บายศรีสู่ขวัญ


บายศรีสู่ขวัญ

 

           วันนี้เป็นวันที่ 14 มิถุนายน 2551 อันเป็นวันเสาร์กลางสัปดาห์ที่อากาศค่อนข้างจะแปรปรวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน รวนเรเสียจนตั้งตัวไม่ทัน มันดูคล้ายสตรีวัยหมดระดูที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวนั่นแหละ ผมได้ย้อนรอยเข้าไปในอดีตอีกครั้ง อดีตที่คิดถึงทีไรก็ต้องมานั่งบันทึกอีกหน

            เมื่อครั้งที่ผมเข้ามาเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในปี พ.ศ. 2533 นั้น ในเดือนแรกของการเรียนนับว่าเป็นเดือนที่โหด โหดที่ต้องร่วมกิจกรรมอะไรต่างๆมากมาย ตั้งแต่ประชุมเชียร์ ที่ต้องไปยืนเข้าแถวให้พี่ๆด่าอยู่หน้าอาคารบริหารคณะแพทย์ ด่ากันทุกวัน ตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม นี่ยังไม่นับที่ต้องไปยืนเข้าแถวกันตั้งแต่ 6 โมงเย็น สงสารสาวๆที่ต้องยืนพร้อมกัน เพราะเธอเหล่านั้นสวมกระโปรง ในช่วงเวลาโพล้เพล้เช่นนั้นก็เป็นช่วงเวลาอาหารเย็นของบรรดาเหล่ายุงทั้งหลาย ที่ต่างพากันกรูเข้าไปหาเลือดดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำ ก็จะที่ไหนซะอีกถ้าไม่ใช่ใต้กระโปรง น่าสงสารยิ่งนัก

            พี่ๆด่าเราได้ก็ช่วงเย็นถึงค่ำเท่านั้นแหละ ทว่าหลัง 4 ทุ่มไปแล้ว พวกเราน้องปี 1 ก็จับกลุ่มกันด่ารุ่นพี่เสียแหลกลาญ บางคืนก็ล่วงไปจนถึงตี 3 เป็นอันว่าบรรลุจุดประสงค์ของรุ่นพี่ที่ทำให้เรารู้จักสนิทสนมกันได้โดยเร็วที่สุด 

            ตลอด 2 สัปดาห์แรกนั้น เราถูกรับน้องใหม่เกือบทุกสัปดาห์ จนล่วงมาสัปดาห์สุดท้าย วันที่ต้องเดินออกจากห้องเชียร์ไปรวมกันบริเวณลานพระรูปพระราชบิดา เพื่อให้พี่ๆด่ากันอีกรอบใหญ่ แต่ลงท้ายด้วยการมอบและผูกเน็คไทร์ให้น้องๆ ฉากนี้เรียกน้ำตาบางคนได้จริงๆ แต่นั่นก็ยังไม่จบ เพราะเมื่อออกจากลานพระรูป พี่ๆก็ยังคงต้อนให้เราเดินแถวเรียงหนึ่งไปทางโรงพยาบาล ออกไปทางด้านหลังผ่านหอพักบินหลา 2 เลี้ยวซ้ายเดินไปตามฟุตบาท ผ่านหอพักประสานใจ 1, 2, 3 ผ่านสระน้ำที่มีศาลากลางน้ำ มองไปทางขวาก็เห็นอาคารเล็กๆ ตะคุ่มๆอยู่ตรงนั้น มีลานจอดรถรถอยู่ด้านหน้า แต่ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นแสงเทียนแวบวับสลับแสงไปมาทำให้บริเวณมืดๆนี้สว่างไสวไปจนทั่ว เราเห็นพี่ๆจุดเทียนยืนเรียง 2 แถว ตั้งแต่ลานจอดรถ ตลอดจนลึกเข้าไปในตัวอาคารที่พวกผมทราบมาว่ามันคืออาคารนันทนาการของคณะแพทย์ หรืออีกชื่อหนึ่ง โวค คือชื่อของมัน พี่บางส่วนขึ้นไปยืนบนหลังคา และส่วนมากยืนในตัวอาคาร

            เมื่อเดินใกล้เข้ามาก็ได้ยินเสียงบรรดาพี่ๆทั้งหลายร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่เพลงเชียร์ที่เราเคยได้ยิน มันช่างไพเราะเสียเหลือเกิน ด้วยรักนี้ พี่ให้แด่น้อง ห้องทุกห้อง ดวงใจพี่ให้หมดสิ้น คำทุกคำ แพทยศาสตร์สงขลานครินทร์ ยังได้ยินก้องหทัย ยังได้ยินก้องหทัย.......... น้ำตาแทบไหลเมื่อได้ยิน พี่ร้องได้เพราะ สงบ ซึ้ง บอกไม่ถูกจริงๆครับ

            เราถูกต้อนด้วยแถวของพี่ให้เดินเข้าไปในอาคารนันทนาการ คณะแพทย์ ซึ่งในที่นั้นมีอาจารย์นั่งรอเราอยู่เป็นวงกลม ที่กลางวงมีพานใหญ่วางอยู่ มีพราหมณ์นั่งอยู่อีก 1 คน เมื่อพวกเรานั่งลง เพลงที่พี่ๆร้องก็จบ พราหมณ์จึงเริ่มกล่าวคำเรียกขวัญ เป็นภาษาอีสาน

            นี่ก็คือที่มาของพิธีการ บายศรีสู่ขวัญ เรียกขวัญของน้องๆปี 1 ที่มาจากต่างทิศ ต่างโรงเรียน ให้มาอยู่รวมกันเป็นขวัญสงขลานครินทร์ แล้วอาจารย์ก็ผูกด้ายขาวที่ข้อมือของพวกเราพร้อมการเอ่ยต้อนรับ นั่นเป็นสุดยอดของพิธีรับน้องใหม่ที่ผมให้เป็นเบอร์หนึ่งตลอดกาล

            ทราบมาว่าเพลงที่พี่ๆร่วมกันร้องนั้น เขายกให้เป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์ของคณะ เป็นเพลงที่น้องปี 1 ห้ามร้อง ทั้งหมดมีอยู่ 2 เพลงซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เขาเล่าว่า มีพี่คนหนึ่งซึ่งอยู่รุ่น 4 แต่งเอาไว้ เขาเรียนไม่จบเพราะมีปัญหาทางจิต เพลงนี้ใช้ในงานรับน้องมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นั่นจึงเป็นเหตุผลอันชอบธรรมที่ห้ามปี 1 ร้องกัน

            จบงานนี้ก็เป็นการแสดงต้อนรับน้องจากรุ่นพี่ๆปีต่างๆ อาจารย์ก็มีการแสดงด้วยเช่นเดียวกัน ตบท้ายด้วยการเปิดดิ้สโก้เทค บรรยากาศบ้านๆน่าประทับใจ แล้วเราก็ถูกพาให้ขึ้นหอพักสำหรับนักศึกษาแพทย์บินหลา 1 และ 2 เพื่อนอนกับบรรดาพี่รหัสของตนเอง

            เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเข้าใจ ว่าการถูกรับน้องแบบหมู่นั้นเป็นเช่นไร เราถูกนำให้เดินไปทางถนนคณะทรัพย์ตั้งแต่ตี 5 ออกไปจนถึงอ่างน้ำ แล้วก็เริ่มถูกรับน้องเรียงตามชั้นปีของพี่เลย ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บใจที่ถูกหลอกให้ตายใจไปเมื่อคืน ทั้งสกปรก ทั้งลามก แต่ไม่มีใครบาดเจ็บหรือตาย จะมีตายอยู่อย่างเดียวก็คือเสื้อขาวตัวโปรดที่ใส่ไป เพราะมันไม่เคยมีสีขาวสะอาดอีกเลยนับจากนั้น

            มาจนบัดนี้ ปีที่เป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่นี่มา 8 ปี ผมได้มาร่วมงานบายศรีสู่ขวัญอีกหลายครั้ง ปีนี้หรือวันนี้ เป็นครั้งแรกที่เขาย้ายมาจัดที่หอพักใหม่ที่มีชื่อว่า บินหลา 4 ผมแบกเจ้าตัวเล็ก 2 ตัวมาร่วมงานด้วย

            ผมและลูกมาถึงงานราว 18.30 น. ตอนนั้นเด็กๆปี 1 กำลังถูกต้องให้เดินเข้าตึกด้วยแถวของพี่ๆเช่นเคย พี่ๆจุดเทียนเหมือนทุกๆปี แต่ที่ผมรู้สึกแปลกไปก็คือเสียงเพลงที่ไม่ใช่เพลงที่เราเคยฟังมาแต่เก่าก่อน น่าจะเป็นเพลงที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่ ผมไม่ได้มาร่วมงานประมาณ 2-3 ปี เข้าในงานวันนี้เลยประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้น บอย นักศึกษาแพทย์ที่รู้จักได้พาไปพักผ่อนอยู่ที่ชั้น 2 รอจนมีอาจารย์มาหลายคนและเมื่อได้เวลาเราก็ถูกเชิญลงไปข้างล่าง และออกไปอยู่หน้าตึก เมื่อพร้อมเพรียงกัน นักศึกษาแพทย์ประมาณ 10 คนที่แต่งกายชุดไทยสวยงาม คนหนึ่งแบกพานพุ่มบายศรีเอาไว้ ก็เดินนำเหล่าบรรดาอาจารย์ทุกท่านเดินเข้าไปในลานพิธีในตึกบินหลา 4

            งานวันนี้ไม่มีพราหมณ์เหมือนเคย อาจารย์กันยิกา ซึ่งเป็นรองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาจุดธูปเทียน กราบพระ ให้พร ก็เป็นอันเสร็จ ตามมาด้วยรำบายศรี ที่นักศึกษาแพทย์รำเองอย่างสวยงาม ท่านคณบดีกล่าวต้อนรับ แล้วเราก็ผูกข้อมือลูกศิษย์ปี 1 จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยเหล่าบรรดารุ่นพี่ที่กรูกันเข้ามาเพื่อเอาด้ายที่เหลือมาขอให้อาจารย์ผูกข้อมือด้วยอีกหน ผมเองก็เจอพวกปี 2 ที่ต่างเข้ามาหาเพราะว่าเรารู้จักกันเมื่อครั้งไปเขาพรายดำเมื่อปลายเดือนที่แล้ว

กระทั่งราวๆ 2 ทุ่มก็ได้แยกย้ายจากกันไป

รู้สึกคิดถึง ระลึกและโหยหาความหลัง จนต้องมานั่งแหกตาเขียนเรื่องราวยามดึกตอนนี้ สองยามแล้ว ผมก็ยังไม่รู้สึกง่วงนอน คุยกับจิ๋มเรื่องเพลงรับน้อง พยายามร้องกันสองคนแต่ก็ไม่จบ เพราะมันเลือนไปนานแล้ว อีกเพลงนั้นเราจำเนื้อร้องและทำนองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ไม่เป็นไร หากใครที่เป็นศิษย์เก่า เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน ใครยังคงจำเพลงได้ก็กรุณาเถอะครับ มาช่วยกันเติมแต่งความทรงจำของเราทั้งคู่ จักเป็นพระคุณยิ่ง

หมายเลขบันทึก: 188118เขียนเมื่อ 15 มิถุนายน 2008 00:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

อ่านแล้วขนลุกไปกับบรรยากาศสมัยอ.หมอแป๊ะกับคุณหมอจิ๋มนะคะ แล้วแบบใหม่นี่น้องๆเขาจะได้ความรู้สึกนั้นไหมคะนี่ พรุ่งนี้พี่โอ๋ก็จะไปรับขวัญน้องๆคณะเทคนิคการแพทย์ คณะใหม่ของเราชาวม.อ.ด้วยค่ะ แล้วจะเก็บบรรยากาศมาฝากบ้าง

  • ครูอ้อย ไม่ได้มาเติมเพลงให้นะคะ  เพราะร้องไม่เป็น
  • แต่มาอ่าน ด้วยความคิดถึง  บายศรี  เหมือนกันค่ะ
  • ทุกวันนี้  ก็ปลื้มใจ และขนแขนสแตนอัพ  เวลานักเรียนกล่าวคำไหว้ครูค่ะ

คิดถึงนะคะคุณหมอ  ฝากหอมแก้มหลานทั้งสองด้วยค่ะ

บางทีเราต้องยอมรับว่า การรับน้องเป็นทั้งพิธีกรรมและประเพณีนิยมในมหาวิทยาลัย...

กิจกรรมเหล่านี้  เป็นปฐมบทของความเป็นหนึ่งเดียวได้เหมือนกัน

สวัสดีค่ะคุณหมอแป๊ะ

สมัยเรียนปี 1 พี่หนิงเคยผ่านว๊าก  แต่ไม่เคยลอดซุ้ม เพราะไม่สบายเลยโดนรุ่นพี่กันออกไว้ เลยไม่มีรูปหน้าตลกๆเก็บไว้เลยค่ะ  ยังเสียดายเท่าทุกวันนี้  แล้วพอปี 2 เป็นว๊ากเกอร์ซะเอง  อิอิ

ชอบที่คุณหมอว่า...บายศรีไม่มีพารหมณ์อ่ะค่ะ  ให้อาจารย์ผู้ใหญ่ผูกข้อมูกันเลย  เพราะหลายหนที่พี่หนิงได้ร่วมพิธีบายศรีนั้น  พี่หนิงอดขำพ่อพารหมณ์ไม่ได้ที่ ที่กล่าวบทสวด บทอวยพรผิดก็มีอ่ะค่ะ  เพราะพราหมณ์ในปัจจุบันหายากแล้ว  เนอะ  ที่จริงก็เข้าใจว่าพิธีก็ต้องมีพราหมณ์  แต่ถ้าหาที่พราหมณ์จริงๆไม่ได้  น่าจะอนุโลมตัดไปเนอะ  ให้อาจารย์ผู้ใหญ่ผูกก็ขลังเหมือนกันแหละ  ดีกว่ามีมาแล้วกล่าวบทสวดผิดให้ขำๆอีกน๊า...

 

บรรยากาศความหลังนี่ นึกทีไรก็มีความสุขแอบยิ้มเล็กๆเหมือนกันนะครับ

ตอนที่ผมได้รับพระราชทานปริญญาบัตร ตอน ป.โท ที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ผมจำได้ว่าพวกเรามหาบัณฑิตยืนอยู่ระหว่างช่องว่างตึกทั้งสี่ด้าน มีเสียงเพลง มอชอ.กระหึ่ม พร้อมกับ กลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมาเต็มท้องฟ้าไปหมด ...

บรรยากาศนั้นเหมือนฝันครับ ผมเห็นน้องๆ อยู่ทุกชั้นของตึก พร้อมโปรยกลีบดอกไม้ลงมา...

เป็นความสุขที่ผมระลึกถึงเสมอ

 

พี่โอ๋นี่นอนดึกจริงๆ คนอาไร๊ ที่ว่าขนลุกสงสัยเป็นเพราะหนาวนะพี่นะ

น้องๆเขาก็ซึ้งในรุ่นเขานั่นแหละครับ อันนี้คงเปรียบเทียบกันไม่ได้ บริบทของแต่ละรุ่นนั้นย่อมแตกต่างกัน

ปีนี้คณะเทคนิคการแพทย์มีมีชีวิตครับ ขึ้นกับคณะแพทย์หรือคณะเขาเอง แต่เอ๊..ไม่ได้มาร่วมไหว้ครูกันด้วยนี่นา เสียดายจัง

สวัสดีครับครูอ้อย

ขนแขนสแตนด์อั๊พเลยเหรอครับ เหมือนกันเลย

อาจารย์แผ่นดินแดนไทยครับ

ความเป็นหนึ่งเดียว สร้างได้รวดเร็วเหลือเชื่อ

ขอให้เกลียดอะไรเหมือนกัน รับรองว่า ทุกคนรวมตัวกันได้อย่างรวดเร็ว

แปลกนะครับ ที่คนที่ชอบอะไรมากๆเหมือนกัน กลับไม่ก่อให้เกิดการรวมตัวกัน

ยกเว้นข้อหนึ่ง

ก็คือคนที่รักในหลวงนะสิครับ รวมตัวกันได้พร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ

พี่หนิงครับ

แบบนี้เรียกว่าเอาเปรียบกันครับ ฮา

ปีนี้น้องๆเขาก็อยากให้มีพราหมณ์นั่นแหละครับ เพียงแต่ท่านไม่ยอมมาร่วมงาน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลกลใดแน่

แต่ก็ดีครับ ผมกลับชอบมากกว่า เพราะมันน่าจะเป็นงานระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์เท่านั้น

แบบว่าแก่แล้วครับคุณเอก

ชอบระลึกถึง

มีคนคนหนึ่ง เข้ามาเติมบทเพลงให้ใน share ของผม เลยเอามาฝากในนี้ให้อ่านด้วยครับ ใครที่อยากจะแต่งเติมความทรงจำเกี่ยวกับบทเพลง ก็ขอความกรุณาใส่ลงมาเลยนะครับ

5. obf

เมื่อ อา. 17 ส.ค. 2551 @ 00:04

34351

จากนี้...ไม่มีคนอื่นคนไกล

อุปสรรคใดๆ จะร่วมฝ่าฟัน

ฝนยังตกมาฟ้ายังมืดมน

ไม่ว่ากี่หน..แต่ใจของเราไม่หวั่น

หล่อหลอม..หัวใจเป็นดวงเดียวกัน

รักยิ่งผูกพันรักมั่นไม่เสื่อมคลาย

(ญ)ด้วยรักนี้

(ช)ด้วยรักนี้

(ญ)พี่ให้แด่น้อง

(ช)พี่ให้แด่น้อง

(ญ)ห้องทุกห้อง

(ช)ทุกห้อง

(ญ)ดวงใจมองให้หมดสิ้น

(ช)พี่ให้หมดสิ้น

(ญ)คำทุกคำ

(ช)ทุกคำ

(พร้อมกัน)แพทย์ศาสตร์สงขลานครินทร์

ยังได้ยินก้องหทัย

(ช)ยังได้ยินก้องหทัย

แสงทองส่องฟ้านภาตระการ

มาร่วมประสานจิตใจสองใจให้มั่น

หล่อหลอมหัวใจเป็นดวงเดียวกัน

รักยิ่งชีวัน...ดวงใจเราพี่น้องเอย

คุณหมอคะ

คุณหมอทำให้คนแก่คิดถึงความหลังครั้งอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬา วันที่รับน้องคณะ พี่เขาให้น้องๆถือเทียนคนละเล่มเข้าแถวเรียงกันไปที่ตึก ๑ หรือเทวาลัยของชาวอักษร ตึกเก่าโบราณที่แสนสวยงามของพวกเรา มีสองชั้น ที่บันไดขึ้นชั้นสองมีพระรูปของร.๕ และมีแท่นวางดอกไม้พานพุ่มต่างๆ ทุกครั้งที่เราเดินขึ้นลงจะยกมือไหว้พระรูปกันเป็นธรรมเนียม ในวันพิเศษนี้น้องๆถือเทียนเดินเป็นแถวขึ้นไปกราบพระรูป ส่วนรุ่นพี่อยู่ทั้งข้างล่างข้างบน ร้องเพลงจามจุรีศรีจุฬา ดังกระหึ่ม ที่สำคัญ คือ พี่ท่านเอาใบจามจุรีขึ้นไปโปรยลงมายังน้องๆที่ยืนเรียงแถวอยู่ ใบไม้ปลิวลงมาเป็นสาย อึ๋ย ขนลุกค่ะ แต่สงสารภารโรงด้วย ยังจำอยู่แม้จะผ่านไปนานมากแล้ว เขาสร้างตึกใหม่กันแล้ว ลูกสาวไปเรียนคณะนี้เหมือนกัน จบนานแล้วด้วย ขอบคุณนะคะ อย่างไรก็ตาม พิธีบายศรีสู่ขวัญนั้นเป็นพิธีของคนไท-ไทยที่ไม่ได้รับของพราหมณ์มาแต่อย่างใดค่ะ คนไท-ไทยเชื่อเรื่องขวัญกันทุกกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีขวัญต่างๆกัน ของไทดำมีมากที่สุดค่ะ ๘๐ ขวัญ เรียกขวัญกันข้ามวันข้ามคืนเลยค่ะ ไม่ต้องใช้พราหมณ์เรียกค่ะ มีหมอขวัญหรือคนเฒ่าคนแก่ก็พอ

รัตนาพร

ขอบคุณครับคุณรัตนาพร

ได้ความรู้เพิ่มเติมเรื่องทำขวัญมาอีกโขเลยครับ ขอบพระคุณจริงๆ

ที่ต้องบันทึกมา ก็เพราะว่าคิดถึงครับ คิดถึงวันเก่าๆ เราแก่แล้วใช่ไหมครับ น้องๆลูกศิษย์ตอนนี้ก็อายุห่างจากเราไปรอบกว่า เวลาเห็นเขาจัดกิจกรรม ก็คิดถึงเมื่อครั้งที่เราถูกปฏิบัติมา ขนลุกทุกทีเหมือนกันครับ

ยิ่งเพลงที่ผมใส่ลงมานั้น แล้วมีท่านหนึ่งลงเนื้อเพลงมาให้ทั้งหมด เพลงๆนี้มีความที่มาน่าสนใจ ผมกำลังรวบรวมประวัติศาสตร์ของเพลงประจำคณะอยู่ แล้วจะทยอยเล่าครับ

สิริชัย ธาดาประดิษฐ์ (สด Med31)

เพลงนี้ไม่ว่าจะร้องกี่ครั้ง ผมต้องขนลุกทุกคราไป

จำได้ว่าวันนั้นน้ำตาไหลพรากเลย

วันที่เห็นรุ่นพี่จุดเทียนรายล้อมพวกเรา

คอยผูกเนคไทให้ที่ละคน

ถาพที่เกิดขึ้นวันนั้นยังตราตีรึงในจิตใจผมทุกวันนี้เลยครับ

"สองมือจับไว้ ก้าวไปด้วยกัน สร้างความผูกพัน ด้วยรอยยิ้มและจริงใจ "

จากนี้ไม่มีคนอื่นคนไกล อุปสรรคใดๆ จะร่วมฝ่าฟัน

ฝนยังตกมาฟ้ายังมืดมน ไม่ว่ากี่หนแต่ใจของเราไม่หวั่น

หล่อหลอมหัวใจเป็นดวงเดียวกัน

รักยิ่งผูกพันรักมั่นไม่เสื่อมคลาย

(ญ)ด้วยรักนี้

(ช)ด้วยรักนี้

(ญ)พี่ให้แด่น้อง

(ช)พี่ให้แด่น้อง

(ญ)ห้องทุกห้อง

(ช)ทุกห้อง

(ญ)ดวงใจมองให้หมดสิ้น

(ช)พี่ให้หมดสิ้น

(ญ)คำทุกคำ

(ช)ทุกคำ

(พร้อมกัน)แพทย์ศาสตร์สงขลานครินทร์

ยังได้ยินก้องหทัย

(ช)ยังได้ยินก้องหทัย

แสงทองส่องฟ้านภาตระการ มาร่วมประสานจิตใจสองใจให้มั่น

หล่อหลอมหัวใจเป็นดวงเดียวกัน รักยิ่งชีวัน...ดวงใจเราพี่น้องเอย

สวัสดีครับ สิริชัย ธาดาประดิษฐ์ (สด Med31)

เพิ่งได้เพลงเก่าฉบับใหม่มา ว่างๆจะเอามาลงครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท