เรียน อ.ดร.จีระ
การบรรยายโดย อ. พจนารถ ซีบังเกิด วันที่ 7 กรกฎาคม 2550
เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงผ่าน ไปอย่างรวดเร็วด้วยการบรรยายที่ได้บทเรียนโดยตรงจากการทำกิจกรรมถึง 3 กิจกรรม บรรยากาศการเรียนดีมาก Concentrate but not serious อ.พจนารถ อธิบายและยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาก ทำให้เข้าใจเมื่อเข้าใจก็เกิด การเรียนรู้ การจดจำ และประมวลเป็นองค์ความรู้ได้ในที่สุด การเรียนวันนี้ทำให้คิดว่าการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ ในเรื่องทุนมนุษย์เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถ ซึ่งไม่เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน มีความเข้าใจในเรื่องการผูกใจพนักงานที่ดีให้อยู่ในองค์กร โดยมี People strategy ที่จะทำอย่างไรก็ได้ให้พนักงานอยากทำงานสิ่งสำคัญคือเรื่องของ Trust ซึ่งจะต้องมีในองค์กร แต่เนื่องจากลักษณะ และพฤติกรรมของคนแตกต่างกัน การ Feed back กับพนักงานอย่างไรไม่ให้เกิดผลทางด้านลบ หรือถ้าจะเกิดก็ให้เกิดน้อยที่สุด และสุดท้าย อ.พจนารถ อธิบายได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับปัจจัย 7 อย่างที่จะผูกใจพนักงานที่ดีให้อยู่ในองค์กร
อรพินท์ มณีรัตน์
บรรยายเรื่อง “ Employees Engagement for Sustainable Growth ”
การได้เรียนกับ อาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด ทำให้ได้แนวคิดที่ดีในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้งในระดับองค์กร ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และองค์กรในระดับประเทศ การพัฒนาคนให้ทันสมัยสอดคล้องกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเป็นเรื่องจำเป็นของทุกองค์กร เพราะคนเป็นสินทรัพย์ (Asset) ที่มีคุณค่าที่สุดขององค์กร เพราะฉะนั้นผู้นำขององค์กรต่างๆจึงต้องให้ความสำคัญที่จะต้องพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ
ดังนั้นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ 2 เรื่องที่สำคัญ คือ
1. Leadership และ
2. Employee Management
จากนั้นอาจารย์ได้ให้นักศึกษาให้ความหมายของคำว่า “ Engagement ” ว่านักศึกษามีความเข้าใจหรือให้ความหมายกับคำนี้ว่าอย่างไร?
ซึ่งก็ได้ความหมายว่า เราจะผูกใจพนักงานของเราอย่างไรให้เขาอยู่ ( หมายถึง พนักงานดี มีคุณภาพ ) โดยผลักดันให้เขาได้แสดงศักยภาพทั้ง 3 ด้านของเขาออกมา เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่องค์กร
1. Stay = พนักงานทำงานและอยู่กับองค์กรด้วยความรู้สึกที่ดีมีความจงรักภักดีต่อองค์กร 2. Say = พนักงานภาคภูมิใจในองค์กร เมื่อพนักงานรักและภูมิใจในองค์กรก็จะพูดถึงองค์กรแต่ในสิ่งที่ดี ด้วยความภาคภูมิใจ
3. Strive = พนักงานทุ่มเทกำลังใจ กำลังกาย กำลังสมอง ให้กับองค์กรอย่างเต็มความสามารถ เต็มที่และเต็มใจ
ซึ่งอาจารย์ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจของกาแฟ สตาร์บัคส์ , พนักงานรับโทรศัพท์ของโรงแรมโอเรียลเต็ลและอื่นๆ ให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนว่า
ถ้าเราสร้าง Competencies ให้กับพนักงานจนกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่ดีแล้ว ภาพลักษณ์ที่ดีทั้งหลายจะช่วยทำให้ธุรกิจมีความยั่งยืนยาวนาน
จากนั้นได้กล่าวถึง Trust = C ยกกำลัง 2 ส่วน R อันหมายถึง
1. Creditability ที่เขามี
2. Care = ความรู้สึกที่ดีที่เขามีต่อเรา เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขายังมีเครดิตเราอยู่
3. Risk = ทำให้ความเสี่ยงลดลงเพื่อให้ได้เครดิตที่ดีเพราะฉะนั้นการสร้าง Trust ก็เท่ากับเป็นการสร้าง Good governance ซึ่งก็คือการสร้าง Brand
Engagement Model
เป็นการกล่าวถึงความเกี่ยวพันกันของวงกลม 3 วง คือ
1. Think = Cognitive Commitment (Think) Occurs when employees agree with organizational Directions and values and decide to support them ( buy - in )
พนักงานมีความเชื่อในทิศทางขององค์กร ว่าองค์กรนี้มีคุณค่า เป็นองค์กรที่มีอนาคต น่าทำงาน น่าอยู่ด้วย เพราะเมื่ออยู่ด้วยแล้วรู้สึกได้ว่าทำงานมีความสุข
2. Feel = Affective ( Feel )
Employee feel a sense of belonging , pride and attachmentเป็นความรู้สึกเหมือนหนึ่งพนักงานมีความเป็นเจ้าขององค์กร มีความรัก มีความภูมิใจในองค์กร ตั้งแต่เมื่อทำงานอยู่ และรู้สึกอย่างนี้แม้จะเกษียนออกไปนานแล้วก็ตาม
3. Act = Behavioral (Act) Employee willingness to act in way that are consistent with their belief and feeling Stay – Say – Strive
พนักงานมีความรู้สึก เชื่อมั่นในองค์กร จึงมีความมุ่งมั่นในการทำงาน จนมีผลให้พนักงานแสดงออกทั้ง 3 ด้าน คือ Stay, Say, และ Strive
อาจารย์ได้พูดถึง Jack Welch ที่ได้กล่าวถึงคนในองค์กรว่ามีด้วยกันอยู่ 4 ประเภท
1. Rising Star
เป็นคนเก่ง มีความสามารถ , สามารถพัฒนาให้เติบโตได้ เป็นที่ชื่นชอบขององค์กรทั้งหลาย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นที่จับจ้องหมายปองของคู่แข่งด้วย เพราะคู่แข่งก็อยากได้
2. Work Horse
มี Performance ในการทำงานสูงแต่พัฒนาให้เติบโตไม่ได้ คนกลุ่มนี้ต้องดูแลรักษาไว้ให้ดี เช่น ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับตลาดจ่าย มิฉะนั้นเขาจะไม่อยู่กับเรา
3. Dead wood
เป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีประสิทธิภาพงานต่ำ และไม่สามารถพัฒนาหรือยากจะพัฒนาได้เพราะดูแย่ไปทุกเรื่อง
