ตายกันครึ่งโลก โรคจึงหยุดอาละวาด ภาค..คิดถึงทักษิณ


คิดถึงทักษิณซะแล้วครับ

 

ไม่น่าเชื่อว่า เรื่องจริงๆได้เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เหมือนกับหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งผู้คนกลัวไวรัสร้ายกันทั้งเมือง เมื่อโรคติดผู้ใดแล้ว จะแพร่ไปผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว แค่หายใจรดต้นคอกัน หรือปาดน้ำมูกแล้วเอาไปลูดคลำราวบันได จะติดไปยังผู้สัมผัสเชื้อทันที

ทำให้เมียกลัวผัว ผัวกลัวเมีย ลูกกลัวแม่ แม่กลัวลูก หมอกลัวคนไข้ คนที่ยังไม่ไข้กลัวหมอ ฯลฯ

เชื้อโรคชนิดนี้จะโจมตีระบบหายใจ หลอดลม ปอด เมื่อเข้ากัดกินปอดก็ต้องตายกันทุกคนครับ

ว่าแต่ว่าบ้านเรา พี่ไทยไม่เคยกลัวอะไร เข้าไปแออัดยัดเยียดกันจนล้นสนามฟุตบอล

นายกรัฐมนตรีฯ นอกจากไม่มีความชัดเจน ในการหามาตรการลดอัตราการแพร่เชื้อ  ยังทำตัวเป็นฟรีเซ็นเตอร์ "ข้าฯไม่กลัวไวรัส" โดยไปเดินหายใจรดต้นคอแฟนบอล และผู้สื่อข่าว โดยไม่สวมหน้ากากอนามัยซะอีก

หรือว่าท่านสวมหน้ากากไว้ตั้งนานแล้ว แต่ซ่อนไว้อย่างมิดชิด จนผมมองไม่เห็น

ไวรัสชนิดนี้มาจากเชื้อหวัดหมู สู่คน และถ้าจากคนสู่หมู แล้วย้อนมาที่คน เชื้อยังแรงอีกเท่าตัว ก็ตายกันครึ่งโลกแน่ (ที่ไม่บอกความจริง เนื่องจากกลัวฟารม์ซีพีจะเจ๊ง ใช่ไหม..รัฐบาลเขยซีพี?)

หลายประเทศฆ่าหมูกันยกประเทศ เขาทำถูกต้องนะครับ ไม่บาปหรอก เพราะหมูทุกตัวก็ต้องตายอยู่ดี ที่สำคัญ..โลกมุสลิมเขากลัวโรคนี้มาเป็นพันปีแล้ว จึงห้ามกินหมู

บ้านเรา รัฐบาลนอกจากไม่มีมาตรการในการลดอัตราการแพร่ระบาดอย่างชัดเจนแล้ว

ยังไปเป็นฟรีเซ็นเตอร์... "ยืดอกไม่พกหน้ากากอีก" ต่างหาก(หน้ากากอนามัยนะครับ ไม่ถามหาหน้ากากอันอื่น)

ความไร้ประสิทธิภาพ เสมือนกำลังเมาน้ำลาย ความไม่ชัดเจน และความโลเล ลมเพลมพัด เชื่องช้า อืดอาดอย่างนี้แหละ ที่ทำให้ผมคิดถึงทักษิณขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ผมลืมชายคนนั้นไปนานแล้ว

ก็คราวหวัดนกไง  ทักษิณทำเร็ว และทำถูกต้องแล้ว พิโธ่ ก็ไก่ต้องถูกฆ่าทุกตัวแหละ หรือบ้านใครเลี้ยงเอาไว้บูชา

ท่านนายกบริหารประเทศซึ่งกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างไร้ทิศทาง ไร้ความหวังอย่างนี้ ระวังหลายคนจะคิดถึงทักษิณเหมือนผมนะครับ

หมายเลขบันทึก: 279251เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2009 07:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม 2012 12:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

0เรื่องที่ผมนำมาเล่าในรายละเอียดครั้งนี้ได้มาจากคุณเทพชู ทับทอง วัดสระเกศ มีฝูงแร้งคอยกินซากศพคนมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แล้ว เพราะครั้งนั้นได้เกิดอหิวาตกโรค หรือเรียกสั้นๆว่า โรคห่า หรือไข้ป่วงขึ้นในกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใกล้เคียง ปรากฏว่ามีคนตายเป็นจำนวนมาก ตามพระราชพงศาวดารกล่าวว่าเพียง 15 วันกว่าเท่านั้น คนตายด้วยโรคนี้เป็นจำนวนถึง 30,000 คน

ป่าช้าและศาลาดินวัดต่างๆมีศพกองกันเป็นภูเขาเลากาเหมือนกองฟืน แม้แต่ในแม่น้ำลำคลองก็เต็มไปด้วยซากศพจะใช้กินใช้อาบก็ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดสระเกศมีมากมายจนไม่สามารถจะเผาหรือฝังได้ทัน ต้องขุดหลุมขนาดใหญ่และโยนลงไปในหลุมเดียวกัน และมีฝูงแร้งกาตลอดจนสุนัขมาลงกินเป็นประจำ

มีเรื่องเล่าว่าแร้งที่มากินศพที่วัดสระเกศตัวหนึ่งมาไกลมากคือ มาจากจังหวัดพิจิตร มีชื่อว่า “หงษ์ทอง” เป็นแร้งที่พระภิกษุเมืองพิจิตรเลี้ยงไว้จนเชื่อง แล้วเอาผ้าแดงมาผูกไว้เป็นเครื่องหมาย สาเหตุที่ทราบว่าเป็นแร้งเมืองพิจิตรก็เพราะว่าพระภิกษุท่านนั้นลงมากรุงเทพฯแล้วก็ต้องเดินทางทางเรือ เป็นแรมเดือน ก็มาพบว่าหงษ์ทอง แร้งของท่านกำลังจิกกินซากศพที่วัดสระเกศโดยบังเอิญ

อหิวาตกโรคที่เกิดขึ้นในรัชกาลที่ 2 ได้ความว่า เกิดขึ้นที่ปีนังมาก่อน และระบาดเข้ามาทางปากน้ำทำให้ชาวเมืองสมุทรปราการอพยพหนีเข้ามาในกรุงเทพฯและนำโรคติด ต่อมาเผยแพร่ด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดให้มีพระราชพิธีอาพาธพินาศ เป็นการบำรุงขวัญราษฏรตามโบราณราชประเพณี มีการซื้อปลา สัตว์สองเท้า สี่เท้า เพื่อทรงปล่อย ประกาศห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้อยู่แต่ในบ้าน ตอลดจนทรงปล่อยนักโทษที่จองเวรอยู่ในคุกในตะรางอีกด้วย

ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 ก็เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองขึ้นทุกรัชกาลเลยทีเดียว มีจำนวนผู้คนล้มตายมากมาย ในสมัยรัชกาลที่ 3 ตามพระราชพงศาวดาร ระบุว่า ความไข้ครั้งนั้นตรวจดูตามบัญชีเบี้ยหวัดมรายื่นจำหน่ายตายในปี พ.ศ. 2392 อยู่ในราวสิบลดสอง คนบ้านใหญ่ที่มีคนอยู่เป็นร้อยๆจะตายถึง 20 คน ในหนังสือบริรักษ์เวชการอนุสรณ์เรื่องการควบคุมโรคติดต่ออันตรายในประเทศไทย ที่นายแพทย์ประเมิน จันทรวิมล บอกว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 คนจะตายประมาณ ร้อยละ 101 ถึง 200 คน มีการสำรวจพบที่วัดสระเกศ วัดบพิตรพิมุข วัดสังเวช 28 วัน พบศพถึง 5 พันกว่า เฉลี่ยแล้วประมาณวันละ 194 ศพ คือ ร้อยละ 10 ของพลเมือง เป็นเรื่องน่าตกใจในการตายของคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคห่า เมืองที่ใกล้กับกรุงเทพฯ คือ เมืองปทุมธานี ก็พบว่ามีคนตาย 96 คน ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่เมืองพิษณุโลกตาย 57 คน ที่อ่างศิลาตาย 5 คน มีพระเจ้าลูกยาเธอ 2 พระองค์ และพระธิดา 1 พระองค์ ที่สิ้นพระชนม์ด้วยโรคนี้ ส่วนเสนาบดีถึงอสัญกรรมไป 1 ท่าน คือ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา แม่ทัพใหญ่ โรคร้ายแรงก็ไม่ได้ละเว้นเชื้อชาติใด สูงต่ำอย่างไรก็มาโดยทั่วถึง เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 ก็เกิดอหิวาตกโรคในปลายปี พ.ศ. 2403 ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่าในทุกบ้านจะมีคนตาย 2-3 คน

จากพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีถึงพระองค์เจ้าปัทมราช ฉบับที่ 1 เมื่อพ.ศ. 2403 ทรงกล่าวถึงโรคนี้ว่า ในเดือน 5 ข้างขึ้น ในกรุงเทพมหานคร แขวงกรุงเทพมหานคร และหัวเมืองใกล้เคียงก็มีความไข้ป่วงลงรากเกิดขึ้น คนตายตั้งแต่ขึ้นค่ำ 1-2 ค่ำ วันละ 4-5 คนทุกวัน เป็นความไข้อยู่ถึง 15-16 วัน จึงค่อยสงบลง ในความไข้ครั้งนี้คนตายแต่ไพร่มาก เมื่อความไข้ครั้งก่อนๆก็เห็นว่าคนตายไม่มากนัก คิดนับคนในกรุงเทพมหานครภายในวันกำลังความไข้ชุมนั้นวันละ 34-35 คน หลังจากนั้นก็ค่อยๆลดลงมา ในความไข้ครั้งนี้พระราชวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้า ฝ่ายใน ที่มีตำแหน่งเฝ้าในพระบรมราชวังนี้เชิญพระราชาคณะ ฐานานุกรมบาเรียน ไม่มีใครเป็นอันตรายจนคนหนึ่งขึ้นไป ความไข้ครั้งนี้ในวังนี้ใครเป็นลงเขาก็รับไปเสียนอกวังเพราะเป็นไพร่ ตั้งแต่เกิดความไข้ไปจนสงบนับคนที่ป่วยมากต้องเอาไปนอกวังวันละประมาณ 1-2 คนขึ้นไป จนเมื่อกำลังชุกวันละ 16-17 คน นับก็ได้ 73 คน สืบได้ว่าตายไปเสีย 43 คน หายไป 30 คน ในพระราชวังนั้นไพร่ก็ตายมากเหมือนกัน ผีเจ้าปู่ หอปู่โรง หรือหมอเวทย์มนต์ ห้ามมาอยู่หลอกได้ยินว่าผู้ดีที่เป็นเจ้าจอม เจ้าจอมลาว เจ้าจอมญวน ก็ตายหลายคน

ครั้นต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้เกิดอหิวาตกโรคขึ้นหลายครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2416 หลังจากรัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เกิดระบาดครั้งใหญ่เลย มาอีก 2 ครั้ง คือ พ.ศ. 2434 และ พ.ศ. 2443 ก็เกิดระบาดครั้งใหญ่ขึ้นอีกในปี พ.ศ. 2434 เป็นปีที่มีอหิวาตกโรคระบาดร้ายแรงที่สุดคราวหนึ่ง ปรากฏว่ามีคนตายหลายหมื่นคน พอปี พ.ศ. 2443 ก็เกิดอหิวาตกโรคในกรุงเทพมหานครอีกครั้งหนึ่งก็เกิดมีคนตายหลายพันคน จนแม่น้ำเจ้าพระยามีซากศพคนตายลอยเต็มไปหมด เมื่อคนตายมากมายก็ไม่สามารถที่จะกำจัดหรือฝังซากศพได้ทัน ซากศพดังกล่าวนั้นจึงเป็นเหยื่อของแร้งกาตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร้งวัดสระเกศได้กินซากศพจำนวนมากทุกครั้งที่มีโรคระบาด

พระคุณเจ้าองค์หนึ่งคือ หลวงปู่เทียน ท่านคุ้นเคยกับสมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศตั้งแต่เป็นมหาอยู่ ท่านมาวัดสระเกศบ่อยครั้ง ท่านบอกว่า เห็นแร้งวัดสระเกศเป็นฝูงๆลงกินศพอย่างเอร็ดอร่อยมาก แร้งจะรุมแย่งกันกินจนกระดูกขาวโพลน เพียงเวลาไม่นานหลังจากนั้นสัปเหร่อก็จะเอากระดูกไปเผาหรือฝังอีกที แต่บางครั้งกว่าที่สัปเหร่อจะเอากระดูกไปเผาหรือฝังได้หลายวันเศษเนื้อคนที่ติดกระดูกก็มักจะส่งกลิ่น ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ บรรดาแร้งต่างๆเมื่ออิ่มหมีพีมันก็มักจะบินไปจับเจ่าอยู่บนต้นไม้ทิ้งกระดูกไว้ให้ขาวโพลนไปทั่วและ ตัวแร้งเองก็ปล่อยมูลขาวโพลนไปทั่วต้นไม้

มีชาวต่างประเทศคนหนึ่งเป็นผู้บังคับการเรือโคเมตของฝรั่งเศส ชื่อเรือเอกหลุยส์ คาติส รูเฟอร์เน่ ได้บรรยายและบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อได้เห็นและได้กลิ่นซากศพ ภาพนกอันน่าเกลียดที่เกาะอยู่บนหลังคาวัดผุๆพังๆเพื่อคอยอาหารของมัน และได้ฟังคำอธิบายของภิกษุรูปร่างพิลึกและน่ากลัวในบริเวณอันน่าสลดใจก็ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ใจเสมือนฝันร้ายและกล่าวได้ว่าสภาพเช่นนี้เป็นนรกอเวจีและเป็นบริเวณที่ประหลาดที่สุดของกรุงเทพมหานคร

นายเรือเอก หลุยส์ คาติส รูเฟอร์เน่ ได้เขียนเอาไว้อีกว่า กรุงเทพมหานครมีทั้งอารยธรรมสมัยใหม่และสมัยเก่าควบคู่กันไปเพราะกรุงเทพมหานครสมัยนั้น ไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว ถนนหนทางก็มีรถรางไฟฟ้าวิ่ง มีสายโทรเลข มีโทรศัพท์ระเกะระกะไปหมด มีเรือแบบใหม่ๆ มีโรงฝึกทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันยังมีความรู้สึกนึกคิดจารีตประเพณีโบราณละคนอยู่เช่นกัน การทิ้งซากศพให้แร้งกินมีเรื่องน่าสนใจว่า

บริเวณที่ทิ้งซากศพที่วัดสระเกศพระท่านชอบใช้เป็นที่ปลงอนิจจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่สวยสดงดงามเรียกว่าคนธรรมดา ชาวบ้าน พระเณร เห็นยังรู้สึกว่าสวยเหลือเกิน แต่พอตายไปแล้วพระผู้ใหญ่ท่านอนุญาตให้พระเณรทุกองค์ไปลูบคลำผู้หญิงคนนั้นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครทำ

แร้งเป็นนกที่กินซากศพของสัตว์และคน โดยปกติแล้วคนไทยจะถือว่าแร้งเป็นนกอัปมงคล ถ้าบินมาเกาะต้นไม้ภายในบ้านและบริเวณบ้านจะถือว่าไม่ดี แต่บางท่านก็ไม่ถือและมักจะเล่าว่าถ้าเข้ามาก็มักจะได้เป็นใหญ่โต เคยมีแร้งตัวหนึ่งบินเข้าไปเกาะหลังคากุฏิพระมหาอยู่ วัดสระเกศ ท่านบอกว่าดีๆ ต่อไปท่านจะได้เป็นใหญ่เป็นโตและต่อมาท่านก็ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชในที่สุด มีเรื่องเล่าอีกว่า แร้งเคยบินไปเกาะบ้านเจ้าพระยาธรรมา ที่ยศเส แม่ครัวบอกว่า อ้าวท่านพระยาหงษ์ทองบินมาเกาะขอให้ท่านจงเจริญ เจ้าของบ้านปีนั้นก็ได้รับรางวัลเป็นที่เชิดหน้าชูตามีชื่อเสียง ปัจจุบันยังคงยากที่จะได้เห็น ถ้าอยากเห็นก็ให้ไปดูที่เขาดินว่าหน้าตาเป็นอย่างไร

สวัสดีครับคุณ ธัญศักดิ์ นานๆมาที แต่มาแต่ละสะเทือนเลือนลั่น คนบ้านเราด้วยกัน ไม่หาญแหลง ไม่หาญพูด  ทีเวลารัฐบาลนี้ เพราะเรายึดคนมากไป ไม่ยึดหลัก ของประวัติ ไข้ เกิดปีไข้ปวงพอดี แต่รอดมาได้ "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ " ตำนานไข้ ห่า ขอบจ้านที่ท่านสะท้อนมา ได้แรงอกดี อิอิ

สวัสดีค่ะ  คุณธัญศักดิ์ ณ นคร

หายหน้า  หายตาไปนาน

มาทักทายแบบสบายๆ

ให้กำลังใจ  ด้วยใจเย็นๆค่ะ

เพิ่มเติม "ทุกชีวิตสำเร็จได้ จะร้อนใจไปทำไม"


บ้านเรา รัฐบาลนอกจากไม่มีมาตรการในการลดอัตราการแพร่ระบาดอย่างชัดเจนแล้ว

ยังไปเป็นฟรีเซ็นเตอร์... "ยืดอกไม่พกหน้ากากอีก" ต่างหาก(หน้ากากอนามัยนะครับ ไม่ถามหาหน้ากากอันอื่น)

อ่านมาเรื่อยๆดูเหมือนว่า จขกท.เป็นคนที่มีอคติ และเป็นคนไม่มีเหตุผลนะคะ

คำพูดที่ถากถางไม่น่าจะออกมาจากปากคนที่เป็นทนายความนะคะ

ที่เห็นๆอยู่รัฐบาลก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว แต่คุณกลับมองไม่เห็น

คุณทราบไหมคะว่าเขาเอาหน้ากากมาปิดปากเพื่อวัตถุประสงค์ใด

ความไร้ประสิทธิภาพ เสมือนกำลังเมาน้ำลาย ความไม่ชัดเจน และความโลเล ลมเพลมพัด เชื่องช้า อืดอาดอย่างนี้แหละ ที่ทำให้ผมคิดถึงทักษิณขึ้นมาทันที ทั้งๆที่ผมลืมชายคนนั้นไปนานแล้ว

ก็คราวหวัดนกไง  ทักษิณทำเร็ว และทำถูกต้องแล้ว พิโธ่ ก็ไก่ต้องถูกฆ่าทุกตัวแหละ หรือบ้านใครเลี้ยงเอาไว้บูชา

ดูวิสัยทัศน์คุณแล้ว คุณยังงมงายกับชายที่เป็นนักโทษที่หลบหนีหัวซุกหัวซุน

คุณเป็นทนายความไม่ได้หรอกถ้ายังแยกคนดีและคนไม่ดีไม่ออก

หรือใครให้เงินคุณก็เห็นว่าเขาดี ใช่ไหมคะ

จึงคิดถึงเขา

คห..ที่ 5 และ ที่ 6

....

ผมเป็นกลางแน่นอนครับ การเป็นกลางมิใช่ว่าไม่กล่าวิจารณ์สิ่งใดๆ

ผู้พิพากษาเป็นกลาง แต่ก็ต้องชี้ว่าเรื่องใดใครผิดเรื่องใดใครถูก

ผมไม่ได้บอกว่าทักษิณเป็นคนดี อภสิทธิ์เป็นคนเลว

แต่ผมเตือนว่า การบริหารแบบไม่บริหาร จะทำให้คนไทยโหยหาคนชั่ว ทำนองถึงชั่วก้รัก

และที่กล่าวหาว่าผมถากถาง ก็เอาแต่พองาม ตามบุคลิกของผู้ถูกวิจารณ์ ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ

ว่าแต่ว่า บางท่านวิจารณ์ผมโดยไม่มีข้อมูล หาว่าผมรับเงินทักษิณ มิใช่ถากถาง แต่ใส่ร้ายผมเอาเสียเลย

ที่สำคัญ..บอกว่าผมเป้นทนายความไม่ได้..ทั้งๆที่ผมเป็นมา 20 ปี ไส้ไม่ได้แห้งเสียด้วย

อ้อ..ผู้วิจารณ์ผม น่าจะดูข้อเขียนเก่าๆของผมด้วยนะครับ นอกจากวิจารณ์ทักษิณเลอะแล้ว ผมจะบอกคุณว่า ผมเป็นลูกศิษย์ก้นกุฎิขงท่านวิทยา แก้วภราดัย รมต.สาธารณะสุข ผมยังนับถือท่านมาก ท่านเป็นคนใจกว้าง เปิดให้ทุกคนวิจารณ์ได้ดดยไม่โกระเคือง ท่านสอนทนายทุกคนให้ใจกว้าง วิจารณ์ได้ ไม่ยึดติดบุคคล

ผมวิจารณ์บุคคลิกนายก ต่อท่าทีการแก้ปัญหาการระบาดของโรคครับ และเตือนคนจะคิดถึงทักษิณ ผมไม่ได้ชอบทักษิณหรอกครับ แต่ก็ชอบการตัดสินใจบางเรื่องเช่นกัน

ขอบคุณมากคะคุณ นาย ธัญศักดิ์ ณ นคร ที่มาชี้แจงให้รับทราบถึงจุดยืนของคุณในเรื่องนี้
คุณเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวนะคะขอบอก
เพราะไม่ได้หนีปัญหาแต่มาเผชิญและเคลียร์ปัญหาต้องขอชื่นชมคุณมากนะคะ

จากการอ่านคำตอบดังกล่าวก็เคลียร์และเข้าใจคุณแล้วนะคะ
ไม่ติดใจอะไร

แต่อยากทำความเข้าใจในประโยคที่ "หญิง" เขียนพิจารณาดูข้อความใหม่นะคะ

ดูวิสัยทัศน์คุณแล้ว คุณยังงมงายกับชายที่เป็นนักโทษที่หลบหนีหัวซุกหัวซุน
คุณเป็นทนายความไม่ได้หรอกถ้ายังแยกคนดีและคนไม่ดีไม่ออก
หรือใครให้เงินคุณก็เห็นว่าเขาดี ใช่ไหมคะ

จึงคิดถึงเขา

 

จากประโยคข้างต้น จะเห็นได้ว่า "หญิง" ไม่ได้ดูถูกดูแคลนคุณนะคะ
หญิงกันตัวเองจึงใส่คำว่า "ถ้า" นะคะ

ส่วนประโยคหลังที่มีคำว่า "ใช่ไหมคะ" ก็แค่ถามคุณว่าใช่หรือเปล่าคะ ไม่ได้ปรักปรำอะไรคุณเลยนะคะ

เอาเป็นว่า จากการสนทนาครั้งนี้ทำให้เรามาเป็นเพื่อนการสนทนาเสวนาเรื่องราวต่างๆในอนาคตกันดีกว่าคะ
แล้วจะไปเยี่ยมคุณตามโอกาสที่เหมาะสมนะคะ :))

ขอบคุณมากคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท