SPOOK วิทยาศาสตร์กับการค้นหาชีวิตหลังความตาย


ช่วงนี้วุ่นจริงๆครับเลยไม่เข้ามาที่ G2K เลย เมื่อกี้แอบไปเช็คดู ก็เดือนกว่าแล้วที่หายไปเลย ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ (ทำเหมือนจะมีคนมาอ่านเยอะเลยนะเนี่ย)

วันนี้เอาเรื่อง SPOOK มาเล่าให้ฟังล่ะกันนะครับ SPOOK นั้นเขียนโดย Mary Roach เป็นหนังสือที่ได้ The New York Times Best Seller ซะด้วย หนังสือเล่มนี้ว่าด้วยเรื่องโลกหลังความตายครับ เรื่องที่หลายต่อหลายคนอยากรู้ว่า ตายแล้วไปไหน

ความสนุกของหนังสือนั้นไม่ได้บอกหรอกครับว่าตายแล้วไปไหน เพราะอ่านมาตั้งนานแล้ว ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตายแล้วไปไหน แต่ผมว่าหนังสือเล่มนี้สนุกตรงที่ว่า แมรี่นั้นได้พยายามไปรวบรวมเอางานวิจัยที่เป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายมาเขียน แล้วก็ไปสัมภาษณ์คนที่ทำวิจัยเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย รวมไปถึงไปนั่งเรียนวิชาว่าด้วยความเป็นคนกลางระหว่างวิญญาณกับคนเป็น (medium) ซะด้วย ผมไม่ขอเรียกคนกลางว่าร่างทรงนะครับ เพราะในความคิดและความรู้สึกของผม ร่างทรง นี่เป็นคนกลางระหว่างเทพเจ้ากับคนเป็น แต่อันนี้เป็นคนตายธรรมดาครับ

หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่า ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นหรอกนะครับที่เชื่อเรื่องการติดต่อระหว่างคนเป็นกับคนตาย อเมริกันชนรวมไปถึงคนอังกฤษก็เชื่อเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน จริงๆแล้วที่อเมริกาจะมีรายการ crossover ที่เอา คนคนหนึ่งที่เชื่อว่าสื่อสารกับคนตายได้ มาออกโทรทัศน์ แล้วก็พยายามสื่อสารกับคนตายที่เป็นญาติกับคนในห้องส่ง แล้วก็ถ่ายทอดออกโทรทัศน์ออกมา (ผมเคยดูด้วยครับ ด้วยความอยากรู้ ก็ดูบันเทิงดีครับ แต่ไม่สามารถหาสาระอะไรได้)

หรือสถานี NBC ที่ทำภาพยนตร์ชุดเรื่อง Medium ขึ้นมา เรื่องนี้ก็ว่าด้วยการติดต่อกับคนตายเหมือนกัน ผ่านทางชีวิตของคนที่เป็นสื่อกลางคนหนึ่ง

วิทยาศาสตร์ การทดลอง น้ำหนัก หน้าตาวิญญาณ และการระลึกชาติได้

หนังสือนั้นเริ่มมาด้วย เรื่องของคนระลึกชาติได้ ซึ่งแมรี่เองนั้นได้ลงทุนไปถึงอินเดียเพื่อที่จะศึกษาหาว่าคนที่ระลึกชาติได้นั้น ระลึกชาติได้จริงหรือเปล่า รวมไปถึงการทดลองทางวิทยาศาตร์หลายๆอย่างที่พยายามจะหาว่าชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร เราติดต่อกับคนตายได้จริงๆหรือเปล่า แล้วมีคนที่มีความสามารถพิเศษที่ติดต่อกับคนตายได้จริงๆหรือเปล่า

ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะครับ เรื่องพวกนี้นั้นมีการทำการทดลองและบันทึกเป็นหลักฐานเก็บไว้ซะด้วย อย่างเช่นเรื่องการระลึกชาติได้นั้นก็เคยตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือ รวมไปถึงลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ซะด้วย เช่นลงใน Journal of Scientific Exploration

หรือว่าอย่างเรื่องการวัดว่าวิญญาณนั้นมีตัวตนยังไง ก็มีคนหัวใส จับเอาคนป่วยที่กำลังจะตาย เอาไปใส่ในที่ชั่งน้ำหนัก แล้วก็คอยตรวจจับว่าจะตายเมื่อไร แล้วก็จะได้เทียบเอาน้ำหนักก่อนตายและหลังตายมาดูว่าวิญญาณนั้นอ่ะหนักเท่าไร (ซึ่งจากการทดลองก็บอกออกมาว่า วิญญาณนั้นมีน้ำหนักประมาณ 21 g ครับ เคยมีหนังอินดี้เรื่องหนึ่งชื่อ 21 grams แสดงโดย Sean Penn)

หรือว่ามีนักวิทยาศาสตร์นั้นพยายามที่จะวัดว่าคนเราตอนตายนั้นมีการปล่อยรังสีออกมาเท่าไรยังไง เพื่อที่จะวัดว่าวิญญาณนั้นมีน้ำหนักเท่าไรอีกนั่นแหละ อ้าวแล้วรังสีมันเกี่ยวกับกับน้ำหนักยังไง ก็จากไอสไตน์ไงครับ E=mc^2 ที่โด่งดังนั่นเอง แต่ว่าอาจารย์ที่คิดการทดลองท่านนี้ยังหาทุนไม่ได้ครับ แล้วก็โดนนักเทววิทยาและบาทหลวงหลายๆคนมาพยายามโน้มน้าวอาจารย์ที่คิดการทดลองนี้ให้เลิกล้มความตั้งใจซะด้วย

นี่ยังไม่รวมถึงการพูดถึงสื่อกลางระหว่างคนตายกับคนเป็นอีกนะครับ ซึ่งแมรี่นั้นได้เข้าไปเรียนถึงประเทศอังกฤษ มันเป็นคอร์สสอนวิชาการเป็นคนกลางสื่อสารระหว่างคนตายกับคนเป็นเลยนะครับ ซึ่งเป็นคอร์สสอนสามวัน น่าตื่นเต้นดีนะครับ ถ้าใครอยากรู้ว่าสอนกันที่ไหน ถามมาได้นะครับ บอกตอนนี้เดี๋ยวจะหาว่าผมสนับสนุนเรื่องพวกนี้

อ้ออีกเรื่องครับ เรื่องการวิจัยเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ตายแล้วไปไหน การเป็นสื่อกลางระหว่างคนเป็นกับคนตายนั้น มีการศึกษาและเรียนกันในระดับปริญญาเอกด้วยนะครับ (ผมไม่ได้ล้อเล่นนะครับ พูดจริงๆ) ถ้าสนใจอยากเป็นด็อกเตอร์ด้านพวกนี้ ต้องส่งใบสมัครไปที่สาขาจิตวิทยาครับ

สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าพวกสื่อกลางระหว่างคนเป็นกับคนตายของเมืองนอกติดต่อกันยังไง เขาติดต่อกันแบบนี้ครับ คนที่เป็นสื่อกลางนั้นจะบอกข้อมูลส่วนตัวของเรา โดยบอกว่าข้อมูลนั้นได้มาจากคนตาย เช่นคุณมีญาติที่มีความสัมพันธ์กับตัวอักษร A ใช่ไหม บ้านของญาติคุณบางคนนั้นหน้าต่างแตก เปลี่ยนม่านใหม่ หรือว่าคุณมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้น อะไรพวกนี้ครับ (เท่าที่ผมเคยดูรายการทีวีเรื่อง crossover ของที่นี่ มันยังไม่เคยเห็นสื่อกลาง ทายชื่ออักษรแบบ Q หรือ Z หรือ X เลยครับ) ส่วนมากก็ T, K, C, D, M, A ประมาณนี้อ่ะ

แมรี่นั้นพูดเรื่องหนึ่งครับว่า สังเกตดูเถอะ เรื่องที่พวกสื่อกลางพูดนั้น มันเป็นเรื่องทั่วๆไปมาก ไม่ค่อยมีเรื่องที่แบบเจาะจงหรอก ถ้าติดต่อได้จริงทำไมไม่บอกวันเกิดกันมาเลยหล่ะ แต่แมรี่เองก็ออกตัวไว้ด้วยเหมือนกันว่า แต่เธอก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันมีกระบวนการการสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลกันยังไง พูดง่ายๆไม่เชื่ออย่าลบหลู่นั่นแหละ (แต่เท่าที่อ่านแมรี่ก็ไม่เชื่อจริงๆนั่นแหละ)

นอกเรื่องนิดนึงนะครับ จิตวิทยากับหมอดู

จริงๆแล้วเทคนิคการพูดเรื่องทั่วไปนั้น มันก็มีอยู่ในหมอดูซะด้วยครับ หมอดูนั้นมักจะพยายามทักคนว่าช่วงนี้ดูมีทุกข์ (ก็แหม แน่สิหมอ คนมีความสุขมีใครบ้างเข้าวัด มาหาหมอดู ล่ะครับ) แล้วบางคนก็อาจจะแปลกใจว่า โห หมอรู้ได้ไง  พอเวลาหมอดูทักว่า ช่วงนี้น่าจะมีปัญหาเรื่องการงาน การเรียน ความรัก สุขภาพ หรือครอบครัว (ก็แน่นอนอีกเหมือนกันครับ ชีวิตของคนเราจะมีปัญหาอะไรมากไปกว่านี้) แล้วช่วงอายุและการแต่งตัวของคุณๆนั้นมันก็พอที่จะบ่งบอกได้แล้วไม่ใช่หรอครับว่า คุณนั้นน่าจะตกอยู่ในปัญหาแบบไหน เช่นช่วงอายุ 20 ต้นๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องการเรียน ความรัก หรือว่าจะตัดสินใจเรียนต่อต่างประเทศหรือทำงาน ถ้า 20 ปลายๆ ก็คงจะต้องเป็นเรื่องการงานซะส่วนมาก บวกกับเรื่องความรักแบบถามว่า แฟนหนูจะใช่ไหม ถ้าสี่สิบ ก็เรื่องครอบครัว ลูก สามีมีเมียน้อยหรือเปล่า (ผมว่ามันพอจะเดาได้นะครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่เชื่อว่ามีหมอดูดูแม่นๆนะครับ ผมก็เชื่อว่ามีอีกเหมือนกัน แต่ก็พอๆกับที่ผมเชื่อว่า หมอดูนั้นมีจิตวิทยาที่สูงครับ)

ไหนๆนอกเรื่องมาแล้ว ก็นอกเรื่องมาอีกหน่อยล่ะกัน ทำไมหมอดูถึงดูแม่น เชื่อไหมครับว่า หมอดูที่ดูแม่นนั้นมาจากกลไกการทำงานของสมองครับ เพราะสมองเรานั้น มีการกรองข้อมูลที่เข้ามา โดยการกรองของข้อมูลนั้นจะเทียบกับกรอบความสนใจของเรา ภาษาอังกฤษเรียกกรอบนี้ว่า frame แล้วการกรองข้อมูลว่าเป็น bias ดังนั้นเวลาหมอดูพูดอะไร แล้วมันจริง กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นในอดีต มันเป็น confirmation bias หรือว่า พอเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นตรงกับที่หมอดูพูด มันก็เป็น confirmation bias เหมือนกัน คือว่า เราพยายามหาว่าหมอดูนั้นพูดอะไรที่มันตรงกับความเป็นจริง บางทีมันอาจจะเกิดจากการที่เพื่อนเราไซโค เราด้วยว่าหมอดูคนนี้ดูแม่น มันก็เลยไปกันใหญ่ แต่เรื่องที่หมอดูนั้นพูดแล้วไม่ตรงนั้น ส่วนมากเราจะลืมมันไปครับ เพราะว่าสมองคนเรานั้น จำอย่างที่เราอยากให้มันจำครับ มันไม่ได้จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเคยเขียนไว้นิดหนึ่งแล้วในเรื่อง การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง  

แต่ที่สำคัญที่สุดครับ แมรี่นั้นบอกว่า คนที่คิดว่าตนเองนั้นเป็นสื่อกลางระหว่างคนตายกับคนเป็นนั้น ไม่ได้เพราะว่าเขาตั้งใจหลอกชาวบ้านนะครับ เพราะว่าเขาเชื่อว่าเขามีความสามารถพิเศษตรงนั้นจริงๆต่างหากหล่ะ เข้าทำนองว่า พอทายถูกบ่อยๆเข้ามันก็เลยเป็นเรื่องเข้าข้างตัวเองไปเลย แล้วก็เลยเชื่อไปเลยว่า อ้อ เรานี่มีญาณวิเศษจริงๆนะ

แล้ววิทยาศาตร์กับคณิตศาสตร์เข้ามาตอนไหน วิทยศาสตร์กับคณิตศาสตร์เข้ามาตอนวิเคราะห์ข้อมูลครับ เมื่อเขาให้คนที่ถามนั้นให้คะแนนว่าสิ่งที่สื่อกลางตอบนั้นถูกต้องมากน้อยแค่ไหน แล้วก็มาวิเคราะห์เชิงสถิติ ซึ่งโดยมากนั้นก็ได้ออกมาประเภท statistically insignificant ซะเป็นส่วนมาก

สรุปส่งท้าย

ผมถึงตรงนี้ผมไม่ขอสรุปครับว่าคนเราตายแล้วไปไหน เพราะผมไม่ทราบครับ แล้วคนเราติดต่อกับคนตายได้ไหม ผมก็ไม่ทราบอยู่ดีครับ แล้วทำไมเราถึงต้องการติดต่อกับคนตาย ผมพอจะตอบได้ว่าเพราะเรายังรักและอาลัยคนที่ได้จากโลกเราไปแล้วบางคนอยู่ เราเลยอยากที่จะติดต่อกับคนตาย ซึ่งมีคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกหลายคนที่เชื่อเรื่องนี้นะครับ เช่นคนที่แต่งเชอล็อก โฮล์ม นักสืบชื่อกระฉ่อน เป็นต้น

สำหรับผมแล้ว ผมไม่ต่อต้านหรอกครับว่าคนเราจะติดต่อกับคนตายได้หรือไม่ พอๆกับผมไม่ต่อต้านการสร้างจตุคามรามเทพ และพอๆกับที่ผมไม่ต่อต้านคนที่ไปขอหวยกับต้นไม้  

ผมเชื่อว่าคนเรานั้นมีระดับความเชื่อในเรื่องอะไรๆก็ตามที่แตกต่างกัน และมีความสามารถในการสัมผัสหรือรับรู้ในสิ่งที่นอกเหนือธรรมชาติได้ต่างกัน การที่คนบางคนสัมผัสไม่ได้ รับรู้ไม่ได้ มันไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นไม่มี การที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ว่า "มี" มันไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้น "ไม่มี" และการที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า "มี" ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะมีเสมอไป    

ผมเชื่อว่าคนเรานั้นควรมีอิสรภาพและเสรีภาพทางความคิด ความเชื่อ และการกระทำ ตราบเท่าที่การกระทำ ความคิด และความเชื่อเหล่านั้นไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสังคม และบุคคลเหล่านั้นสามารถรับผิดชอบต่อการกระทำ ความคิด และความเชื่อของตัวเองได้

ด้วยความเคารพต่อทุกๆความเห็นครับ

ปล สำหรับคนที่สงสัยมาถึงตรงนี้ว่าผมนับถือศาสนาอะไร ผมนับถือศาสนาพุทธครับ และผมก็พยายามใช้ชีวิตของผม หาคำตอบว่าศาสนาพุทธที่ผมนับถือหมายถึงอะไรกันแน่ครับ    

 

หมายเลขบันทึก: 104545เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2007 14:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 15:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

เขียนได้ดีเลยต้น

พี่ก็ดูเรื่อง medium ทาง NBC อยู่เรื่อยๆ 

มีอีกเรื่องที่ jennifer love เล่น ชื่ออะไรนะ ที่มองเห็นวิญญาณแล้วช่วยให้ cross-over ได้หน่ะ 

P
ไปอ่านหนังสือ.....
เข้ามาเยี่ยม... 
เพิ่งนึกได้เมื่อวานหรือวานซืนนี้แหละว่า หายไปไหน ...
วันนี้ก็มาเลย....
เจริญพร

สวัสดีครับพี่มัท

ขอบพระคุณมากครับพี่ที่ได้กรุณาเข้ามาเยี่ยม

เรื่องมีเดียมนี่ต้นดูตอนแรกๆครับ แต่ตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ดูแล้ว ส่วนเรื่องที่ Jennifer Love Hewitt เล่นถ้าต้นจำไม่ผิดชื่อเรื่องว่า Ghost Whisperer ครับ :D เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูแล้วอีกเหมือนกันครับ

 

กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ

กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากครับที่ได้ให้เกียรติระลึกถึง ช่วงก่อนหน้านี้ค่อนข้างยุ่งมากครับเลยหายไปนานเลยครับ

 

กราบนมัสการพระคุณเจ้ามาด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ

สวัสดีค่ะคุณไปอ่านหนังสือ

มาบอกว่าคิดถึงอยู่เป็นอาทิตย์แล้วค่ะ ... เดาว่าน่าจะงานยุ่งเพราะเห็นเคยพูดไว้แล้วเหมือนกัน..

พอเห็นบันทึกตอนกลางวัน แต่ก็งานยุ่งพอดี เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านเนี่ยแหละ.. ขยันอ่านขยันเขียนเหมือนเดิมนะคะ ; )

เคยดูสารคดีประเภทคนระลึกชาติได้เหมือนกัน แต่พวกตายแล้วไปไหนเนี่ยไม่ค่อยเจอเท่าไหร่.. เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะคะ ตายแล้วไปไหน กลับมาเกิดอีกไหม.. บางทีคนสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าสนใจทำปัจจุบันให้ดีๆ อีกแน่ะ.. 

ดีใจที่ได้เห็นบันทึกอีกนะคะ...ขอบคุณที่อ่านสรุปหนังสือให้กันเช่นเคยค่ะ...  ; )

สวัสดีค่ะพี่ต้น

หายไปนานเลยนะคะเนี่ย  :D

เรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนี่ ยังไม่มีข้อสรุปทั้งจากวิทยศาสตร์และไสยศาสตร์ ... พูดยากอธิบายยากตอบยากและสรุปยากค่ะ แต่ถ้าเรื่องดูดวงสนุก ๆ ล่ะก็ หาได้ไม่ยาก หุหุ

ขอบคุณสำหรับบันทึกค่ะ

ณิช ^__^

สวัสดีครับน้องต้น

      สบายดีไหมครับ ไม่ได้ทักทายนานคับผม เขียนได้ดีเลยครับ เห็นด้วยเลยครับ ว่าความเชื่อนั้นอยู่ภายใน แต่ละคนมีเครื่องส่งและเครื่องรับต่างๆ จิตของแต่ละคนมีค่าความถี่ต่างๆกันครับ หัวใจก็คนละเบอร์กันครับ หน้าต่างหัวใจที่ไม่เท่ากันทุกคนครับ

     ดังนั้นความเชื่ออาจจะเป็นสิทธิของบุคคลนั้น ข้อสำคัญคือเค้าจะนำความเชื่อที่เค้ามีอยู่ไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างไรก่อนจะสิ้นอายุขัย

      แล้วตามมาด้วยคำถามว่า ตายแล้วไปไหน พี่เชื่อทุกคนสามารถจะตอบคำถามนี้ได้ทุกคนหลังจากที่ทุกคนได้ตายไปแล้ว ข้อสำคัญหลักๆ คือ เราจะใช้ชีวิตก่อนความตายอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อมวลชนและสังคมโลก สร้างความดีงามมากกว่าความชั่วร้าย นั่นน่าจะเป็นคำตอบก่อนชีวิตความตาย อาจจะเป็นคำถามของการค้นหาชีวิตก่อนความตาย

    สิ่งที่พี่คิด คือ   คน = ดิน + น้ำ + ลม + ไฟ + จิตวิญญาณ (จิตวิญญาณกับธาตุสี่ ติดต่อกันผ่านลมหายใจ)  เมื่อตายไปแล้ว ธาตุสี่ จะคืนกลับสู่ธรรมชาติ ส่วนจิตวิญญาณนั้นจะออกไป อันนี้คิดเอาเล่นๆ นะครับ อย่าได้เชื่อเด็ดขาดนะครับ

    สำหรับการเข้าทรง คงต้องสัมผัสกันเองครับ เพราะมีสองแบบคือ การเข้าทรงแบบออนไลน์ และ ออฟไลน์ อันนี้พี่แบ่งเอาเองนะครับ ตามประสบการณ์ที่พบเจอ

     สำหรับเรื่องชีวิตหลังความตายนั้น ในความเชื่อของพี่เองประกอบกับเหตุการณ์ในการสัมผัสที่ผ่านมา มีอะไรที่ติดอยู่ในสมองตลอดครับ แต่พิสูจน์ไม่ได้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่บางทีไม่ต้องพิสูจน์ว่าเกิดได้อย่างไร สิ่งสำคัญที่พี่คิดคือ เราจะเอาสิ่งดีๆ ที่ผ่านการบอกเล่า บอกกล่าว หรือข้อความเหล่านั้นมาใช้กับตัวเราในทางที่ดีกับชีวิตก่อนความตายได้อย่างไร

      หากมีโอกาสคงได้เล่าสู่กันฟังครับผม โชคดีและสนุกในการทำงานนะครับ

รักษาสุขภาพนะครับ

พี่เม้ง

สวัสดีครับอาจารย์กมลวัลย์

ขอบพระคุณมากครับที่คิดถึงครับ เรื่องขยันอ่านขยันเขียนนั้นช่วงนี้ไม่ค่อยจะได้อ่านอย่างที่ใจคิด ไม่ได้เขียนบ่อยอย่างที่ใจฝันครับอาจารย์ (ก็เล่นหายไปเป็นเดือนเลยนี่ครับ :D )

จริงๆแล้วในหนังสือเล่มนี้ ตัวคนเขียนคือแมรี่นั้น ก็บอกว่าคนที่ทำวิจัยเรื่องระลึกชาติได้นั้น เป็น bias ซะส่วนมากครับ เพียงแต่ว่าเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าเรา bias หรือเปล่า

ตายแล้วไปไหน เท่าที่อ่านจากหนังสือเล่มนี้ สงสัยเขาติดต่อได้แต่วิญญาณเร่ร่อนมั้งครับ เพราะเขาไม่เห็นเขียนถึงสวรรค์ นรก เหมือนที่แต่ก่อนผมเคยได้ยินเลยครับ :D เพราะว่าเวลาที่วิญญาณนั้นมาตอบ วิญญาณก็ตอบแต่เรื่องของคนเป็น ไม่เห็นพูดเรื่องของคนตายเลยครับ

สวัสดีครับคุณน้องณิช

ครับ หายไปนานพอสมควรครับ

อย่างที่บอกแหละครับว่า เรื่องชีวิตหลังความตาย อันนี้ไม่ทราบจริงๆครับ แต่ผมเชื่อว่ามีข้อสรุปนะครับ เพียงแต่ว่าเรายังไปไม่ถึงข้อสรุปเท่านั้นเองอ่ะครับ

เรื่องดูดวงสนุกๆนี่ สนุกแล้วมันตรงหรือเปล่าครับ :P

ต้น

สวัสดีครับพี่เม้ง

ขอบพระคุณมากครับที่เป็นห่วง ต้นสบายดีครับ

ความเชื่อเป็นสิทธิ เสรีภาพ และอิสรภาพส่วนบุคคลครับ ตราบเท่าที่ความเชื่อ การกระทำเหล่านั้น ไม่มีผลต่อสังคมส่วนใหญ่ 

ต้นเห็นด้วยกับที่พี่พูดครับว่า เราต้องใช้ชีวิตก่อนตายเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อโลกมากที่สุด เพียงแต่ว่ามนุษย์ส่วนมากนั้นเป็นสัตว์ที่มีความอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา ทำให้การหาคำตอบเรื่องชีวิตหลังความตาย โชคลาง ดวง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ นั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย (โทมัส เอดิสัน ยังคิดที่จะสร้างเครื่องติดต่อระหว่างคนเป็นกับคนตายเลยครับพี่) ทำให้เราอยากรู้ตลอดเวลา

ต้นไม่เคยไปดูคนเข้าทรงครับ อันนี้ต้นเลยไม่มีข้อมูลพอที่จะตอบได้ว่าเป็นยังไงครับ

ถ้าถามต้น สำหรับต้นแล้ว ต้นเชื่อทุกอย่าง พอๆกับที่ไม่เชื่ออะไรซักอย่างครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าเราพิสูจน์ไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อยังไง แต่ที่ไม่ได้ไม่เชื่อ ก็เพราะว่าเราก็พิสูจน์ไม่ได้อีกเหมือนกันว่า มันไม่มีแน่นอน

อีกอย่างครับ ต้นว่าคนเรายิ่งเรียนสูง ยิ่งสมควรเปิดใจให้กว้างครับ การเรียนที่สูงขึ้น ทำให้เราไม่เชื่ออะไรได้ง่ายๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าทำให้เราไม่เชื่ออะไรเลย มันแค่หมายความว่า เราสมควรพิจารณาถึงอะไรกว้างๆรอบๆด้าน ก่อนที่จะพูดและวิจารณ์อะไรลงไปครับ

นั่นก็คงเป็นเหตุผลหลักที่ต้นไม่ต่อต้าน และไม่สนับสนุนต่อความเชื่อเหนือธรรมชาติของสังคมครับ ตราบเท่าที่ความคิดนั้นไม่ได้ส่งผลเลวร้ายต่อสังคมโดยรวม

พี่เม้งรักษาสุขภาพด้วยนะครับ

ต้น

สวัสดีครับ

P
  •  ผมนึกถึงคติทางพุทธที่ว่า ประเด็นนี้ ควรคิดอย่างแยบคาย
  • คำตอบจะเป็น ใช่ หรือ ไม่ใช่ กลับไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่ากับว่า จะวางท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้ ที่จะทำให้ ใช่ หรือ ไม่ใช่   ล้วน เกิดประโยชน์ต่อการมีชีวิตอยู่ของตน และการมีชีวิตอยู่ของตนเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น

 

P

สวัสดีค่ะ

ไม่ได้คุยกันนานเลยค่ะ

ยังนึกว่า ไปไหน คงยุ่งมากค่ะ

เรื่องชีวิตหลังความตาย คงพิสูจน์ยากค่ะแต่วิญญาณน่ะมีจริงแน่นอน เพราะได้สัมผัสมากับตัวเองหลายครั้ง

เรื่องแบบนี้ ไม่เกิด และได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ก็ สองจิต สองใจค่ะ

จะมาติตามอ่านเรื่องอื่นๆอีกนะคะ

สวัสดีครับอาจารย์วิบูลย์

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์อย่างยิ่งครับที่ว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ว่าเรามีท่าทีอย่างไรกับเรื่องพวกนี้ และทำยังไงให้เรื่องแต่ละเรื่องที่อยู่รายล้อมรอบตัวเรานั้นมีประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นมากที่สุด

ผมคิดว่าเรื่องชีวิตหลังความตาย และการติดต่อกับโลกหลังความตายนั้น มันเป็นเรื่องที่ติดอยู่กับสภาพของสังคมและความเชื่อของศาสนาครับ

จากหนังสือ ทำให้ผมเห็นภาพหนึ่งว่าชีวิตหลังความตายหรือการติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วนั้น ส่วนมากจะเกิดกับคนที่มีความเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อาจจะด้วยกลไกสมองบางประการทำให้คนเหล่านั้นเชื่อว่าตนเองติดต่อกับคนที่ตายไปแล้วได้นั้น

แต่เรื่องนี้นั้นก็ยังเป็นเรื่องที่ (ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ) ก็ยังจะมีนักวิทยาศาสตร์ และนักศึกษาทางจิต พยายามหาคำตอบต่อไปครับ

สวัสดีครับคุณsasinanda

ขอบพระคุณครับที่ระลึกถึง ช่วงที่ผ่านมาหายไปนานพอสมควรเลยทีเดียวครับ

ผมคิดว่าเรื่องนี้นั้น เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ดังนั้นผมไม่ค่อยจะมีความรู้สึกเห็นด้วยเท่าไร เมื่อมีคนอีกบางกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จะไปบอกคนกลุ่มที่เชื่อว่า งมงาย โลกนี้ไปถึงไหนแล้ว

แล้วก็เพราะโลกนี้นั้นไปถึงไหนแล้ว ทำให้เรื่องชีวิตหลังความตาย ซึ่งเป็นความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะมีตั้งแต่สมัยอียิปต์ เมโสโปเตเมีย รวมไปถึงอารายธรรมอื่นทั่วโลก กลับไม่ค่อยจะเหมือนกัน ซึ่งถ้าวิทยาการนั้นก้าวหน้าจริง เราก็น่าที่จะหาข้อสรุปได้แล้วไม่ใช่หรือครับ นี่ก็สี่ห้าพันปีแล้วไม่ใช่หรือครับ ที่ความเชื่อเหล่านั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์

ซึ่งดังนั้นก็คงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนพยายามเอาวิทยาการใหม่ๆมาพิสูจน์ว่าชีวิตหลังความตาย วิญญาณ ผี ปิศาจ นั้นมีจริงหรือเปล่า

ตราบเท่าที่เราจะได้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนครับผม

แวะมาดูคร่าว ๆ ครับ

สะสางงานเสร็จจะเข้ามาอ่านแบบละเอียดครับน้องต้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท