ปกติเวลาผมอ่านข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ผมจะหารสิบก่อนเสมอครับ
เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ
ที่เป็นข่าวก็มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย มหาวิทยาลัยทุกวันนี้มุ่งเรื่องเงินความคุ้มค่าการลงทุน สาขาไหนไม่มีคนเรียน ก็แสดงว่าลงทุนไม่คุ้ม ก็ปิดยุบไปเปิดสาขาที่น่าจะมีกำไร เพราะงบประมาณมีจำกัด จะจ่ายต้องพิจารณาความคุ้มทุน ทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจการศึกษาเต็มรูปแบบแล้วครับ คงเหมือนกันทั่วโลก เป็นแนวโน้มของโลกก็ว่าได้ มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในต่างประเทศก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ใครเป็นอาจารย์ก็ต้องทำใจไว้ก่อน หากทำใจได้ก็ไม่ต้องกลุ้มใจภายหลัง ใช้หลักพุทธศาสน์ ทุกสิ่งเกิดจากเหตุทั้งนั้น
ขอแสดงความเห็นเท่านี้ก่อน ให้ท่านอื่นลองเสนอต่อไป
เป็นการนำเสนอข้อมูลความคิดเห็นส่วนบุคคล แล้วนำมาพาดหัวสร้างสีสรรเท่านั่นเอง
การนำเสนอข่าวก็เป็นเพียงมุมมองจากด้านเดียว
ผมมองอย่างนี้ครับ ว่าจริงๆ การปรับเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยไปเป็นการอยู่ในกำกับของรัฐ เป็นความท้าทายหนึ่งของสถาบันอันเป็นผู้ชี้นำสังคม ซึ่งถ้ามองย้อนหาความสำเร็จในเรื่องนี้ พบว่า ยังไม่มีมหาวิทยาลัยใดทำสำเร็จหรือได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สำหรับมหาวิทยาลัยที่เดิมอยู่ในระบบเก่า แล้วมาเปลี่ยนสถานะ
ต่างจากมหาวิทยาลัยที่เริ่มต้นด้วยการอยู่ในกำกับเลย ที่กลับไม่มีปัญหาอย่างที่มหาวิทยาลัยเดิมๆ ของรัฐเจอเมื่ออยู่ในสถานภาพใหม่
คำถามจึง ไม่น่าจะอยู่ที่ของเก่าดีกว่า แต่น่าจะอยู่ที่มหาวิทยาลัยสามารถนำพาองค์กรไปสู่ความท้าทายใหม่ได้หรือเปล่า องค์ความรู้ที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยถูกนำมาใช้เพื่อองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพแล้วยัง
สวัสดีครับทุกท่าน
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
พี่ไปอ่านมาคร่าวๆ แล้วค่ะ สิ่งที่พบแน่นอนว่าผิดคือ เทคโนลาดกระบังยังไม่ได้ออกนอกระบบค่ะ ม.ที่ออกแล้วคือ ธนบุรี หรือบางมดน่ะค่ะ
ส่วนเรื่องออกนอกระบบนั้น สำหรับพี่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะให้อำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษาอยู่กับมหาวิทยาลัย จะได้สร้าง diversity ได้ แต่การที่อำนาจทุกอย่างอยู่กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย ก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน ถ้าได้ผู้บริหารดี ก็ไปโลด แต่ถ้าไม่ดี ก็จะเกิดปัญหาเหมือนกับที่เขาเขียนในข่าวก็ได้ค่ะ
สวัสดีครับตามอ่านมาตลอดเพิ่งเขียน comment นี่แหละ
เนื้อหาที่คุณเอามาโพสก์ประโยชน์ต่อการเรียนรู้มากครับ
อิอิ
ขออนุญาตเป็นเพื่อนบ้านด้วยคนครับ
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
ขอบคุณมากค่ะ ที่นำมาลงให้ได้รู้ และรอบคอบในการอ่านมากขึ้น
สบายดีนะคะ...คิดถึงค่ะ
เข้ามาสำรวจความคิดเห็น... นึกชอบใจสำนวนอาจารย์เม้งว่า...
...ว่ามีการปรับให้มหาวิทยาลัยกลายเป็น ร้านค้าในการผลิตบัณฑิตแล้วหรือ...
แต่เมื่อลองเพ่งพินิจอีกครั้ง การเปรียบเทียบเป็น ร้านค้า ยังไม่ชัดเจน น่าจะเปรียบเทียบเป็น ร้านชุบ หรือ ร้านเครือบ ใกล้เคียงกว่า...
เมื่อเรานำแหวนโลหะ หรือเครื่องโลหะอื่นๆ ไปยังร้านชุบหรือร้านเครือบ (ถ้าร้านใหญ่ๆ เรียกกันว่า โรงชุบหรือโรงเครือบ) ... หลังจากเครือบเสร็จแล้ว แหวนเหล็กก็อาจกลายเป็นแหวนเงินหรือแหวนทอง... ซึ่งบางร้านก็เครือบได้สวยงามและทนทาน บางร้านก็ทำให้แบบชุ่ยๆ... ส่วนราคานั้น แต่ละร้านก็คิดราคาค่าบริการแตกต่างกันไป....
นักเรียน นิสิต หรือนักศึกษา ก็คล้ายๆ กับแหวนหรือเครื่องโลหะที่เราจะนำไปชุบ... สถานศึกษาก็คล้ายๆ กับร้านชุบ... ราคาที่ทางร้านเรียกร้องเป็นค่าบริการก็คล้ายๆ กับค่าหน่วยกิตและค่าบำรุงการศึกษาอื่นๆ... และผู้ที่สำเร็จการศึกษามาหรือบัณฑิตก็คล้ายๆ เครื่องโลหะที่ผ่านการชุบจากร้านนั้นๆ แล้ว...
ที่เหลือก็มอบให้อาจารย์เม้งนำไปจินตนาการต่อ....
เจริญพร
สวัสดีค่ะคุณเม้ง
เรื่องข่าวนี้ อย่าเพิ่งตกใจเลยค่ะ
เรื่องการจะยุบทิ้งสาขาสายสังคม มนุษย์ คุณธรรมเป็นเรื่องที่พี่คิดว่า จะไม่เกิดขึ้น เพราะ เรื่องคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม คือกลยุทธ์หลักอย่างหนึ่งของประเทศตอนนี้ และต่อไปค่ะ
ขอยก การให้สัมภาษณ์ มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล เมื่อ26 เม.ย 2549 ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ว่า ประเทศเราขาดแรงงานคุณภาพ ผู้ที่จะมาลงทุนเขาผิดหวัง เขาว่า แรงงานเราดี แต่ยังต้องฝึกต่ออีก เพราะหลักสูตรพื้นฐานเราไม่แน่นพอ...คำนวณ /วิทยาศาสตร์
แต่ทางจริยธรรม ดีกว่าประเทศอื่น นิสัยก็ดีกว่าค่ะ
เขาไม่จำกัดว่าที่ไหนของประเทศ แต่เป็น across the board
ถ้าเป็นธุรกิจใหญ่ๆ จ้างคนแพงๆได้ เราไม่แพ้ แต่SME เราแพ้ เพราเรามีความรู้อันจำกัด
ท่านเห็นว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่มากๆ
สำหรับความเห็นส่วนตัว จากประสบการณ์การทำงานจริงๆ...เห็นว่า มีส่วนจริง แรงงานของเรา ต้องฝึกมากค่ะ แต่ก็ฝึกได้ไม่ยาก เพราะนิสัยดี
ปัญหาอยู่ที่การศึกษาพื้นฐาน
ทีนี้ ถ้าวิชาไหน ที่สอนไปแล้ว( ยกเว้นคุณธรรม จริยธรรม ไม่เลิกแน่) อาจเอาไปใช้ประโยชน์ได้ยากหน่อย เขาอาจต้องดู อย่าเพิ่งไปฟังข่าวsensational เลย รอให้ชัดก่อนดีกว่า
อืม...ข่าวจากเว็บไซต์ดังกล่าว ต้องอ่านตา ไว้ตาครับ
ถึงแม้ว่าจะเป็นความจริง....
แต่มหาวิทยาลัย ก็ไม่ได้มีแห่งเดี๋ยว นักศึกษายังมีทางเลือกครับ
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ
^_^
เรื่องนี้เป็นการแปลงสารในหลายจุดครับ
จุดที่ ๑ เราพูดกันว่า วิชาที่เรียนแล้วไม่เป็นประโยชน์ควรเลิกสอน
แปลงเป็น วิชาที่ไม่มีคนเรียนน้อยควรปิด
จุดที่ ๒ หลักสูตรที่จบไปแล้วไม่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม ควรปิด
แปลงเป็น หลักสูตรที่มีคนเรียนน้อยไม่ควรเปิด
จึงเป็นที่มาของ "วิชาแจกเกรด" และ "หลักสูตรแจกกระดาษเปื้อนหมึก-ใบปริญญา"
ครับ
น่าเบื่อ และน่าเป็นห่วง "การศึกษาไทย" คร้บ
สวัสดีครับทุกท่าน