เคยโกรธไหมละ...ถ้าเพื่อนร่วมงานบอกเราว่า "เธอเนี่ยทำงานบกพร่อง เซ็นต์รับของไปได้อย่างไงก็ในเมื่อยังส่งของไม่ครบ" พร้อมกับส่งสายตาตำหนิมาที่เราเต็ม ๆ..... หัวหน้าเรียกเข้าไปพบแล้วบอกว่า "ทำไมหนังสือราชการของคุณถึงได้พิมพ์ผิดมากมายขนาดนี้"(..แหม แค่ 2-3 ตัวเอง) แล้วพูดว่า"นี่มันครั้งที่ 3 แล้วนะ..อย่าให้มีอีก" จ๋อยไปไหมละคะ....
เวลาที่เราบอกว่าเจ็บใจ หรือมีใครบางคนทำให้เราเสียความรู้สึกหรืออับอาย แล้วทำไมเราต้องรู้สึกเจ็บใจหรืออับอายตามสถานการณ์นั้นไปด้วย ทำไมเราต้องเก็บมาเป็นอารมณ์ด้วยละคะ..ถ้าเราอยากทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นในในอย่างถ่องแท้ละก็...เราต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า ทำไมเราถึงต้องรู้สึกเช่นนั้น....
ลองนึกตามดูนะคะ..เคยหงุดหงิดเวลาใครขับรถแซงซ้ายคุณหรือเปล่า หรือแหม...มันอัดอั้นจังเวลาที่นายเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาว่าเรา เผอิญจับได้ว่าแฟนโทรศัพท์คุยกับผู้หญิงนานเป็นชั่วโมงๆ ทำไมเราต้องเก็บเรื่องเลวร้ายเหล่านี้มาเป็นอารมณ์ด้วยน๊า...มันเจ็บปวดใช่ม๊า..เออมันเจ็บปวด เอ..ก็ไม่เห็นคุณมีแผล หรือเลือดไหลสักหน่อยนี่นา...
และนี่ก็คือ คุณไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ของคุณได้นี่เองละคะ...
ตอนเราอายุราว ๆ 21-23 ปีตอนนั้นเพิ่งบรรจุใหม่ ไฟยังแรงอยู่ มีความเป็นตัวของตัวเองสูงไม่ใคร่จะเชื่อใครเชื่อมั่นในตัวเองว่าตัวเองทำถูกต้อง และก็มักจะเถียงเจ้านาย ให้เจ้านายเอือมบ่อย ๆ ..ก็เราว่าเราถูกนี่นาก็เจ้านายแก่แล้วจะ Vision เท่าเราได้ไง ก็บางทีก็เถียงจนแกส่ายหน้าเอือมระอาไปก็มี หรือกว่าจะอธิบายเหตุผลให้เราจนตรอกได้ก็เล่นเจ้านายซะเหนื่อย
และนี่ก็คือ คุณนับถือตัวเองมากเกินไป...นั่นเอง
ตั้งหมดนี่ก็คือ อารมร์ด้านลบในตัวของเราน่ะเองละคะ แล้วจะทำอย่างไงให้เราสามารถรับมือกับอารมณ์ด้านลบอย่างนี้อย่างมีสติ สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนเคยเล่าให้ฟังตอนที่ 1 ก็คือ การฝึกสติ ถ้าเราสามารถฝึกสติควบคุมอารมณ์ของเราให้นิ่งไม่หวั่นไหวกับอำนาจฝ่ายต่ำได้ เราก็คือผู้ชนะในที่สุดค่ะ
ส่วนมีอีกเทคนิคหนึ่งที่อยากบอกว่า ตลอดระยะทางบนถนนหมายเลขต่าง ๆ จนถึงหมายเลข 4 ในวันนี้เจอกรณีที่เล่าให้ฟังนับครั้งไม่ถ้วน แล้วทำอย่างไรเราจึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ของเราให้ได้ อยากจะลองทำดูนะคะก็คือ
1. คือการปล่อยวาง หากเราปล่อยวางความขัดแย้งต่าง ๆที่เกิดขึ้น โดยนั่งฟังเขานิ่ง ๆ โดยไม่แสดงกิริยาอะไรปล่อยให้เขาพูดจนพอใจ หรือพูดให้เหนื่อยไปเลย พูดจนจบแล้วเราค่อยกล่าวขอบคุณว่าจะนำเรื่องที่เขาพูดไปพิจารณา หรือไปปรับปรุงพร้อมกับยกมือไหว้ไปเลย รับรองได้ว่าภูเขาที่กำลังระเบิดอยู่น่ะจะหยุดระเบิดทันตาเลย
2. เดินออกจากห้อง ถ้าเขาเริ่มพูดจาไม่เกรงใจเราแล้วหรือแสดงท่าทีถึงกับจะทำร้ายเรา ก็ขอให้เราอย่าโต้เถียงให้เดินออกจากห้องเงียบ ๆ แล้วสักพักบรรยากาศจะดีขึ้นเอง
3. หาเหตุผลมาหักร้าง หืม..วิธีนี้น่าจะใช้ได้ผลประมาณ 50-60 เปอร์เซนต์จะได้ ก็อีกคนกะลังเลือดขึ้นหน้าซะขนาดนั้น คงยากที่จะอธิบาย แต่ก็มีเทคนิคนิดหนึ่งนะคะ ก็คือ ต้องรอให้เขาเล่าเรื่องให้จบซะก่อนแล้วจึงค่อย ๆ เล่าเรื่องหาเหตุผลมาคุยกันค่ะ แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานและก็บรรยากาศตึงเครียดด้วยคะ (เคยลองมาแล้ว...ใช้เวลา 2 - 3 ชั่วโมงแน่ะ คือตามหลักจิตวิทยาเนี่ย คนเราจะอารมณ์ขึ้นก็แค่ประมาณ ชั่วโมงเนี่ยน่าจะสมอกสมใจนะคะ แต่บางกรณี แหม อารมณ์ขึ้นไม่หยุดเลยค่ะ...
ไง ๆ ก็ลองทดลองไปปฏิบัตินะคะ...อาจจะไม่ถูกที่สุด หรือเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่เราก็อยากถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผ่านมาให้แก่แขกผู้มีเกียรติยิ่งที่กรุณาอ่านจนถึงบรรทัดนี้ค่ะ....
สวัสดีครับ
ขอบคุณ คุณภูคา ค่ะ ...พรหมวิหาร 4 น่ะ เป็นสุดยอดแห่งการให้อภัยอยู่แล้วค่ะ....แต่ คนส่วนมาก ถึงมากที่สุด มักจะทำได้ยากเน๊อะ...คุณภูคาว่าม๊ะ...
ขอบคุณคุณนมินทร์ค่ะ...ปล่อยวางแล้วกลัวหลุดก็เอาหัวใจเกี่ยวไว้ซิคะ....อิอิ..รับรองอย่างไง๊ก็ไม่มีวันหลุดแน่เลย...
น้องแก่นจังคนสวย..ใครน๊าทำให้โกรธได้ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำแนวทางแห่งการดับทุกข์ค่ะ...