ไทยยังเป็นศูนย์กลางของอาหารแห่งโลก ในยามที่เศรษฐกิจด้านการเงินป่วยหนัก...เพราะอย่างไรเสีย คนก็ต้องกิน และยังไงๆ เรื่องของปากท้องก็จะต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ
ดิฉันได้มีโอกาส ไปเที่ยวชม
งานวันเกษตรแห่งชาติ ประจำปี 2552 30 ม.ค.- 7 กุมภาพันธ์ 2552
จัดโดย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ วิทยาเขต บางเขน กทม.
ปีนี้ ดิฉันมีความสนใจเป็นพิเศษ ที่จะเข้าไปชมงานนี้
เนื่องจากตั้งแต่กลางปี 2551
เริ่มปรากฏเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจโลกอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่เศรษฐกิจไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปี 2552 เป็นปีที่วิกฤตเศรษฐกิจลุกลามกว้างขวางที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
และวิกฤตครั้งนี้อาจกินเวลานานประมาณ 4-5 ปี
ตามข่าว ประเทศต่างๆจะ
มีดัชนีผลผลิตทางอุตสาหกรรมลดต่ำลงอย่างหนักและส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ
7-10 โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงคือ
ประเทศที่พึ่งการผลิตทางอุตสาหกรรมและมีการก่อหนี้มาก
ในการประชุม the World Economic Forum's annual
meeting
"Shaping the Post-Crisis
World"หรือ ดับเบิ้ลยูอีเอฟ ครั้งที่ 39 Davos-Klosters, Switzerland,
ระหว่างวันที่ 28 ม.ค.1 ก.พ.2552-
นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
คุณอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ได้ไปปราศรัยภายใต้หัวข้อ
"Rebooting the World Economy" และเรื่อง "
Fresh Solutions for Food
Security"
โดยเน้นย้ำว่า ไทยยังเป็นศูนย์กลางของอาหารแห่งโลก
ในยามที่เศรษฐกิจด้านการเงินป่วยหนัก...เพราะอย่างไรเสีย คนก็ต้องกิน
และยังไงๆ เรื่องของปากท้องก็จะต้องมาก่อนเรื่องอื่นๆ นายกฯ
ของไทย เสนอตัวเองเป็นผู้ประสานด้าน
"ความมั่นคงทางอาหาร"
โดยเฉพาะผลผลิตทางด้านการเกษตรที่จะประคับประคองให้โลกมีความพอดีทางด้านอาหารการกิน
ขณะที่ต้องต่อสู้กับภัยทางด้านเศรษฐกิจ
ดังนั้น ประเทศเกษตรกรรมอย่างเรา แม้จะไม่ร่ำรวย
แต่ก็คงพอเอาตัวรอดได้ อย่างน้อย เราก็ปลูกข้าวกินเอง
และขายคนอื่นด้วย ที่โชคดีไปกว่าประเทศเรา น่าจะเป็น
อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ซึ่งขยายตัวช้าในอดีตที่ผ่านมาคล้ายคลึงกับไทย
อาจเป็นประเทศในภูมิภาคนี้ที่ได้รับผลกระทบหนักน้อยที่สุด
งานนี้ เป็นงานใหญ่
ที่จัดเป็น 11โซนด้วยกัน เดินไป ชมงานไป ไม่ร้อนเลย
เริ่มตั้งแต่ส่วนที่ 1 เป็นผลิตภัณฑ์ของทางมหาวิทยาลัยฯ ส่วนที่ 2คือ
ต้นไม้ ไล่ไปเรื่อยๆ เป็น สินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี่
สินค้าอุปโภค บริโภค ศูนย์อาหาร ตลาดนัดหนังสือ เป็นต้น
ดิฉันได้อุดหนุนสินค้าต่างๆ เป็นระยะๆ
แต่ที่สนใจมากที่สุดคือ
นิทรรศการงานวิจัย ชื่อว่า "บนเส้นทางงานวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปี 2552"ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ
ดิฉันไปชม ตรงบูธ ที่แจ้งว่า นักวิจัยและผลงานวิจัย
ที่ได้รับรางวัล ปี 2550-2551 สนใจ และใช้เวลาอยู่กับเรื่อง ข้าว
นานหน่อย
ข้าว เป็นอาหาร ที่ใช้เมล็ดพันธู์ตามธรรมชาติ
มาบริโภคได้โดยตรง ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าว จึงมีภาพลักษณ์ว่า
เป็นอาหารธรรมชาติ มีงานวิจัยเรื่อง
ข้าว เช่น ผลงานวิจัย
ที่บูรณาการองค์ความรู้ด้านความหลากหลายทางชีวภาพของข้าวกับความก้าวหน้าทางจีโนมิกส์
มาใช้ในการค้นหาตำแหน่งและหน้าที่ของยีนส์
ที่สำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวคุณภาพและผลผลิตที่ดีขึ้น
รวมทั้งเรื่อง ข้าวกล้องงอก ที่เพิ่ม
GABAและกระทงทองกรอบนนทรี เป็นต้น
หลังจากชมนิทรรศการเรื่อง ข้าว
นี้แล้ว ดิฉันรู้สึกดีใจ
ที่ประเทศเรายังมุ่งมั่นที่จะทำงานวิจัยเรื่อง ข้าว
อย่างต่อเนื่องทุกขั้นตอน ไม่ว่า
จะเป็นเรื่องพันธุ์ การผลิต การแปรรูป การตลาด
ตลอดจนเรื่องวัฒนธรรมและสังคม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการ ที่เรา
จะเป็นศูนย์กลางอาหารของโลกต่อไป
คนไทย มีความผูกพันกับข้าว มานานกว่า 5,500 ปี
โดยพิจารณาจากหลักฐานการค้นพบรอยพิมพ์ของเปลือกข้าวที่โนนนกทา
อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น อีกทั้งยังรับประทานข้าวเป็นอาหารหลักมานาน
จนใช้คำว่า "กินข้าว" แทน "กินอาหาร"
และอาหารที่รับประทานกับข้าว ก็มักเรียกว่า "กับข้าว" นอกจากนี้
ข้าวยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ในพิธีกรรมต่างๆ
คนไทยนิยมอวยพรด้วยการโปรยข้าวตอกดอกไม้เพื่อความเป็นสิริมงคล
ในงานบุญประเพณีต่างๆ มากมาย
ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ
ข้าวกล้องงอก กาบาไรซ์ เป็นผลงานวิจัยของ
ม.เกษตรศาสตร์ ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น
เมล็ดข้าวมีความนุ่ม หอมและรสชาติหวานกว่าข้าวทั่วไป
สามารถหุงได้โดยไม่ต้องผสมข้าวขาว เก็บไว้ได้นาน 6 เดือน
โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น จะหุงรับประทานหรือบดให้ละเอียด
ก่อนนำไปต้มดื่ม ก้ได้คุณค่าอาหารครบถ้วนเช่นกัน
ข้าวกล้องงอกกาบา
เป็นการนำข้าวกล้องมาผ่านกระบวนการงอก
ซึ่งผลที่ได้จากกระบวนการนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณ สารกาบา
gamma amino butyric acid
(GABA) ในข้าวกล้อง สารดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มโปรตีน
ที่ช่วยบำรุงเซลล์ประสาท
ทั้งยังทำให้สมองเกิดการผ่อนคลายและนอนหลับสบาย ข้าวกาบา
ที่ได้รับรางวัลจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ
เกิดจากข้าวกล้องที่นำมาทำให้งอกก่อนเป็นต้นอ่อน
เพื่อให้เกิดสารกาบาสูงสุด มากกว่าในข้าวกล้องธรรมดาถึง 15 เท่า
ทั้งยังมีใยอาหาร วิตามินอี วิตามินบี1 บี2 บี6 แคลเซียม เหล็ก
แมกนีเซียม กรดอะมิโนสูงขึ้นด้วย
สนใจข้าวกาบา Nutra Gaba Rice
ติดต่อโดยตรงที่ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร
มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ บางเขน โทร.0-2579-0572,
0-2942-8629-35 ต่อ 107-8 หรือศูนย์วิจัยการเกษตรข้าว
โทร.0-2561-2182, 0-2561-2082 ราคาถุงละ 80 บาท บรรจุ 450
กรัม
ไปคราวนี้ ซื้อ
น้ำข้าวกล้องงอก มาทดลองดื่มด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนงานวิจัยนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องมากที่น่าสนใจ
เช่น KU
WAX นวัตกรรมสารเคลือบผิวผลไม้
ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ
ได้รับรางวัลชมเชยมาได้จากเวที
"นวัตกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ครั้งที่ 1"
หรือ The 1st Sci & Tech Innovation and Sustainability Awards
KU WAX
เป็นสารเคลือบผิวผลไม้ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ
และผ่านการรับรองความปลอดภัยในการบริโภค
ช่วยลดการสูญเสียน้ำหนักจากการคายน้ำได้ดีกว่า และยังช่วยชะลอการสุก
ยืดอายุการเก็บรักษาได้นานยิ่งขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่น่าสนใจมากๆ คือ
อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คิดค้นระบบตรวจจับยานพาหนะโดยใช้ Red Light
Camera กล้องตรวจจับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำมาติดตั้งใช้งานจริงใน 30
ทางแยกที่สำคัญของกรุงเทพฯ และมีปริมาณการจราจรจำนวนมาก
ดิฉันคงไม่สามารถ เขียนสิ่งที่ได้ไปชม ลงในบันทึกนี้ได้หมด
คงจะขอแยกกล่าวถึงเรื่องพลังงาน
และสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ในบันทึกต่อๆไป เพื่อไม่ให้่ยาว
เกินไป
หมายเหตุ:::ข้อมูลที่เกี่ยวกับงานเกษตรแฟร์ ทั้งหมด
ได้รับจากแผ่นพับที่แจก
และการอธิบายของวิทยากรในงาน