เพื่อน เพิ่มพูนพลัง คนพิการ


ต้องทำให้เขาเห็นว่าเราพิการแต่กาย ใจและความคิดเราไม่ได้พิการ

        งานคนพิการพัลุงได้ขับเคลื่อนมาพอสมควร  มีการจัดตั้งชมรมคนพิการอำเภอ  และมาเป็นสภาคนพิการทุกประเภทของจังหวัดพัทลุง  โดยมีชมรม ผู้พิการทางสายตาเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อน  ร่วมกับไตรภาคี  มี รัฐ ราษฎ์ ผู้พิการ และทีมงาน ศวพถ  (ศูนย์ประสานงานเครือข่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น) ทำหน้ที่พี่เลี้ยงเอื้อ อำนวยตลอดมา

ชมรมปากพะยูน โดยการประสานงานของโรงบาลปากพะยูน  ได้จัดโครงการเพิ่มพูนพลังคนพิการเพื่อให้คนพิการเรียนรู้  ในจัดการกลุ่ม  จึงได้นำผู้พิการไปเยี่ยมเพื่อนต่างอำเภอ โดยการร่วมมือกันระหว่างโรงบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ไปเยี่ยมเพื่อนทีอำเภอ  ควนขนุน จังหวัดพัทลุง

   เมื่อวันที่ 24 กย.นี้  ผู้พิการและเจ้าหน้าที่ร่วม 30 คน 1 รถตู้ 2 รถกะบะ มุ่งหน้าสู่ควนขนุน

ถึง สนง สสอ.(สำนักงาน สาธารณสุข อ. ควนขนุน ทีมงานผู้พิการมายืนรอรับด้วยความปิติ  พร้อมเปิดเพลงคนพิการประจำชมรมให้ฟัง คุณ ชุติมา ผู้ประสานงานชมรม กล่าวต้อนรับแนะนำเครือข่ายชมรม

จากนั้นมอบเวทีให้ 2ฝ่าย  แลกเปลี่ยน พูดคุยกัน

//สรุปการแลกเปลี่ยนจาก  ป้าวัน ว่า  คนพิการต้องลุกขึ้นมาจัดการตัวเอง    อย่าให้ถูกมองว่าเป็นภาระของสังคม ต้องทำให้เขาเห็นว่า เราพิการแต่กาย  ใจและควมคิดเราไม่ได้พิการ  ขณะนี้เราตั้งฌาปณกิจขึ้นมาดูแลพวกเรา  เราเสนอแผนให้   อบต ร่างข้อบัญญัติเข้าสู่สภา  ส่งเสริมอาชีพคนพิการแล้ว  มันอยู่ตัวเรา  มันต้องให้ระเบิดความคิดมาจากข้างใน  แล้วมีพลัง ใม่กลัวกล้าในสิ่งที่ถูกต้อง    ฝากให้น้องไหม่ปากพะยูน  ไปชวนเพื่อนคิด    ชวนเพิ่อนทำ     แล้วนำมาขยายผล

สมควรแก่เวลาทีมปากพะยูน  ก็มอบเสียงคนตรีจาก ลุง เนง เนรุด ศิลปินประจำวงดนตรีพื้นบ้าน ที่   เล่นประจำอยู่ที่เขาชัน รีสอร์ททุกวัน  เดี่ยวซออู้เพลงพม่ารำขวาน   เห็นแววตาเปี่ยมสุขที่ลุงเนงที่เล่นดนตรีแล้วพวกเราที่ไม่พิการก็มีความสุขด้วย เหมือนอย่างที่ ครูหนิง สารคามพูดไว้ดังนี้

                                  ".....เพราะโลกนี้.....

                            ประกอบขึ้นด้วยความหลากหลาย

                       โลกจึงไม่จำเป็นต้องมีแต่มนุษย์ที่สมบูรณ์

                             แต่โลกที่หลากหลายควรประกอบด้วย

                       บุคคลที่มีศักดิ์ศรี  ทางจิตรวิญญาณ ที่ทัดเทียมกัน  เสมอกัน

                            และศรัทธาในคุณค่าของกันและกัน

                        เพื่อจะเป็นสังคมที่มีทั้งคนพิการและไม่พิการ

                         อาศัยอยู่รวมกันอย่างศานติสุข

 

  

 

หมายเลขบันทึก: 211618เขียนเมื่อ 26 กันยายน 2008 00:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:35 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

สวัสดีค่ะ  คุณบังหีม

  • ครูอ้อย มาอ่านด้วยความตั้งใจ และมองเห็นความตั้งใจ ของท่านเลยค่ะ
  • ครูอ้อยมาเป็นกำลังใจให้กับพี่น้อง ผู้พิการแต่กาย แต่ใจเต็มร้อยสู้สู้ค่ะ
  • แล้ว ครูอ้อย จะเขียนคำประพันธ์ สดุดี สำหรับผู้พิการกาย แต่ใจ สู้สู้ ดีไหมคะ
  • วันนี้ขอพักสมองก่อนะคะ
  • ขอบคุณค่ะที่ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กันและกันค่ะ

รักษาสุขภาพนะคะ

//สวัสดีครับครูอ้อย

ขอบคุณแทนผู้พิการด้วยครับ

จะรอคำประพันธ์ของท่านไป นำไปมอบให้ผู้พิการทุกคน ครับ

//ขอบคุณไมตรีแห่งความห่วงไยสุขภาพ

  • ลึกซึ้ง
  • ชัดเจน
  • ปฏิบัติตามได้
  • พึ่งตนเองได้
  • ที่อื่น เอาเป็นกรณีศึกษาได้
  • น้องบาย ขอคารวะปราชญ์เมืองลุง

ชยพร แอคะรัจน์

มาอ่านแล้วได้ข้อคิดดีดีครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับบังหีม

              ดีจังหูครับ...ได้เห็นความตั้งใจของคนที่อาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายไม่เท่าเทียมเพื่อน...แต่กำลังกายกำลังสมองยังมีอยู่...สนับสนุนให้เขาขับเคลื่อน...แล้วเขาจะไม่เหงา เราที่ร่วมมือได้บุญด้วยครับ ที่สามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วกัน...เชียร์ครับ

             วันหลังหลบบ้านแล้วค่อยแวะไปเยี่ยมนะครับ

                                                      โชคดีครับผม

สวัสดีครับคุณ ลดา

ขอบคุณที่มาให้กำลังใจ ว่างๆแวะมาใหม่น่ะครับ

สวัสดีครับ น้องบ่าว ชยพร

//อย่า ยอแรงต๊ะ บัดสี(อย่าชมมากเขิน)

///พวกเราองคืกรชาวบ้าน ต้องพัฒนายกระดับความคิด สร้างกระบวนการเรียนรู้ ให้ชาวบ้านรู้จักคิด รู้จักทำ (ยอน)

//และต้องเป็นแบบอย่างด้วย ..อย่าเท่าแต่แหลง(อย่าเอาแต่พูด)

/////ต้องทำให้ดู

/////ต้องอยู่ให้เห็น

/////ต้องเป็นให้จริง

ในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย แล้วชาวบ้านจะศรัทธาครับ

//สวัสดีครับ คุณ คนพลัดถิ่น

แล้วจะแวะไปเยี่ยมท่านน่ะครับ

//สวัสดีครับ ท่าน ผอ.

ขอบคุณกำลังใจที่มีให้ไม่ขาดสาย

ขอให้ท่านมีความสุขเช่นกันครับ

///สวัสดีครับท่าน นายช่างใหญ่

ผมทำงานกับชมรมผู้พิการได้หลักคิด ได้ความรู้เยอะมาก

คนตาบอดสอนผมหลายมากจริงๆ

ฟิ้วววววววว....วว...

.........ส่งกำลังใจไปให้.....โปรดรับไว้ด้วย......เน้อ..ฟิ้ว...วว.ววว

มาชม คุณบังหีม

เออ...จริงสินะ ใจต้องไม่พิการนะ

สว้สดีครับ อาจารย์ ยู เอ็ม ไอ ได้เรียนรู้กับคนพิการหลายเรื่อง ที่แรกนึกว่าพวกเขาคือ ภาระสังคม เอาเข้าจริงพวกเขาสร้างสังคมและช่วยสังมได้มากมายจริงๆ

สวัสดี ลูกคุณสอบ ป โทเสร็จยัง

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน

จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง

โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน ' ใครขโมยเงินไป' พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า ' ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ'

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

' ผมขโมยเองครับ'

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

' ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก

แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย'

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้

หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

' พี่ครับไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว'

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน

ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย

ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

' ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ'

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อได้พูดว่า

' แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน'

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า

' ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว'

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

' ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน

พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้'

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า

' ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้'

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด

น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น

และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว

ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

' พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....

ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่' ฉันนั่งอยู่บนเตียง

อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......

ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน

รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น

กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......

ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก

เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า ' มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ'

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???

ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่

ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง

ฉันถามเขาว่า ' ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ'

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า

' ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ

ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี'

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ

' พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม'

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า

' ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง' ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด

ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า

หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

' แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก

เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ' แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า

' แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก

วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน

ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ

น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ'

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา

ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด ' เจ็บมากไหม' ฉันถาม

' ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ

มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ

และ...' น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด

เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

' เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ'

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง

หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน.

แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว

ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า

' พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง'

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว

เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท

.

แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้

เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล

และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา

ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า ' ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!

ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้

ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้! าง'

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด

ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา

' พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน

ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ

คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด'

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... ฉันบอกกับน้องว่า

' แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...'

' ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ'

น้องชายของฉันจับมือฉันไว้

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี

เขา! ได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน

ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า

' ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้'

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล ' พี่สาวของผมครับ' .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้

' ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม.

เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน

วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง

พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง

และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล

เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว

เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น

ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี

และจะทำดีกับเธอ' เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว

สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน

คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

' ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ'

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...

จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา

คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ

แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง

ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน

หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

T_T

น่าเบื่อบังหีมจริงๆเลย

หนูไม่เห็นด้วยกับพี่ umi เลยค่ะ คนพิการไม่น่ารังเกียจสักนิด

รู้สึกดีกับบังหีมด้วยคะ เอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้นะคะ

คิดถึงบังจัง ไม่ได้เห็นหน้าที่โรงบาลหลายวัน เพิ่งจะเข้ามาเห็นว่าเล่าถึงเรื่องพาเที่ยวควนหนุน ขอบคุณ และจะพยายามทำต่อไป แม้ว่าจะแจ็บแบ็ดหัวเหม็ด เพราะต้องส่งโครงการก่อนวันท่ 15 ม.ค.

+สวัสดีครับคุณ เก๋น้อย

ขอบคุณความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกัน ขอส่งต่อความรู้สึกดัๆส่งผ่านไปถึงคนพิการทุกท่านครับ

+สวัสดดีครับคุณ คนบ้านบัง ป่วยเสียหลายวันจึงไม่ได้ทำงาน ครับ

มีโอกาสขอเรียนรู้เรื่องโครงการด้วยครับ ขอบคุณที่เข้ามาให้กำลังใจครับ

สวัสดีครับคุณ เก๋น้อย ช่วยกันเพิ่มพูนพลังคนพิการ ให้มีความมั่นคงในสถานะภาพครับ

คนบ้านบัง ช่วยกันสานฝันให้เกิด ชมรมคนพิการของปากพะยูนได้แล้ว ขับเคลื่อนอำเภออื่นมานานแล้ว อำเภอเราเองยังไม่ได้จัดการ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท