พ่อพนิจ เสื้อขาว มือถือกระดาษ
เป็นภาวะที่สุดร่างกายจะทนรับได้ไหว
ร่างกายก็ไม่อาจทำหน้าที่ของตนเองได้อีก
ไม่เป็นของตนเองอีกแล้ว
อีกทั้งไม่เป็นของใครใคร
เหลือไว้เพียงความทรงจำที่เคยร่วมประสบการณ์ด้วยกัน ชายสูงอายุผู้แข็งขันแต่ประนีประนอมที่จะรวมกลุ่มเพื่อน ๆ แข็งขันกับงานในไร่นา โดยเฉพาะเรื่องปลูกผักเสี้ยนที่พ่อพนิจเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ปลูกได้งามมาก ถึงขั้นเก็บเมล็ดพันธุ์มาแจกเพื่อน ๆ ในกล่มได้ มีความชำนาญและรู้จักผักเสี้ยนอย่างซาบซึ้งในใจแห่งตนจนกลั่นมาเป็นเพลงผักเสี้ยน ให้พวกเราได้อยู่ในความทรงจำ
....ปลูกผักเสี้ยน เวียนไปไม่หยุด ถ้าคนไหนรู้ ก็ให้ปลูกไปเลย พวกเราอย่ามัวอยู่เฉย คนไหนไม่เคยก็ไม่ได้ผลดี มันมีเทคนิคใหม่ ๆ เราต้องใช้ไปให้ถึงลูกยิง ไม่ว่าดินร่วนหรือดินกรอบ มันก็ชอบกินปุ๋ยจุลินทรีย์...
นั้นแลจึงได้ฉายานามว่า ราชาผักสี้ยน...
บางคนจำพ่อไว้ว่า พ่อหมอแคน
พ่อพนิจเริ่มหัดเป่าแคนได้ ๓-๔ ปีที่ผ่านมา หลังจากหมอแคนใหญ่ของเรา พ่ออ่อนศรี ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่สกลนคร จากนั้นไปไหนมาไหนพ่อต้องสะพายดนตรีคู่ชีพไปด้วยทุกครั้ง ฝีปากการเป่าแคนก็ค่อย ๆ เพราะพริ้งขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา อุตส่าห์เดินทางไปหาซื้อแคนมาฝึกฝนด้วยตนเอง ๔-๕ ดวง และหลังสุดครั้งกบกินเดือน พ่อพนิจก็ได้ใช้เสียงแคนช่วยไล่กบไปจากเดือน ส่งเสียงอันน่าออนซอนในยามดึกที่บ้านนาดี
บ้างก็จำพ่อพนิจว่า
พ่อคนนั้นน่ะ คนที่ร้องเพลงสุรพลแล้วไม่จบสักครั้ง ( เพราะเนื้อร้องมันวกวนไปมาหาที่ลงไม่ได้ เนื้อเพลงก็กลับกลับมาบ้าง)
พ่อพนิจเป็นกรุเพลงสุรพล สมบัติเจริญรุ่นเก่า ที่ร้องได้ไพเราะเพราะพริ้ง...เพราะ... เพราะว่าผู้ร้อง ร้องด้วยอารมณ์ที่ดื่มด่ำในสุนทรีย์ แม้ว่าจะร้องไปเหนื่อยไปบ้าง หลุดคีย์บ้างเพราะคิดเนื้อร้องไม่ทัน บรรดารุ่นน้อง รุ่นลูกหลานปรารภกันว่า ต้องขอเนื้อเพลงจากพ่อไว้ร้องบ้าง... ยังไม่ทันได้ทำเอกสารเนื้อเพลง มันก็ไปกับพ่อเสียแล้ว
คนยามที่สำนึกถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ เหตุเกิดกับพ่อพนิจตั้งแต่งานเวทีประชุมที่นาพ่อสถาน ที่หลังจากพวกเราได้ร่วมกันเปิดกระแสแห่งวัฒนธรรมให้ได้สำแดงเดชออกมาแล้ว วันรุ่งขึ้นพ่อพนิจลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ จับไมค์ประกาศแต่เช้า ชักชวนเพื่อนฝูงให้ตื่นรับอรุณ เตรียมการในหน้าที่ของตนเอง ดำเนินรายการของวันนั้นโดยสำนึกของพ่อพนิจเองว่าต้องมีส่วนร่วมในการจัดการประชุมนั้น และตั้งแต่นั้นมาบทบาทของพ่อพนิจก็โดดเด่นขึ้นมาจากเดิม ในฐานะที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของกลุ่มที่ได้รับการยอมรับโดยธรรมชาติ ในการให้ข้อคิดเห็นในด้านต่าง ๆ อย่างกระตือรือล้น...
แล้วธรรมชาติไม่เข้าข้างใคร
เมื่อถึงเวลามาถึงแล้วก็ผัดผ่อนไม่ได้
คุณจะเป็นผู้ที่ได้รับความรักนับถือมากแค่ไหน
คุณทำประโยชน์แก่ผู้คนเพียงไร
ดิฉันคิดว่าพ่อพนิจไม่หอบ หรืออยากหอบแต่หอบไม่ได้ ทิ้งอาลัยหรือไม่ได้ทิ้งแต่มันเอาไปไม่ได้ ไว้เบื้องหลัง มุ่งเดินทางต่อไปอย่างไม่ใยดีหรือใยดีก็ไม่อาจจะคาดเดา แต่พ่อพนิจพูดกับเพื่อน ๆ ที่ไปเยี่ยมในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงอยู่ในโลกแห่งวัตถุธรรมนี้ ว่า ด้วยน้ำเสียงอันอ่อนล้าและร่างกายที่ผ่ายผอมจนผิดรูปผิดร่าง
ชวน ผมคงจะไม่ไหวแล้วล่ะ
พ่อชวนตอบด้วยเสียงกังวานของพลังแห่งชีวิต และหนักแน่นชวนให้เกิดกำลังใจ
ไม่เป็นไรหรอก ก็คราวก่อนพ่อพนิจก็ยังหาย คราวนี้ก็ต้องหาย
แต่แล้วธรรมชาติก็ดำเนินไป อย่างเที่ยงตรง ไม่เข้าใครออกใคร
ไม่รับรู้กับสิ่งที่มนุษย์พยายามสร้างเค้าโครงความเชื่อของตนเองไว้ พยายามเชื่อในสิ่งที่สร้างนั้นจนเป็นเสมือนจริง.....แล้วชีวิตหนึ่งก็ปลิดปลิวไป...
อนิจจัง ทุกอย่างไม่เที่ยง
การเข้าใจสิ่งที่ไม่เที่ยง ทำให้ปราศจากทุกข์
มีสิ่งหนึ่งที่ไปหายไปตามสังขาร คือองค์ความรู้
ของราชาผักเสี้ยน
โปรดนำออกมาตีแผ่สู่ท้องนา