆเป็นต้น การปฏิบัติและการแสดงออกในการเรียนรู้ เช่น การค้นคว้า การแสวงหาและเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา เป็นต้น
2. วิธีการประเมิน เนื่องจากเป็นการประเมินเพื่อการพัฒนาเพิ่มพูน จึงเน้นการประเมินตามสภาพจริง โดยใช้เทคนิคที่หลากหลายและต่อเนื่อง ได้แก่ การเลือกตอบ การตอบคำถามสั้น ๆ การเขียนแบบอัตนัย การประเมินผลการปฏิบัติภายในโรงเรียนและในชีวิตจริง การประเมินแบบต่อเนื่อง
3. เกณฑ์การประเมิน เนื่องจากเป็นการประเมินตามสภาพจริงจึงควรใช้เกณฑ์ (Rubric) ให้สอดคล้องตามธรรมชาติสาระและลักษณะกิจกรรม
3.3 ออกแบบการจัดการเรียนรู้ (Plan learning experiences and instruction) โดยกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. กำหนดหลักฐานการแสดงออกว่า ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะและจิตพิสัย ตามเป้าหมายที่กำหนด
2. กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย
3. กำหนดสื่อ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสม
4. กำหนดเวลาที่ใช้ในการพัฒนาผู้เรียน
5. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับข้อมูลเบื้องต้น ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญคือ
- กำหนดชื่อหน่วยการเรียนรู้ ที่มีคุณค่าต่อผู้เรียนและสังคม เหมาะสม/สอดคล้องกับระดับการศึกษาของผู้เรียน
- กำหนดความเข้าใจที่คงทน ที่ต้องการให้เป็นความรู้ ความเข้าใจติดตัวไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ เขียนได้ 2 รูปแบบคือ รูปแบบแรกเป็นแบบความเรียง โดยเขียนในลักษณะสรุปเป็นความคิดรวบยอด กระบวนการ ความสัมพันธ์ และสรุปเป็นหลักเกณฑ์ หลักการ อีกรูปแบบหนึ่งก็คือแบบคำถามโดยเขียนในลักษณะคำถามรวบยอด
- กำหนดความคิดรวบยอดย่อย (Concepts) เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามหน่วยที่กำหนดโดยแต่ละConcept ให้มีความเชื่อมโยงและส่งเสริมกันอย่างกลมกลืน
- กำหนดความรู้และทักษะเฉพาะวิชา (Subject-specific standard) ที่เป็นความรู้ และทักษะวิชาของแต่ละConcept
- ตรวจสอบความสอดคล้องของความรู้และทักษะเฉพาะวิชา ของแต่ละConceptกับมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
- กำหนดทักษะคร่อมวิชา (Trans-disciplinary skills standards) ที่ต้องใช้ในการจัดการเรียนรู้ เป็นทักษะซึ่งสามารถนำไปใช้ได้หลายวิชา
- กำหนดจิตพิสัย (Disposition standards) ของหน่วยการเรียนรู้ที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน
- กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหน่วยการเรียนรู้
- กำหนดหลักฐานที่แสดงถึงความรู้ความเข้าใจของผู้เรียนตามความเข้าใจที่คงทน จิตพิสัย ทักษะคร่อมวิชา ความรู้และทักษะเฉพาะวิชาที่กำหนด ทั้งนี้ควรออกแบบการประเมินผลให้เหมาะสมด้วย
- จัดลำดับหลักฐานการแสดงออกของผู้เรียนให้เป็นลำดับที่เหมาะสม การประเมินผลที่จัดรวมกันได้ก็ควรจัดไว้ด้วยกันในแต่ละลำดับ
- ออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยนำการประเมินที่จัดลำดับไว้ มากำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้ และเวลาในแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสม
- จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยนำผลการออกแบบการจัดการเรียนรู้ข้างต้นมาจัดทำแผน ทั้งนี้ให้เขียนผลการเรียนรู้ที่คาดหวังตามความรู้ และทักษะเฉพาะที่กำหนดในConcept แต่ละConcept
- ตรวจสอบความเหมาะสมของการออกแบบการจัดการเรียนรู้
- นำผลการออกแบบการจัดการเรียนรู้ไปจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน
4. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ
ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ จิตพิสัย มีความเข้าใจที่คงทน โดยผ่านกระบวนการเรียนการสอนที่เป็นระบบ และสามารถเชื่อมโยงความรู้/ทักษะที่ได้ไปสู่เรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนสนใจ ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมและสรุปองค์ความรู้ที่ได้เอง
5. แนวทางในการนำไปใช้
1. นำแนวความคิดในการออกแบบรูปแบบการเรียนรู้ไปใช้ในการออกแบบรูปแบบการเรียนรู้เป็นของตนเอง
2. ในการออกแบบรูปแบบการเรียนรู้ต้องคำนึกถึงทฤษฎี หลักการ แนวคิด เทคนิค รวมทั้งวิธีการต่าง ๆที่ผ่านการทดลองใช้มาแล้วและได้ผลเป็นที่ประจักษ์
3. นำรูปแบบการเรียนรู้ที่ศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้
ขั้นตอนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ สามารถสรุปการออกแบบตามวิธีการ Backward Design ได้ดังนี้
ประเด็นหลัก |
ข้อคำนึงในการออกแบบ |
เกณฑ์ในการกลั่นกรอง |
ผลงานการออกแบบ |
ขั้นตอนที่ 1 เป้าหมายที่พึงประสงค์ |
- มาตรฐานชาติ - มาตรฐานพื้นที่ - ประเด็นท้องถิ่น - ความชำนาญและความสนใจของครู |
-แนวคิดที่ผู้เรียนจะนำไปใช้ได้อย่างยั่งยืน - โอกาสที่จะทำโครงงานตามสาระนั้น -โอกาสที่จะเรียนรู้ในสภาพจริง -ประเด็นที่ควรทำความเข้าใจเป็นพิเศษ |
หน่วยการเรียนรู้ที่จะสร้างความเข้าใจที่ยั่งยืนและกระตุ้นให้คิดในประเด็นหลัก |
ขั้นตอนที่ 2 หลักฐานที่แสดงว่าผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมาย |
- ความเข้าใจ 6 ด้าน - การประเมินผลที่ต่อเนื่องกันในหลากหลายรูปแบบ |
- ความตรงประเด็น -ความเที่ยงตรง -ความเป็นไปได้ -ความพอเพียง -สภาพความเป็นจริง -เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน |
หน่วยการเรียนที่คำนึงถึงหลักฐานของผลการเรียนที่เน้นความเข้าใจและเป็นหลักฐานที่มีคุณภาพมาตรฐานตามหลักวิชา |
ขั้นตอนที่ 3 กิจกรรมการเรียนการสอนที่สร้างเสริมความเข้าใจและความเป็นเลิศ |
- ยุทธศาสตร์การเรียนการสอนที่วางอยู่บนพื้นฐานการค้นคว้า งานวิจัย -เนื้อหาสาระและทักษะที่จำเป็นและเอื้อต่อการเรียนอื่น ๆ |
วิธีการที่ใช้ชื่อย่อว่า WHERE -Where จะสู่เป้าหมายอะไร -Hook จะตรึงผู้เรียนได้อย่างไร -Explore/Equip จะช่วยผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะแสวงหาความรู้อย่างไร -Rethink จะทบทวนอย่างไร -Evaluate/Exhibit จะประเมินผลและนำเสนอผลงานอย่างไร |
หน่วยการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดประสานกันเพื่อนำไปสู่ความเข้าใจ ความสนใจ และความเป็นเลิศของผู้เรียน |
แหล่งอ้างอิง
ดร.เฉลิม ฟักอ่อน. การออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเทคนิค Backward Design. 2550. บทความ
ราศีไศล, โรงเรียน. รายงานการวิจัยเรื่องการจัดการเรียนรู้เรื่อง Travel โดยใช้รูปแบบ
Backward Design เทคนิค WHERETO และวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือ ชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 3. 2550. ศรีสะเกษ
ดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา. การพัฒนาข้าราชการครูเพื่อให้มีหรือเลื่อนวิทยฐานะ เป็นครูชำนาญ
การพิเศษ ครั้งที่ 2 กรณีพิเศษ. ก.ค.ศ. สำนักงาน. 2550. กรุงเทพ
สวัสดีคุณ sunee sunmud เห็นชื่อนามสกุลคุ้นๆ เข้ามาทักทาย คงได้มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันกันทางความคิด ยินที่รู้จักครับท่าน