เคยไหมครับ
เวลาไปซื้อของตามห้างร้านต่างๆ
หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วพนักงานก็จะกล่าวคำขอบคุณพร้อมกับยกมือไหว้
แต่ก่อนก็มีเฉพาะบางที่ แต่เดี๋ยวนี้ไหว้กันหมดเกือบทุกร้าน
รู้สึกไหมครับ
ว่าการไหว้แบบนั้นมันไม่ใช่การไหว้เพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณ แต่เป็นการไหว้แบบหุ่นยนต์ ทำไปแกนๆ อย่างนั้น ทำเพราะเพื่อต้องการรักษามาตรฐานของร้าน
ผมรู้สึกครับ
นอกจากอึดอัดใจที่เขาไหว้แบบไม่จริงใจและเต็มใจแล้ว ยังรู้สึกว่าปรากฎการณ์นี้กำลังทำลายคุณค่าของการไหว้แบบไทยอีกด้วย
เพราะการไหว้ไม่ใช่เพียงกริยาแสดงความขอบคุณเพียงอย่างเดียว
ไหว้ยังใช้แสดงความเคารพ, แสดงการทักทาย นอกจากนั้นในอากัปกริยาการไหว้นั้น ตำแหน่งของนิ้วมือและหัว ยังใช้บอกศักดิ์ฐานะทางสังคมของผู้ไหว้ และผู้รับไหว้อีกด้วย
ไหว้พระ ก็มีลักษณะการไหว้อย่างหนึ่ง ไหว้พ่อแม่ก็อย่างหนึ่ง เวลาใครแนะนำให้รู้จักคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไหว้กันด้วยกริยาท่าทางอีกแบบหนึ่ง การรับไหว้ก็อีกแบบหนึ่ง
ผมรู้สึกว่า เพราะคนไหว้ไม่ได้รู้สึกว่า แค่การซื้อขาย จะต้องแสดงความขอบคุณด้วยการไหว้ ท่าไหว้ที่เขาไหว้เราจึงไม่ใช่ท่าที่สื่อว่าเป็นการแสดงการขอบคุณ ดูยังไงก็รู้สึกเหมือนพนักงานกำลัง"รับไหว้"เรามากกว่า ดังนั้นการแสดงความขอบคุณด้วยการรับไหว้ จึงเป็นการสื่อสารที่ผิดฝาผิดตัว
ดังนั้น สาร ที่พนักงานต้องการจะสื่อ (ว่าขอบคุณมากๆๆ นะคะ ดิฉันรู้สึกสำนึกในพระคุณของท่านอย่างสุดซึ้ง) จึงไม่ถึงผู้รับสาร และทำให้ภาษากายกับภาษาพูดขัดแย้งกัน ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารจึงเกิดความประดักประเดิด และไม่เกิดความประทับใจเมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว
งานนี้ต้องแก้ทั้งสองฝั่งนะครับผมว่า ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ขาย
ตอนนี้เวลาซื้อของจ่ายเงินผมพยายามมองหน้าคนขายมากขึ้น ไม่ได้มองแต่สินค้า ยิ้มให้เขาบ้าง ถามเรื่องราวต่างๆบ้าง เพื่อสร้างการสื่อสารที่หลุดออกจากกรอบมาตรฐานการซื้อขาย ซึ่งก็ได้ผลบ้าง บางทีก็ได้รอยยิ้มที่จริงใจออกมาจากพนักงานขาย ก็ดีครับยิ้มให้กันบ้าง ชื่นใจดี
ฝั่งผู้ขายผมว่าเลิกไหว้ก็ได้ครับ ผู้ซื้อเขาเข้าใจว่า เขาไม่ได้มาทำบุญคุณอะไรมากมายให้กับชีวิตของผู้ขาย เขาแค่มาซื้อของเท่านั้นเอง เปลี่ยนเป็นสบตาแล้วยิ้ม พร้อมกับพูดว่าขอบคุณค่ะ/ครับ น่าจะเป็นการสื่อสารที่ลงตัวกว่าการไหว้เพราะไม่ต้องมีสถานะทางสังคมผูกติดมากับการพูดขอบคุณให้กังวลใจ
สวัสดีค่ะ คุณหมอสุธี
ประเด็นในบันทึกนี้ เป็นประเด็นที่ดิฉันสนใจและตั้งคำถามอยู่ในใจอยู่นานเหมือนกันค่ะ เพราะดิฉันคิดว่า การแสดงออกใดๆอันเนื่องด้วยความมีไมตรีจิต ควรเริ่มมาจากความจริงใจและเต็มใจของผู้แสดงกิริยานั้น
มิใช่การกำหนดจากผู้อื่น เพื่อหวังผล ที่มิใช่ความมีไมตรีจิตต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
ดิฉันได้รับรู้มุมมองต่างๆเกี่ยวกับ "การไหว้ของพนักงานขาย" ในร้านขายของ โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ด้วยการอ่านบทความจากหลายแหล่ง
มุมมองที่ดิฉันสนใจ อยู่ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับหนึ่ง เนื่องจากอ่านนานมาแล้ว ดิฉันจึงจำถ้อยคำทั้งหมดไม่ได้ แต่จำใจความประมาณนี้นะคะ
การไหว้ ที่กำหนดให้พนักงานทำเพื่อภาพลักษณ์ของร้านนั้น หากเรามองและคิดเสียว่าเป็นโอกาส เป็นอีกแนวทางในการสืบทอดวัฒนธรรมไทย แม้เบื้องแรกจะเกิดจากวิธีคิดทางการตลาด แต่หากเราผู้เป็นผู้ซื้อ ตั้งจิตเป็นมิตร แล้วน้อมรับเอาการไหว้นั้น เสมือนเป็นการทักทาย ผู้หนึ่งยกมือไหว้ อีกผู้หนึ่งก็ยกมือรับไหว้ตอบ โดยความเป็นมิตรแก่กัน ดังนี้
ก็น่าจะสร้างให้เกิดความเป็นมิตรไมตรีแก่กันได้โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องเคอะเขิน
ดิฉันก็ได้คิดต่อว่า หากกระบวนการสื่อสารรูปแบบนี้ สร้างมิตรภาพแบบคนต่อคนได้จริงๆ (ตามทฤษฎี Action เท่ากับ Reaction อันนี้เพื่อนแซวมา) ก็น่าจะเริ่มที่ความจริงใจในการแสดงออก
ความจริงใจในการแสดงออก ควรเริ่มที่ใคร ดิฉันก็ถามเองตอบเองว่าเริ่มที่ตัวเราก่อน
ดิฉันก็เริ่มเลยที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง : ) เมื่อเขายกมือไหว้ ดิฉันก็ยกมือไหว้ตอบโดยกิริยาอันพิจารณาแล้วว่าเหมาะแก่วัยของผู้ไหว้ และกาลเทศะอันควร
เช่น ยกมือรับไหว้แล้วยิ้มให้ ....หรือยกมือรับไหว้แล้วพูดว่า สวัสดีค่ะ เพราะบังเอิญเจอนักศึกษาที่ไปฝึกงานเป็นพนักงานขายพอดี เป็นต้น
แรกๆที่ทำไปดิฉันก็เขินน่าดูอะค่ะ แต่หลังๆดิฉันก็เริ่มชิน พนักงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งดิฉันไปบ่อยๆ ก็ดูจะคุ้นกับการรับไหว้ของดิฉัน ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป ดิฉันคิดว่ารอยยิ้มของเธออบอุ่นขึ้นเยอะ และรู้สึกว่า การบริการก็จะรวดเร็วเป็นพิเศษ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้คาดหวังบริการพิเศษจากเธอแต่อย่างใด
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันก็รับไหว้พนักงานขายโดยไม่รู้สึกเคอะเขิน เพราะดิฉัน"กำหนด" และตัดสินใจของดิฉันเอง ที่จะรับไหว้ตอบด้วยไมตรีจิต ขณะเดียวกันก็ดูกาลเทศะอันควร ตามความเหมาะสมเป็นกรณีไป
เลยนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะคุณหมอสุธี ดิฉันอยากเล่าอยู่นานแล้ว แต่ยังเรียบเรียงคำได้ไม่ตรงที่ใจอยากเล่า เลยรอๆมาจนเลยไปหลายบันทึก
มาลงตัวที่วันนี้ ดิฉันเจอนักศึกษาคนนั้น เขาบอกดิฉันว่า "ตอนหนูฝึกงาน แล้วอาจารย์ไปซื้อของ หนูไหว้แล้วอาจารย์ก็รับไหว้หนู หนูดีใจจังค่ะ"
ดิฉันก็เลยเข้ามาเล่าสู่กันฟังจากอีกมุมมองนี่แหละค่ะ : )
ขอบพระคุณคุณหมอสุธีมากนะคะ สำหรับบันทึกที่ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดที่ดี แล้วยังสามารถสนทนายาวๆด้วยความรู้สึกสบายอกสบายใจอีกด้วยอะค่ะ : )