0เรื่องที่ผมนำมาเล่าในรายละเอียดครั้งนี้ได้มาจากคุณเทพชู ทับทอง วัดสระเกศ มีฝูงแร้งคอยกินซากศพคนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แล้ว เพราะครั้งนั้นได้เกิดอหิวาตกโรค หรือเรียกสั้นๆว่า โรคห่า หรือไข้ป่วงขึ้นในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใกล้เคียง ปรากฏว่ามีคนตายเป็นจำนวนมาก ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าเพียง 15 วันกว่าเท่านั้น คนตายด้วยโรคนี้เป็นจำนวนถึง 30,000 คน
ป่าช้าและศาลาดินวัดต่างๆมีศพกองกันเป็นภูเขาเลากาเหมือนกองฟืน แม้แต่ในแม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยซากศพจะใช้กินใช้อาบก็ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดสระเกศมีมากมายจนไม่สามารถจะเผาหรือฝังได้ทัน ต้องขุดหลุมขนาดใหญ่และโยนลงไปในหลุมเดียวกัน และมีฝูงแร้งกาตลอดจนสุนัขมาลงกินเป็นประจำ
มีเรื่องเล่าว่าแร้งที่มากินศพที่วัดสระเกศตัวหนึ่งมาไกลมากคือ มาจากจังหวัดพิจิตร มีชื่อว่า “หงษ์ทอง” เป็นแร้งที่พระภิกษุเมืองพิจิตรเลี้ยงไว้จนเชื่อง แล้วเอาผ้าแดงมาผูกไว้เป็นเครื่องหมาย สาเหตุที่ทราบว่าเป็นแร้งเมืองพิจิตรก็เพราะว่าพระภิกษุท่านนั้นลงมากรุงเทพฯแล้วก็ต้องเดินทางทางเรือ เป็นแรมเดือน ก็มาพบว่าหงษ์ทอง แร้งของท่านกำลังจิกกินซากศพที่วัดสระเกศโดยบังเอิญ
อหิวาตกโรคที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 2 ได้ความว่า เกิดขึ้นที่ปีนังมาก่อน และระบาดเข้ามาทางปากน้ำทำให้ชาวเมืองสมุทรปราการอพยพหนีเข้ามาในกรุงเทพฯและนำโรคติด ต่อมาเผยแพร่ด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดให้มีพระราชพิธีอาพาธพินาศ เป็นการบำรุงขวัญราษฏรตามโบราณราชประเพณี มีการซื้อปลา สัตว์สองเท้า สี่เท้า เพื่อทรงปล่อย ประกาศห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้อยู่แต่ในบ้าน ตอลดจนทรงปล่อยนักโทษที่จองเวรอยู่ในคุกในตะรางอีกด้วย
ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 ก็เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองขึ้นทุกรัชกาลเลยทีเดียว มีจำนวนผู้คนล้มตายมากมาย ในสมัยรัชกาลที่ 3 ตามพระราชพงศาวดาร ระบุว่า ความไข้ครั้งนั้นตรวจดูตามบัญชีเบี้ยหวัดมรายื่นจำหน่ายตายในปี พ.ศ. 2392 อยู่ในราวสิบลดสอง คนบ้านใหญ่ที่มีคนอยู่เป็นร้อยๆจะตายถึง 20 คน ในหนังสือบริรักษ์เวชการอนุสรณ์เรื่องการควบคุมโรคติดต่ออันตรายในประเทศไทย ที่นายแพทย์ประเมิน จันทรวิมล บอกว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 คนจะตายประมาณ ร้อยละ 101 ถึง 200 คน มีการสำรวจพบที่วัดสระเกศ วัดบพิตรพิมุข วัดสังเวช 28 วัน พบศพถึง 5 พันกว่า เฉลี่ยแล้วประมาณวันละ 194 ศพ คือ ร้อยละ 10 ของพลเมือง เป็นเรื่องน่าตกใจในการตายของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคห่า เมืองที่ใกล้กับกรุงเทพฯ คือ เมืองปทุมธานี ก็พบว่ามีคนตาย 96 คน ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เมืองพิษณุโลกตาย 57 คน ที่อ่างศิลาตาย 5 คน มีพระเจ้าลูกยาเธอ 2 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ที่สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้ ส่วนเสนาบดีถึงอสัญกรรมไป 1 ท่าน คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพใหญ่ โรคร้ายแรงก็ไม่ได้ละเว้นเชื้อชาติใด สูงต่ำอย่างไรก็มาโดยทั่วถึง เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ก็เกิดอหิวาตกโรคในปลายปี พ.ศ. 2403 ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าในทุกบ้านจะมีคนตาย 2-3 คน
จากพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีถึงพระองค์เจ้าปัทมราช ฉบับที่ 1 เมื่อพ.ศ. 2403 ทรงกล่าวถึงโรคนี้ว่า ในเดือน 5 ข้างขึ้น ในกรุงเทพมหานคร แขวงกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใกล้เคียงก็มีความไข้ป่วงลงรากเกิดขึ้น คนตายตั้งแต่ขึ้นค่ำ 1-2 ค่ำ วันละ 4-5 คนทุกวัน เป็นความไข้อยู่ถึง 15-16 วัน จึงค่อยสงบลง ในความไข้ครั้งนี้คนตายแต่ไพร่มาก เมื่อความไข้ครั้งก่อนๆก็เห็นว่าคนตายไม่มากนัก คิดนับคนในกรุงเทพมหานครภายในวันกำลังความไข้ชุมนั้นวันละ 34-35 คน หลังจากนั้นก็ค่อยๆลดลงมา ในความไข้ครั้งนี้พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้า ฝ่ายใน ที่มีตำแหน่งเฝ้าในพระบรมราชวังนี้เชิญพระราชาคณะ ฐานานุกรมบาเรียน ไม่มีใครเป็นอันตรายจนคนหนึ่งขึ้นไป ความไข้ครั้งนี้ในวังนี้ใครเป็นลงเขาก็รับไปเสียนอกวังเพราะเป็นไพร่ ตั้งแต่เกิดความไข้ไปจนสงบนับคนที่ป่วยมากต้องเอาไปนอกวังวันละประมาณ 1-2 คนขึ้นไป จนเมื่อกำลังชุกวันละ 16-17 คน นับก็ได้ 73 คน สืบได้ว่าตายไปเสีย 43 คน หายไป 30 คน ในพระราชวังนั้นไพร่ก็ตายมากเหมือนกัน ผีเจ้าปู่ หอปู่โรง หรือหมอเวทย์มนต์ ห้ามมาอยู่หลอกได้ยินว่าผู้ดีที่เป็นเจ้าจอม เจ้าจอมลาว เจ้าจอมญวน ก็ตายหลายคน
ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้เกิดอหิวาตกโรคขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2416 หลังจากรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เกิดระบาดครั้งใหญ่เลย มาอีก 2 ครั้ง คือ พ.ศ. 2434 และ พ.ศ. 2443 ก็เกิดระบาดครั้งใหญ่ขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2434 เป็นปีที่มีอหิวาตกโรคระบาดร้ายแรงที่สุดคราวหนึ่ง ปรากฏว่ามีคนตายหลายหมื่นคน พอปี พ.ศ. 2443 ก็เกิดอหิวาตกโรคในกรุงเทพมหานครอีกครั้งหนึ่งก็เกิดมีคนตายหลายพันคน จนแม่น้ำเจ้าพระยามีซากศพคนตายลอยเต็มไปหมด เมื่อคนตายมากมายก็ไม่สามารถที่จะกำจัดหรือฝังซากศพได้ทัน ซากศพดังกล่าวนั้นจึงเป็นเหยื่อของแร้งกาตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร้งวัดสระเกศได้กินซากศพจำนวนมากทุกครั้งที่มีโรคระบาด
พระคุณเจ้าองค์หนึ่งคือ หลวงปู่เทียน ท่านคุ้นเคยกับสมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศตั้งแต่เป็นมหาอยู่ ท่านมาวัดสระเกศบ่อยครั้ง ท่านบอกว่า เห็นแร้งวัดสระเกศเป็นฝูงๆลงกินศพอย่างเอร็ดอร่อยมาก แร้งจะรุมแย่งกันกินจนกระดูกขาวโพลน เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้นสัปเหร่อก็จะเอากระดูกไปเผาหรือฝังอีกที แต่บางครั้งกว่าที่สัปเหร่อจะเอากระดูกไปเผาหรือฝังได้หลายวันเศษเนื้อคนที่ติดกระดูกก็มักจะส่งกลิ่น ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บรรดาแร้งต่างๆเมื่ออิ่มหมีพีมันก็มักจะบินไปจับเจ่าอยู่บนต้นไม้ทิ้งกระดูกไว้ให้ขาวโพลนไปทั่วและ ตัวแร้งเองก็ปล่อยมูลขาวโพลนไปทั่วต้นไม้
มีชาวต่างประเทศคนหนึ่งเป็นผู้บังคับการเรือโคเมตของฝรั่งเศส ชื่อเรือเอกหลุยส์ คาติส รูเฟอร์เน่ ได้บรรยายและบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อได้เห็นและได้กลิ่นซากศพ ภาพนกอันน่าเกลียดที่เกาะอยู่บนหลังคาวัดผุๆพังๆเพื่อคอยอาหารของมัน และได้ฟังคำอธิบายของภิกษุรูปร่างพิลึกและน่ากลัวในบริเวณอันน่าสลดใจก็ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ใจเสมือนฝันร้ายและกล่าวได้ว่าสภาพเช่นนี้เป็นนรกอเวจีและเป็นบริเวณที่ประหลาดที่สุดของกรุงเทพมหานคร
นายเรือเอก หลุยส์ คาติส รูเฟอร์เน่ ได้เขียนเอาไว้อีกว่า กรุงเทพมหานครมีทั้งอารยธรรมสมัยใหม่และสมัยเก่าควบคู่กันไปเพราะกรุงเทพมหานครสมัยนั้น ไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว ถนนหนทางก็มีรถรางไฟฟ้าวิ่ง มีสายโทรเลข มีโทรศัพท์ระเกะระกะไปหมด มีเรือแบบใหม่ๆ มีโรงฝึกทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันยังมีความรู้สึกนึกคิดจารีตประเพณีโบราณละคนอยู่เช่นกัน การทิ้งซากศพให้แร้งกินมีเรื่องน่าสนใจว่า
บริเวณที่ทิ้งซากศพที่วัดสระเกศพระท่านชอบใช้เป็นที่ปลงอนิจจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่สวยสดงดงามเรียกว่าคนธรรมดา ชาวบ้าน พระเณร เห็นยังรู้สึกว่าสวยเหลือเกิน แต่พอตายไปแล้วพระผู้ใหญ่ท่านอนุญาตให้พระเณรทุกองค์ไปลูบคลำผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครทำ
แร้งเป็นนกที่กินซากศพของสัตว์และคน โดยปกติแล้วคนไทยจะถือว่าแร้งเป็นนกอัปมงคล ถ้าบินมาเกาะต้นไม้ภายในบ้านและบริเวณบ้านจะถือว่าไม่ดี แต่บางท่านก็ไม่ถือและมักจะเล่าว่าถ้าเข้ามาก็มักจะได้เป็นใหญ่โต เคยมีแร้งตัวหนึ่งบินเข้าไปเกาะหลังคากุฏิพระมหาอยู่ วัดสระเกศ ท่านบอกว่าดีๆ ต่อไปท่านจะได้เป็นใหญ่เป็นโตและต่อมาท่านก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด มีเรื่องเล่าอีกว่า แร้งเคยบินไปเกาะบ้านเจ้าพระยาธรรมา ที่ยศเส แม่ครัวบอกว่า อ้าวท่านพระยาหงษ์ทองบินมาเกาะขอให้ท่านจงเจริญ เจ้าของบ้านปีนั้นก็ได้รับรางวัลเป็นที่เชิดหน้าชูตามีชื่อเสียง ปัจจุบันยังคงยากที่จะได้เห็น ถ้าอยากเห็นก็ให้ไปดูที่เขาดินว่าหน้าตาเป็นอย่างไร