4. Problem Child จะมีลักษณะ Performance ต่ำ แต่มี Potential สูง เข้าลักษณะเก่งและสามารถแต่ไม่ทำงาน ต้องศึกษาเขาว่าอะไรทำให้เขาไม่ยอมทำงานให้ดีทั้งที่มีความสามารถสูง ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเขาเก่งจริง แต่ยังใหม่อยู่เพราะเพิ่งเข้ามาทำงาน หรือมีอะไรที่เขาเข้าใจผิด จนไม่ยอมทำงาน เมื่อพบเจอปัญหาต้องรีบแก้ไข เพื่อให้เขาทำงาน
แต่สิ่งที่ระมัดระวังอย่างยิ่งคือ ต้องพยายามปรับปรุงแก้ไขพัฒนาคนเหล่านี้ ให้ดีที่สุดเท่าที่ความสามารถพึงจะมี เพราะถ้าหากปล่อยเขาไปแล้ว เขาไปอยู่ในองค์กรอื่นโดยเฉพาะคู่แข่งของเราแล้วเขากลายเป็นคนประเภทที่ 1 หรือ 2 ในองค์กรคู่แข่ง เราจะ
อาจารย์ได้กล่าวถึงลักษณะของคน 4 ประเภท ซึ่งเป็น Individual Style
1. C = Compliance พวกนี้เป็นพวกที่อยู่ในกฎเกณฑ์ ทำตามระเบียบ เน้นความละเอียดถูกต้อง
2. D = Dominant พวกนี้ไม่ชอบอ้อมค้อม เอาเนื้อๆ เน้นๆ ตรงไปตรงมา และดูไม่ค่อยจะเกรงใจใครชอบสั่งการมากกว่าการฟังอะไรยาวๆ
3. S = Steadiness พวกนี้มีความซื่อสัตย์เป็นหลัก เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ค่อยพูดอะไรมาก กลัวคนอื่นจะเสียใจ คนแถบเอเชียมักจะอยู่ในกลุ่ม
4. I = Influence พวกนี้คิดถึงและ care ความรู้สึกของผู้อื่นไม่อยากให้คนอื่นเสียใจ
มนุษย์เรา ในหนึ่งคนอาจเป็นได้ทั้ง 3 อย่างแต่ไม่สามารถเป็นได้ทั้ง 4 อย่าง นอกจากได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว อาจารย์ยังได้ให้นักศึกษา ทำกิจกรรมด้วยการเล่นเกมเพื่อการเรียนรู้ทำให้พวกเราได้ลดอายุไปมากโขอยู่ และยังเป็นการเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน นอกจากนั้น อาจารย์ยังได้เปิดโอกาสให้เราได้ซักถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวางอีกด้วย
ต้องขอขอบพระคุณ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่สรรหาวิทยากรคุณภาพมาให้ความรู้พวกเรา
นายพนม ปีย์เจริญ /
Mr. Panom Peecharoen /
11.07.2007
เรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมภ์ (Homework4)
จากการศึกษาเรื่อง Employees Engagement for Sustainable Growth โดยท่านอาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2550 สรุปได้ดังนี้
Personal กับ HR มีความหมายแตกต่างกัน,การสร้าง Good Governance อาทิเช่นโรงแรมโอเรียลเต็ล เน้นให้พนักงานยึดคติที่ว่า "เมื่อลูกค้าเข้าไปในโรงแรมโอเรียลเต็ล จะไม่พบกับความผิดหวังออกมา" การสร้าง Relationship จะช่วยให้ธุรกิจยั่งยืน ดังนั้น HR ในทุกวันนี้ จะต้องให้ความสำคัญที่ Line Manager ซึ่งต้องตระหนักเสมอว่าพนักงานแต่ละคนมีความเก่งอยู่ในตัวเอง ต้องหาวิธีให้เขาแสดงความเก่งออกมาให้ได้ (บางคนความเก่งหลบใน) นั่นคือ Employees Engagement การสร้างความรักความผูกพัน การผูกใจพนักงานที่ดีให้อยู่ในองค์กรจากสมการ C2/ R,C2 ได้แก่
ส่วน R = Risk = ความเสี่ยง,ถ้า Risk ต่ำจะทำให้ Trust สูง ในทางตรงกันข้ามถ้า Risk สูง จะทำให้ Trust ต่ำ ซึ่งการมี Trust เป็นคุณสมบัติที่ทุกอาชีพพึงมี
...ดังนั้นเมื่อพนักงานคนใดแสดงออกถึงความผูกพันตาม Engagement Model แล้ว ผู้บริหารองค์กรควรจะพิจารณาในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ เช่น การให้โบนัสหรืออื่นๆ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการรักษาคนที่ดีไว้ในองค์กร เพราะกลยุทธ์คือสิ่งที่ทำให้องค์กรมีความแตกต่างจากคู่แข่งขัน และโดดเด่นเหนือคู่แข่งขันได้
ขอบคุณครับ
สิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
การผูกใจพนักงานที่มีให้อยู่ด้วยกันอย่างยาวนาน
กับอาจารย์พจนารถ ซีบังเกิดวันที่ 7 กรกฎาคม 2550 ประเภทของคนในแต่ละองค์กรมีทั้งคนในองค์กรปรารถนาจะให้อยู่ร่วมงาน แต่ไม่ปรารถนาจะให้อยู่ร่วมงานในองค์กร เป็นคนเหลือเลือก แต่ก็ไม่สามารถเอาออกได้ การพัฒนาคนในองค์กรจึงควรใช้เวลาส่วนมากที่จะพัฒนาคนที่ปรารถนาให้ทำงานในองค์กรมากกว่าจะพัฒนาคนที่เป็นปัญหาขององค์กร โดยหวังว่าน้ำดีจะล้างน้ำเสียได้ แต่ก็ไม่ได้ทิ้งคนเป็นปัญหาขององค์กรแต่เลือกในสิ่งที่เป็นจุดแข็งของเขามาใช้ การพัฒนาทีมงานในองค์กร ที่สำคัญต้องสร้างคุณค่านิยมองค์กร มีเป้าหมายร่วมกัน ฝึกค่านิยม ความดี ความมีคุณธรรม จริยธรรม ความใฝ่ดี เป็นฐานให้แข็งแรง เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันสภาวะแวดล้อมภายนอก การพัฒนาทรัพยากรขององค์กรต้องเข้าใจประเภทของคนแล้วพัฒนาให้ตรงกับพฤติกรรม พฤติกรรมเปลี่ยนได้ถ้ามีการเรียนรู้ คนบางคนทำงานได้ดี เมื่อมีความชัดเจน มีที่มาที่ไป มีคำอธิบายให้ชัดว่าทำแล้วจะได้อะไร คนบางคนมีอิสรภาพทางความคิด มองโลกในแง่บวก ไม่ต้องการรายละเอียด มั่นใจตนเองจึงทำได้ทำสำเร็จ คนบางคนแน้นที่ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดมากเน้นเนื้อ ๆ คนบางคนเป็นคนละเอียด มีกฎมีระเบียบ มีทฤษฎี มีงานวิจัยรองรับ การจะรักษาคนเก่ง คนดี ให้ทำเก่งทำดีต่อไปในองค์กร รักษาเขาไว้ องค์กรต้องสร้างใจเขาก่อน “ใจมาปัญญาเกิด” สร้างความรู้สึกดี ๆ ให้อยากทำ ต้องสร้างคุณค่า ค่านิยมในองค์กร แล้วให้มีการกระทำจริงว่าผลการกระทำนั้น ส่งผลดีต่อองค์กรต่อผู้ปฏิบัติอย่างไรแล้วต้องการประเมินผลความสำเร็จของงานอย่างเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ (ไม่ใช้ความรู้สึก) การให้โบนัส การมีรางวัล การชมเชย การเลื่อนก้าวไปสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ต้องมีมาตรฐานที่ทุกคนต้องเข้าสู่ระบบนี้ เหมือนกัน ผู้บริหารองค์กร หัวหน้างานในองค์กร สมาชิกในองค์กร ต้องสร้าง Trust ให้มาก เพื่อการทำงานร่วมกันเป็นทีมมีความไว้วางใจกัน การฝึกอบรมเพื่อการพัฒนางาน การให้คำแนะนำ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ อย่างมีแผน มีการจัดสรรเวลา จัดสรรงบประมาณไว้ ให้เกิดการดำเนินงาน “องค์กรจะอยู่รอดหรือไม่ขึ้นอยู่ที่การเรียนรู้ของคนในองค์กร มากกว่าผลผลิตหรือกำไรขององค์กร” แต่ในการทำงานขององค์กร โดยเฉพาะในหน่วยงานราชการจะพบปัญหาเรื่องคนที่มักจะอยู่ในประเภทพูดมากทำน้อย ปัญหามาก่อน ทำไม่ได้อะไรเสียเวลา อยู่เฉย ๆ จะดีกว่า แบบนี้อยู่มาก วิธีการ คือ เราจะต้องแก้ที่ตัวก่อน เราจะต้องสร้างค่านิยมความเป็นคนมีคุณภาพที่ตัวเราก่อน สร้างทีมงานของเราก่อน สำคัญที่สุดคือ ตัวเรา ทุกคนให้ความสำคัญกับตัวเราว่า องค์กรจะรอดอยู่ที่ตัวเรา จากเล็กก็กลายเป็นใหญ่ได้ “เราบังคับตัวเราได้ดีกว่าที่จะบังคับคนอื่น พฤติกรรมคนเปลี่ยนได้เมื่อเห็นบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ “ การพัฒนาทีมงานต้องมีเทคนิค สร้างทีมงานที่เรียนรู้จากกิจกรรม จากเกมส์ที่ทำ เพราะผู้ใหญ่จะเกิดการเรียนรู้ได้ดีเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ เพราะมีประสบการณ์ในตัวตนของทุกคน สำคัญที่ผู้ทำหน้าที่พัฒนาทีมงานต้องทำหน้าที่เป็น Facilitator เชื่อมประสานคนในทีมงานให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน สร้างค่านิยมองค์กรร่วมกัน อุษา เทียนทองอย่างไรก็ตาม Trust สามารถสร้างได้ ซึ่งอาจารย์ได้ให้สูตรว่า Trust = C2 / R (ต้องการสื่อว่า C กำลังสอง หารด้วย R)
C ตัวแรก คือ Creditability ซึ่งการที่จะมีเครดิตได้นั้นต้องมีองค์ประกอบ เช่น มี competency (มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และ attribute ทั้งหมดของคน ๆ นั้น) มี leadership มี positive attitude มี principle ที่ดีและแม่นยำ C ตัวที่สอง คือ Care ซึ่งหมายถึงการดูแลเอาใจใส่ มีพรหมวิหารธรรม การนึกถึงผู้อื่น การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถึงแม้บางครั้งจะดูกระโชกโฮกฮาก แต่หากเขารู้ว่า care ก็ OK R คือ Risk หมายถึงความเสี่ยงในเรื่องต่าง ๆ ที่จะต้องหลีกเลี่ยง เพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียและมีผลกระทบต่อ trust จากสูตรข้างบน จะเห็นว่า ถ้าเราสามารถสร้าง credit และ care มาก ๆ โดยมี risk น้อย ๆ หรือไม่มีเลย ก็จะทำให้ trust มีมาก Trust เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นและความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ นั้น เราจะต้องเรียนรู้บคคลแต่ละประเภทด้วยว่ามี style แบบไหน และต้องมี skill ที่จะสื่อสารกับบุคคลแต่ละประเภทได้อย่างมีสัมฤทธิผล นอกจากเรื่องที่ผม highlight ข้างต้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจะเป็นเหตุผลสนับสนุนแนวคิดของผมข้างต้นในย่อหน้าที่ ๒ ที่มีต่ออาจารย์ ก็คือ อาจารย์ตอบคำถามที่มีผู้ถามเกี่ยวกับการทำงานของอาจารย์หรือขององค์กรที่อาจารย์สังกัดว่าการทำงานของอาจารย์ “หาเงินแต่ไม่หากำไร” มุ่งสอนและพัฒนาคน ไม่ได้มุ่งทำธุรกิจ เพราะถ้ามุ่งธุรกิจแล้ว ความมุ่งมั่นหรือปณิธานของอาจารย์จะถูก distort ด้วยความเตารพครับ อาจมีผู้แย้งว่ารู้ได้ไงว่าในทางเป็นจริงเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ผมมองข้ามตรงนั้น แต่จับที่วลีข้างต้นที่เป็นคำตอบซึ่งในทัศนะของผมเห็นว่าเป็นการสะท้อนและเจริญรอยตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือไม่โลภอย่างมาก ทุกคนจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพและจุนเจือให้ตนเองหรือองค์กรอยู่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผมนึกถึงการทำธุรกิจของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม)ที่ผมรักและเคารพนับถือที่มีแนวคิดคล้าย ๆ กันอย่างนี้ คือ สินค้าชิ้นเดียวกันที่คนหนึ่งอาจจะคิดว่าหากขาย ๒๐๐ บาท ก็ยังสามารถขายได้ แต่ผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับขาย ๑๕๐ บาท ภายใต้แนวคิดว่าขาย ๑๕๐ บาทเราก็ยังอยู่ได้ อีก ๕๐ บาท เขาจะได้เหลือไว้ทำอย่างอื่นที่เขาจำเป็น ครับ ผมกำลังจะบอกว่าสิ่งที่ผมพูดถึงนี้ก็คืออีกหนึ่ง engagement ของจริงในภาคปฏิบัติที่อยู่บนพื้นฐานของจิตใจมากกว่าการคิดในเชิงทฤษฎี ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นบนพื้นฐานของความรู้รักสามัคคี เสียสละ อดทน พรั่งพร้อมด้วยพรหมวิหารธรรมแล้ว ก็จะทำให้โลกใบนี้รวมทั้งประเทศไทยของเรานี้มีสันติสุขสถาพรสืบไปที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ผมได้รับจากการเรียนรู้กับอาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด ซึ่งนอกจากจะได้แนวคิดเชิงทฤษฎีแล้ว ยังทำให้เกิดประกายความคิดที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ด้วย ต้องขอขอบคุณอาจารย์จีระ หงส์ลดารมภ์ สำหรับการคัดสรรวิทยากรที่มีคุณค่ายิ่งมาให้พวกเราได้เรียนรู้และต่อยอดอีกครั้งหนึ่ง ขอบคุณมากครับ
รักษ์เกชา แฉ่ฉาย
นายชัยธนัตถ์กร ภวิศพิริยะกฤติ ส่งงานครั้งที่ 4
ภายหลังจากได้เรียนกับอาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด ในเรื่องของ Employees Engagement for Sustainable Growth เมื่อวันเสาร์ ที่ 7 กรกฎาคม 2550 ตลอดระยะเวลาได้มีการนำเสนอและทำให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในอันที่จำนำเอาความรู้ไปสำนึกใช้ในหน่วยงาน
การสมานฉันท์ร่วมกันทำงานเพื่อความเจริญเติบโตขององค์การอย่างยั่งยืนนั้น ก็คงไม่พ้นเรื่องคน ระบบสร้างได้ อุปกรณ์เครื่องมือสร้างได้ สิ่งอำนวยความสะดวกสร้างได้แต่คนต้องใช้เวลาสร้างและกล่อมเกลาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดเวลา ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน จึงต้องหันหน้ามาร่วมมือกันซึ่งในบางครั้งปัญหาก็เป็นเรื่องของผู้บริหาร และในบางครั้งก็เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติงาน แต่ที่เคยเห็นมาในภาพรวมบางครั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ก็พูดอย่างเดียวแต่ไม่ทำหรือบางครั้งทำไม่ชอบไม่ควร และไม่เหมาะสม ยังคงไม่รู้สึกตัวว่าได้ทำงานคุ้มค่าเงินที่เขาจ้างหรือไม่ ถ้าเป็นบริษัทเอกชนก็ไม่ต้องถามก็ต้องไปหางานใหม่ ถ้าเป็นงานราชการก็คงต้องหน้าทนทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ไปวัน ๆ และแสวงหาแต่โอกาสและผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ระบบราชการจึงดูเป็นผีเสื้อสมุทรและมีตุ่มหนองแผลเป็น และพาราไซท์มากมาย แต่คนในระบบก็ไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณนายจ้างตัวจริง(ประชาชน) จึงเป็นที่มาของกพร. และการนำเอาระบบธุรกิจมาใช้ในระบบราชการเป็นต้นว่าการออกนอกระบบ(ราชการ) เช่นบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด บริษัท ทศท.จำกัด ฯลฯ เป็นต้น
ผมเองมองเห็นภาพของความสมานฉันท์ร่วมกันทำงานเพื่อความเติบโตขององค์การอย่างยั่งยืน ก็เป็นนวัตกรรมการจัดการทรัพยากรมนุษย์รูปแบบหนึ่งซึ่งเห็นได้ว่า แนวทฤษฎีที่เป็นนั้นจะมีตัวแปรที่คงที่จึงทำให้ผลสามารถมองเห็นได้จริงซึ่งองค์ประกอบ 1. ภาวะผู้นำต้องเข็มแข็งและชัดเจน 2. สัมพันธ์ภาพระหว่างกันต้องเป็นไปทางบวก 3. คุณภาพและสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีคุณภาพ 4. รู้งาน รู้หน้าที่ รู้ภารกิจที่ชัดเจน 5. สายงาน โอกาส และความก้าวหน้าของงานต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม 6. รวมพลังสามัคคี และแสดงศักยภาพเป็นหนึ่งเดียว 7. วัฒนธรรมองค์การและเป้าหมายในองค์ประกอบเหล่านี้จะเป็นการสมานฉันท์สามัคคีกันทำงาน และสร้างความเจริญเติบโตขององค์กรอย่างเป็นรูปธรรม อย่างยั่งยืน ซึ่งพนักงานหรือผู้บริหารคงต้องเปลี่ยนกระบวนการคิดที่สำคัญคือ JD. พันธกิจแห่งงานในหน้าที่และตำแหน่งที่ตนพึงต้องรู้ พึงต้องมีและพึงสำนึกว่าต้องทำ เพื่อการขยายความให้เห็นภาพ ก็คือ R&R ซึ่งก็หมายถึง Role บทบาทหน้าที่ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นหัวหรือก้อยมีภาระงานตาม Role อย่างไร แค่ไหน เพียงไร รวมถึง Responsibility ใน Role ที่เป็นอยู่คือ หัวหรือก้อยนั่นเอง บางครั้งจึงเป็นเหตุแห่งความไม่สมานฉันท์ในองค์กร เพราะคนเรา “ ไม่รู้ตัวว่ามีบทบาทอย่างไร” “จะรับผิดชอบในงานหน้าที่เพียงไร” หรือบางคนเคยเป็นใหญ่ในอดีตแต่ปัจจุบันไม่ใช่ แต่ก็ยังคงติดยึดใน Role เก่า ๆ สิ่งเหล่านี้คือปัญหา หัวหน้าบางคน ลูกคนบางคน เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์สมชายพูด “ รู้ไปหมด เก่งไปหมด แต่มันไม่รู้ สิ่งที่มันต้องรู้” และ “ ทำไปทุกเรื่องมากมาย แต่มันดันไม่รู้ว่าสิ่งทีมันต้องทำ” ปัญหา Employees Engagement จึงยังคงมีอยู่ในระบบนั่นเอง ทำให้องค์กรมี Turn – Over สูง มีความขัดแย้งสูง มีความริษยาสูง มีบัตรสนเท่ห์มากมาย มีข่าวลือ มีแบ่งก๊ก แบ่งพวกมากมาย มีความอยาก (ใหญ่) ไม่รอเวลา มีผลผลิตตกต่ำ มีแต่การจับผิด มีแต่การจ้องเลื่อยขาเก้าอี้ ผลสุดท้ายแห่งปัญหาก็คือ ความด้อยประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ของทั้งองค์กรและคนที่อยู่กับองค์กรทั้งหมดโดยไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย ทั้งหัวหน้าและลูกน้องที่ช่วยกันทำลายองค์กรของตัวเอง อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ (ที่จริงรู้ แต่ก็คงทำอยู่) วันนี้ระบบราชการจึงต้องหันกลับไปหาศาสตร์เก่า ๆ เล่ากันมา 30 - 40 ปี แล้ว ก็คือ Organization Development นั่นเอง ซึ่งมีรายละเอียดมากมายที่จะนำมาซึ่งการสนับสนุนดาวรุ่ง พุ่งแรง ให้มี FastTract ดาวดับก็ต้อง Terminate ถ้า Trainning & Develop แล้วไม่พัฒนา เด็กมีปัญหาก็ต้องปรับพฤติกรรมสร้างแรงจูงใจทั้งรูปแบบตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงิน เพื่อหยุดปัญหาให้กลับมาเป็น The rising sun พวกม้าหนุ่มก็ต้องทุ่มทรัพยากรให้มีแรงบุกลุยตามที่อยาก และฉายทางวิ่ง ให้เป็นด่าวรุ่งพรุ่งนี้ ส่วนพวก Deadwood ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นเฉพาะคนเก่า ๆ คนแก่ ๆ ที่ไม่สมอารมณ์หมาย ไม่ก้าวหน้าเงิน ไม่จูงใจ ระบบงานเป็นปัญหา นายเป็นปัญหา และเพื่อนร่วมงานก็เป็นปัญหา ในความจริงแห่งยุคสมัย Deadwood มีทั้งเด็ก ๆ ทำงาน ปีสองปี พวกรุ่นกลาง ทำงาน3-5 ปี พอพวกนี้มองระบบ มองสิ่งแวดล้อมในองค์กรแต่ทางลบจึงไม่มีความสุขในการทำงานทำไปวัน ๆ ทำไปแบบไร้ชีวิต และจิตวิญญาณ คนพวกนี้ต้อง Terminate เท่านั้น เพราะสมองสั่งการแต่ทางลบ ลบ ลบ และโคตรลบ มองทุกอย่างเป็นปัญหา มองทุกอย่างเป็นทางตัน มองทุกอย่างเป็น The End Of The World พวกนี้มีมากในระบบราชการเพราะราชการรับคนเข้าระบบง่าย เอาออก ยาก ยาก ยาก (โคตรยาก) ซึ่งหาสำนึกบ้างเกิด (องค์กร) ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าจึงเรียกคนพวกนี้ว่า บัวใต้น้ำ และรากเน่า ไม่ต้องถามเลยว่าจะโผล่พ้นน้ำหรือไม่
Employees Engagement จึงไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าหรือลูกน้อง เพราะ Leaders และ Followers คงต้องหันหน้าหันมาหากัน (ไม่ใช่เผชิญหน้ามาฆ่ากัน) หาฉันทานุมัติ ในการสร้างระบบ สร้างงาน สร้างคน สร้างกำลังใจ สร้างโอกาส และแชร์ผลประโยชน์ให้สอดคล้องกันในบทบาท และหน้าที่ของแต่ละองค์ประกอบ วันนี้ HRM ได้มองถึง Competency ก้าวสู่ Talents เพื่อสร้างความมีเปรียบในการแข่งขันวันนี้ Synergy/ Aliances /Networking จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลย การคิดดี การทำดี การมีความรัก รัก รัก และภักดี จึงเป็น Keyword ในการสร้างสมานฉันท์ร่วมกันทำงานเพื่อสร้างองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน คนเราถ้ามีความรู้สึก ที่ดี ๆ อะไรผิดนิด ก็ไม่ว่ากัน อะไรผิดมากก็ร่วมกันหาทางออก (ไม่ใช่ร่วมกันทำผิด/โกง)
ผู้นำจึงต้องสร้างภาพให้ดูดี (ต้องมีดีให้ดู) สร้างความเก่ง (มีของจริงให้ลอง) สร้างบทให้นำ(ไม่ต้องหรูแต่ดูดีได้) สร้างธรรมให้เกิด (ความเป็นธรรม ความชอบธรรม ความมั่นคงตรงอยู่บนธรรม) และวันนั้นก็จะมีซึ่ง “ความเชื่อมั่น” “ความเชื่อถือ” “ความภักดี” ไม่ว่าจะเป็นบทของผู้ตามก็กลับสมการทอนอำนาจลง ก็จะเป็นบทของผู้ตามที่สมควร จะมีได้ใน Employees Engagement For Sustainable Growth ได้แน่นอน ผมเชื่อว่าถ้าคนในองค์กรไม่ละวาง ไม่ละเลย ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ร่วมมือ ไม่แสดงศักยภาพ ไม่สน ไม่ภักดี ไม่มีใจรักในองค์กร ฯลฯ เอาออกไปทิ้งให้หมด ลบคำว่า “ไม่” ออกให้หมด Engagement ก็ไม่ไกลดังฝัน คนนั่นแหละทำได้ ทั้งสร้างสรรค์และทำลาย ซึ่งก็บังคับไม่ได้ ว่าใครจะใฝ่ทำลาย หรือใฝ่สร้างสรรค์ คงอยู่ที่ “ จิตสำนึกรักบ้านเกิด” (องค์การ)Human Capital Management Homework#4 โดยนายปรีติ ปิติอลงกรณ์ เสนอ อ.พจนารถ ซีบังเกิด และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมย์
สิ่งทีได้จากการเรียนในครั้งนี้คือ ความน่าฉงนใจในเรื่อง Trend ของหลักของการบริหารเรื่อง TRUST และ Relation เนื่องจากที่จริงแล้ว TRUST(Csquare/R) และ Relation มีมาตลอดในการดำเนินกิจการในสมัยก่อนโดยเฉพาะคนจีน คือ ในสมัยก่อนกิจการมักสร้างความไว้วางใจในลูกค้าโดยให้เครดิต ทำให้ลูกค้าไว้วางใจในกิจการโดยความซื่อตรง ไว้วางใจได้ ค้าขายในลักษณะความสัมพันธ์แบบคนกันเอง (กากี่นั้ง) แต่พอผ่านมาระยะหนึ่งลูกหลานก็บอกว่าต้องปรับระบบการบริการแบบผฝรั่งจึงจะเติบโตแอยู่รอดได้บางกิจการก็เติบโตแต่บางกิจการกลับไปไม่รอด พอมาตอนนี้เหตุใดจึงคืนกลับสู่สามัญคือพูดกันเรื่อง TRUST และ Relation ว่าเป็นแก่นของการบริหารทั้งคนและองค์กรทั้งหมดอีกแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่เมื่อได้ระลึกถึงเมื่อไรทำให้รู้สึกว่ามันคือกรอบของการแก้ปัญหาได้หลายอย่าง คือการกำหนดกรอบของสิ่งที่ควบคุมได้ให้เล็กกว่าสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เราตัดบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ออกจากการควบคุมของเรา (สบายใจขึ้นเยอะ) ส่วนเรื่อง R&R หรือ Role and Responsibility ที่อาจารย์แนะนำให้เข้ามาใช้แทน JD (Job Description) ก็เหมือนได้เห็นทางสว่างเรื่อง HR ขึ้นมาทันทีครับ
สุดท้าย ได้รู้ว่า Employee Engagement (Think=>Feel=>Act) คือการหาวิธีการทำให้คนที่มีความสามารถ(Star, Work Horse)อยู่ทำงานกับเราด้วยใจ ซึ่งนี่คือสุดยอด HR เลยครับ สรุปว่าการเรียนในครั้งนี้ผมได้รับความรู้และเคล็ดวิชาที่ประเมินค่ามิได้จากจอมยุทธ์อย่างแท้จริงครับ
ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ครับ
จะเห็นได้ว่าการบรรยายของอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด ในเรื่อง Employees Engagement for Sustainable growth ได้ให้ความรู้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก และขอขอบพระคุณที่ได้ให้ความรู้ ซึ่งผู้เรียนได้นำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ได้เป็นอย่างดี และกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ได้สละเวลาอันมีค่ายิ่ง ในการบรรยายให้กับ คณะนักศึกษาปริญญาเอก สาขานวัตกรรมภาครัฐและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
นางสาวกฤษณา ปลั่งเจริญศรี
นักศึกษาหลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต
สาขานวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาEmployees Engagement For Sustainable Growth วันที่ 7 ก.ค. 2550 อาจารย์พจนารถ ซีบังเกิด ได้กรุณาให้ความรู้เรื่อง Employees Engagement ท่านอาจารย์ได้บรรยาย ดูแลใส่ใจพนักงาน, สร้างความสามัคคี, ความผูกพันกับพนักงาน การสร้างความเป็นบึกแผ่น เ ท่านอาจารย์เสนอแนะว่า Engagement คือ การผูกใจพนักงานที่ดีให้อยู่ในองค์กรการเอาใจใส่ในเรื่องบางเรื่องของพนักงานโรงแรมคือโรงแรม Oriental Hotel ลูกค้าจะโทรมาผิดคิดว่าเป็นร้าน Oriental Princess ซึ่งขายเครื่องสำอางค์ แทนที่พนักงานจะบอกว่าไม่ใช่หรือโทรผิดแล้ววางหูโทรศัพท์กลับบอกเบอร์โทรของ Oriental Princess ให้กับลูกค้ารายซึ่งเป็นตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จจากการที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ที่ทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกที่ดีแล้วอยากใช้บริการของโรงแรม ซึ่งเป็นการสร้าง Relationship กับลูกค้าในลักษณะนี้จะช่วยให้ธุรกิจยั่งยืนและสกัดคู่แข่งขันได้ ฉะนั้นการสร้าง Trust เป็นเสมือนการสร้าง Good Governance โดย Trust = C2 / R
Rคือ 1) Creditability : การมี คือต้องเก่งในงาน มี Leadership (ตรงเวลา, รักษาคำพูด, พูดจาฟังดูดี) ยืนหยัดบนความถูกต้องไม่ใช่ถูกใจ 2) Care : ดูแลใส่ใจ บัญชีออมใจสามารถถอนได้ 3) Risk : ความเสี่ยง คบกับเราแล้วความเสี่ยงต่ำ ความเสี่ยงในอาชีพ ดังนั้นเมื่อพนักงานมีความผูกพันแล้วจะมี Royalty ซึ่งทำให้ 1) Stay : มีความปรารถนาที่จะอยู่กับองค์กร 2) Say : พูดถึงองค์กรในแง่ดีตลอดเวลา 3) Strive : พยายามอย่างที่สุดในการทำงาน ทำมากกว่า R&R (Role and Responsibility) Engagement Model จะประกอบด้วย 3 ส่วนคือ 1) Think : พนักงานต้องมั่นใจว่า Mission/Vision ขององค์กรนี้ถูกต้อง 2) Feel : พนักงานรู้สึกภูมิใจและผูกพันต่อองค์กร 3) Act : คนเชื่อมั่นในสิ่งต่างๆ ในองค์กร ดังนั้นจึงทำงานทุ่มเทให้องค์กร ดังนั้น กลยุทธ์ (Strategy) จะทำให้องค์กรแตกต่างจากคู่แข่งขัน ซึ่งพนักงานที่ทำกลยุทธ์ก็จะได้รับโบนัสพิเศษมากกว่าคนที่ทำงาน routine Types of Performers 1 Rising Star - High Potential, High Work Performance 2 Work Horse - High Potential, Low Work Performance ต้องรักษาเขาไว้ เป็นคนที่ไม่ต้องการโตในองค์กรและไม่มีปัญหาในองค์กรเพราะไม่ยุ่งกับใครแต่ต้องการทำงานให้ เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อองค์กรมีความรู้มาก 3 Deadwood - Low Potential, Low Work Performance เป็นคนที่ไม่รับเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่รับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง เป็นคนที่อยู่มานานในองค์กรลูกค้าจำได้ ฉะนั้นควรให้โอกาสเขาในการพัฒนาโดยบอกให้เขาทราบให้ระยะเวลา 6 เดือน ถ้าครบกำหนดแล้วไม่มีการพัฒนาก็ไม่ควรให้อยู่ในองค์กรอีก 4 Problem Child - High Potential, Low Work Performance องค์กรต้องรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วแก้ไขปัญหานั้น อาจจะทำโดยการปรับทัศนคติ หรือ Motivate หรือ Input ด้านเครื่องมือ ความรู้ต่างๆ ให้กับเขา วันหน้าเขาจะขึ้นไปเป็น rising star ได้ The Seven Factors of Engagement 1 Culture and Purpose 2 Leadership 3 Relationships 4 Quality of Life 5 Job Tasks 6) Opportunity และ 7 Total Compensation โดยองค์กรควรเลือกทำเรื่องที่จะทำได้ก่อนปีละ 1-2 เรื่องก็เพียงพอ ซึ่งการเรียนกับท่านอาจารย์ในวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าทราบเรื่อง Engagement เป็นอย่าดี รู้สึกว่าได้รับความรู้ในสิ่งที่เรายังไม่รู้มีอีกมาก ทั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์กับข้าพเจ้าเป็นอย่างมากและขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครั้งที่ 4 บรรยายโดยอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด จากการที่ฟังบรรยายในครั้งนี้ทำให้ได้รับรู้มุมมองในการบริหารที่กว้างมากขึ้นในการผูกใจพนักงานให้อยู่กับองค์กร เป็นงานที่ท้าทายของผู้บริหารในการที่จะทำให้พนักงานที่มีอยู่เกิดความผูกพันโดยให้มีความรู้สึกว่าองค์กรเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต Engagement Modelคือ โครงสร้างความผูกพันประกอบด้วย
-ความมั่นใจในองค์กร ผู้บริหารต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานโดยการสร้างบรรยากาศการทำงานให้มีความน่าเชื่อถือ สร้างเครดิตที่ดีกับองค์กรมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้บุคคลภายนอกได้รู้จักจุดแข็ง รู้จักสัญลักษณ์แห่งความเป็นสถาบันขององค์กรเราเพราะทุกอย่างที่จะเกิดตามมาหลังจากความมั่นใจที่มีให้กับองค์กรคือการระดมสรรพกำลังในการทุ่มเทเพื่อสถาบันที่ตนเองทุกอย่างเริ่มต้นที่ความมั่นใจกับองค์กร
-สำนึกที่ดี มีความหมายที่กว้างและมีความสำคัญอย่างมากสำหรับองค์กรถึงแม้องค์กรจะมีคนเก่งมาก ฉลาดมากแต่หากขาดจิตสำนึกรักองค์กรแล้วองค์กรนั้นจะไม่สามารถอยู่ได้นาน ต้องเริ่มที่การปลูกฝังทัศนคติที่ดีตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานและองค์กรต้องมีส่วนในการพัฒนาจิตสำนึกที่ดี มีความภักดีต่อองค์กร
-ทำทุกอย่างเพื่อองค์กร เริ่มจากความเชื่อมั่นและจิตสำนึกที่ดีเป็นองค์ประกอบให้บุคลากรคิดผลิตผลงาน สินค้าและบริการโดยคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของผลงานเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
อาจารย์ได้ให้หลักในการคิดในเชิงมุมมองหลายด้านที่เป็นประโยชน์อย่างมากเช่นมีทั้งปัจจัยที่ควบคุมได้และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้การทำงานบริหารงานต้องเตรียมทางออกไว้มากกว่าหนึ่งทางนั่นคือ กลยุทธการบริหารคือสิ่งที่ทำให้องค์กรแตกต่างจากคู่แข่งขัน ต้องขอบขอบคุณอาจารย์พจนารถที่ท่านได้ถ่ายทอดความรู้เชื่อมโยงหลากมิติให้ง่ายได้ในความเข้าใจเป็นอย่างดี
2. การพัฒนาคนในองค์กร
ทั้ง 7 Factor มีผลกระทบต่อสัมพันธภาพระหว่าง องค์กรกับบุคคลากรในหลายด้าน ดังนี้
1. ความสามารถของบุคคลากร รวมทั้งการพัฒนาความรู้ ความสามารถของตน ให้สอดคล้องกับองค์ที่เปลี่ยนแปลงไป 2. การประเมินผลการปฏิบัติงาน ประเมินจากความสามารถพิเศษ ความรวดเร็วในการทำงาน, ทำงานถูกต้องแม่นยำ เมื่อบุคลากรปฏิบัติงาน องค์กรจะทำการประเมินผลการปฏิบัติงาน ซึ่งส่งผลให้องค์การแบ่งบุคลากรเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. Problem Child เป็นกลุ่มบุคลากรที่มีศักยภาพสูง แต่ความสามารถในการทำงานต่ำ สร้างปัญหาในการทำงาน 2. Rising Star เป็นกลุ่มบุคลากรที่มีศักยภาพ และความสามารถสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่องค์กรต้องรักษา และพัฒนาให้ทำงานในองค์กรตลอดไป 3. Work Horse เป็นกลุ่มบุคลากรที่มีศักยภาพต่ำ แต่มีความสามารถสูง ซึ่งเป็นบุคลากรส่วนใหญ่ขององค์กรที่ทำงานประจำ (Back Office Operation) หากบุคลากรในกลุ่มนี้ได้รับการจูงใจ หรือโอกาส จะก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้น และก้าวเข้าสู่ Rising Star ในองค์กรใหม่ได้ 4. Deadwood เป็นกลุ่มบุคคลากร ที่มีทั้งศักยภาพ และความสามารถต่ำ ทั้งนี้องค์กรต้องให้โอกาสบุคลากรในกลุ่มนี้ ได้ปรับปรุงการปฏิบัติงานตลอดจนแนวความคิด ทรรศนะนคติ ที่มีต่อการทำงาน เพื่อให้พัฒนาการทำงานได้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าการบรรยายของอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด ในเรื่อง Employees Engagement for Sustainable growth ได้ให้ความรู้แก่ผู้เรียนเป็นอย่างมาก และขอขอบพระคุณที่ได้ให้ความรู้ ซึ่งผู้เรียนได้นำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานจริง ได้เป็นอย่างดี และกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ได้สละเวลาอันมีค่ายิ่ง ในการบรรยายให้กับ คณะนักศึกษาปริญญาเอก สาขานวัตกรรมภาครัฐและท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา นางสาว กฤษณา ปลั่งเจริญศรีนักศึกษาหลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิตสาขานวัตกรรมการจัดการมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทาSurachet Suchaiya (Mobile: 089 205 3098, [email protected])
HomeWork# 4 Human Capital (7-Jul-07)
Employee Engagement for Sustainable Growth.
Aj.Potchanart Seebungkerd
ความรู้ที่ได้จากการเรียนในวันนี้
ก่อนเริ่มเรียนได้ทราบว่า อ.พจนารถ ซีบังเกิด อยู่ที่ APM Group และเป็นประธาน Human Capital Club (Thailand) หรือ HCC
อ.พจนารถ เริ่มต้นที่ Competency Competency ไม่ใช่ความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่ Competency หมายถึง knowledge, skill, Attribute โดยยกตัวอย่าง case Study ของ star bug ร้านกาแฟที่ดังที่สุดในยุคนี้ มีผู้คนมากมาย นิยมชมชอบ ติดอกติดใจ ใน Brand ของ Star Bug ถึงขนาดยอมจ่ายเงินก่อนซื้อ Star Bug Card ทำให้มองเห็นว่าลูกค้ามีความภูมิใจที่ได้ใช้สินค้าและบริการที่ร้านกาแฟ ภายใต้ Brand นี้เป็นอย่างมาก
เราจะเห็นได้ว่า สินค้าที่ Star Bug จำหน่าย เช่น กาแฟ, คุ๊กกี้,เค๊ก เหล่านี้ ที่จริงแล้วไม่ได้อร่อยกว่าที่อื่น แต่ ที่ Star Bug ได้มี Organization culture ที่ปลูกฝั่งให้พนักงาน นิยมเข้าใจลูกค้า พนักงานสามารถจดจำได้ ทั้งในเรื่องรสชาติที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการ ชื่อของลูกค้า ความมีน้ำใจที่มีให้ ทำให้ Star Bug มีความโดดเด่นกว่าคู่แข่ง สามารถครองใจลูกค้าที่ทั่วโลก.
อ.พจนารถ ได้ยกประโยคที่มีความหมายขึ้นมา 2 ประโยค คือ At the end of the day. At the end of your life. ไม่ว่าเราจะทำกิจการงานสิ่งใด เรื่องจากทุกเรื่องในแต่ละวัน และ ในชีวิตประจำวันของเราล้วนเกี่ยวข้องกับคนทั้งสิ้น ทำให้ผมได้ทราบว่า Relationship เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจาก Relationship ช่วยลดเวลาในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่มีต่อเราได้มาก.
แนะนำให้รู้จัก Trust
Trust = (C^2)/R;
Trust มีในทุกคน แม้ไม่มีอาชีพ ไม่มีเงิน ไม่มีฐานะ
C^2 = Creditability x Care;
Creditability = รักษาคำพูด;
= มีความรู้ความสามารถ;
= มีคนรักนับถือ;
Care = ห่วงใย;
= ห่วงหาอาทร;
Risk = ความเสี่ยง;
เรื่องเกี่ยวกับความเสี่ยงนั้น หากทำอะไรแล้วมีความเสี่ยงต่ำ ผู้คนอยากคบหาด้วย การที่ทำอะไรแล้วมีความเสี่ยงมากจะทำให้ Credit ลดลง หรือไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ.
Trust เกิดได้ตั้งแต่แรกเห็น บางครั้ง Trust ได้มาด้วยภาษากาย Trust ได้มาด้วย Credit ความห่วงหาอาทร, ห่วงใย, Trust เกิดได้กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ.
แนะนำให้รู้จัก Employee Engagement
เมื่อ Staff Engagement แล้ว เขาจะพูดถึงองค์กรในแง่ดีตลอดเวลา แม้องค์กรจะไม่ได้ Perfect ทุกอย่างแต่น่าอยู่ พวกเขาจะทำมากกว่า Role and Responsibility เกิด Thinking ในทางที่ดีบริษัทฯ มีโอกาสโต. เขาจะมี Stay, Say, Strive, มี Feel รู้สึกว่าเป็นทีมของที่นี่, เชื่อถือผู้บริหารที่นี่ Act เมื่อ Thinking และ Feel แล้วจะแสดงออกทางพฤติกรรม (Behavior)
Type of Performanace ในองค์กรมีคน 4 ประเภทดังต่อไปนี้
Rising Star : คนกลุ่มนี้มี Performance สูง และมี Potential สูง เราชอบ / คู่แข่งก็ชอบ.
Work Horse : คนกลุ่มนี้มี Performance สูง แต่ไม่มี Potential ในองค์กร พวกเขาชอบทำงานใน Role and Responsibility หรือ ใน Job Description ได้ดีมาก พวกเราไม่ชอบเป็นหัวหน้า. ไม่ชอบโตในองค์กร อยากมีเวลาส่วนตัวมากกว่าความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน. คนกลุ่มนี้ต้องจ่ายเงินเดือนให้ Align กับตลาด ถ้าอยู่นานควรมี Incentive ดึงใจเอาไว้.
Deadwood : คนกลุ่มนี้ Low Performance และ Low Potential เขาจะไม่สามารถรับรู้ศาสตร์ หรือ วิทยาการใหม่ ถ้าเราไม่มีระบบจัดการที่ดี คนกลุ่มนี้จะเพิ่มจำนวนมากในองค์กร อย่าเขาไว้ในองค์กรเนื่องจากสงสารเขา เพราะเขาอาจเป็น Rising Star ใน Business อื่น.
Problem Child : คนกลุ่มนี้ Low Performance แต่กลับมี High Potential ตัวอย่างของคนกลุ่มนี้ เช่น เด็กเส้น, เด็กฝาก, หรือ พวกลองงานใหม่.
แนะนำให้รู้จัก COC และ COI
COC Circle of concern
COI Circle of Influent
อ.พจนารถ ยกตัวอย่าง การที่เราจะแก้ปัญหาระบบทั้วประเทศชาติไม่ได้ แต่เราแก้ไขที่ตัวเราเองได้ COI เป็นอะไรที่เริ่มจากตัวของเราก่อน แม้จะไม่มีทางใหญ่กว่า COC ได้แต่จะขยายไปเรื่อยๆ
ระบบFeedBack คล้ายกับการปวารถนาตัวกันที่พระภิกษุสงฆ์ถือปฎิบัติกัน.
โดยมากมนุษย์ไม่ค่อยชอบใช้ ระบบ Feedback เท่าไหร่นัก การจะ Feedback ผู้อื่นอย่าให้เขารู้สึกว่าเขาถูกด่า อย่าเจาะจงตัวเกินไปให้ใช้ iMessage เช่น คุณเป็นคนเก่งเป็นหน้าเป็นตาของบริษัทฯ อย่าทำอย่างนี้เลย เรารู้สึกไม่ดีอยากให้ช่วยปรับปรุง
บุคคลิกของคน : คนทุกคนจะมีส่วนเหมือนประเภทดังต่อไปนี้ ตามแต่ละคนจะไปมากบ้างน้อยบางคละเคล้ากันไป.
ประเภท D (Dominance)
- คิดเร็ว, มี Six Saint, เป็นพวกมี Visionary
- ดูภาพกว้าง, ชอบอะไรที่ไม่เยื้อยาว, เนื้อๆเน้นๆ
ประเภท S (Sturdiness)
- มีเหตุผล
- นักฟังที่ดี , ไม่มี Feedback
- Care ความรู้สึกคนอื่น
ประเภท C (Compliance)
- ยึดหลักการ
- ละเอียดถูกต้อง
ประเภท I (Influents)
- มองโลกในแง่ดี
- ทำงานดี เป็นพวก Horse work
Activity 1 (รู้จักคนใกล้ตัวเรา)
อ.พจนารถ ให้เลือกส้มคนละผล โดยให้เราทำความรู้จักกับส้มเสมือนเป็นเพื่อนของเรา แล้วใส่ถุงคืนเจ้าหน้าที่ หลัง Coffee Break อ.พจนารถ ให้พวกเรามาเลือกส้มผลที่เราได้ทำความรู้จักผลเดิมคืน จากนั้น อ.พจนารถ สรุป case study ที่ให้พวกเราทำกิจกรรมว่า ส้มแต่ละผลที่พวกเราเลือกเสมือนพนักงานของเรา หรือ ลูกค้าของเราที่เราต้องเอาใจใส่กับเขา
Activity 2 (Positioning ในองค์กร)
อ.พจนารถ แจกผ้าขาดผมและให้พวกเราในห้องแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม แล้วแต่ละกลุ่มเลือกไพ่มาเสียบไว้ที่ผ้าคาดผม จากนั้นให้ปฎิสัมพันธ์กันในกลุ่มโดยห้ามบอกว่าใครมีไพ่อะไรอยู่แล้วให้จัดแถวโดยหัวแถวเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย. อ.พจนารถ สรุปให้พวกเราว่าในองค์กร เราจะสามารถเรียนรู้และทราบลำดับชั้นต่างๆได้เอง โดยไม่ต้องมีใครบอก. ก็เหมือนกับที่พวกเราสามารถทราบไพ่ที่เสียบไว้ที่ผ้าคาดผมของแต่ละคนได้เองจากกับที่สังเกตพฤติกรรมและ Feedback ที่คนเราข้างมีให้เรา.
Training Road Map (TRM) | Competency Development Program (CDP) |
- พัฒนาตามอายุงาน | - พัฒนาตามศักยภาพ |
- ไม่มีการประเมินรายบุคคล | - ประเมินรายบุคคล |
- แผนพัฒนาเหมือนกัน | - การพัฒนารายบุคคล |
- พัฒนาด้าน TQC Functional | - การพัฒนาขึ้นกับผลการประเมินรายบุคคล |
General Management |
องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization)เป็นรูปแบบองค์กรที่สนับสนุนให้ทุกคนเพิ่มขีดความสามารถอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการเฉพาะอย่างยิ่งเรียนรู้ได้เร็วกว่าคู่แข่งขันพื้นฐานในการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้จากหนังสือ The Fith Discipline Field book : Strategies and Tools for Building a Learning Organization by Peter Sengeการเรียนรู้ (Learning) กับการเก็บข้อมูล (Take Information)การเรียนรู้ไม่ได้หมายถึงการได้อ่านหนังสือแต่หมายรวมไปถึงการได้ทดลอง หรือฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาพัฒนาขีดความสามารถของเราให้สูงขึ้น Development Method- Training- Master Degree Scholarship- Domestic and Oversea Visit- Job Rotation- Coaching, Counseling- Being Instructor- Productivity Improvement Participation- Other Learning Process หลักสูตรที่จัดฝึกอบรม
ระดับบริหาร | ความรู้ทางธุรกิจ | ความรู้ในงาน | บริหารทั่วไป | พัฒนาภาวะผู้นำ/การเจรจาต่อรองการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ |
ระดับบังคับบัญชา | การบริหารคุณภาพ | การสื่อข้อความ/เทคนิคการนำเสนองาน หลักการบังคับบัญชา/การพัฒนาทีมงาน | ||
ระดับปฏิบัติการ | ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม | ภาษาอังกฤษ/การพัฒนาทีมงาน |
Dear Prof. Chira,
Our 5th week on Human Capital Class had an opportunity to meet k. Sirilak Meksang. Her topic was focus on "Competence, Training & Learning".
There are two parts of her sessions. Today was the first part. She described on the linkage of HR and Marketers. Marketing person must understand and has the knowledge on HR aspect. It will be a value added to the organization to have the marketers who have the "HR skills & characteristic".
The systematic thinking also is another issue, she went over of how important to understand how to think in the system by using the 5W 2 H. She introduced us to Schultz who described and pointed out the most important aspect on the human capital. She had couples of case study to support Schultz's Theory.
From Schultz Theory, we can see the linkage to the skill, ability, knowledge and experiences.
These 4 factors are essentials and can be part of the Key Indicator Performance. These 4 main aspects have the strong lead to become "High Performance Workforce" to the organization.
She went furthermore on the part of the core compotencies which part of the culture & value.
The Human Capital is basically relevant to the 4 factors. The contributions to Human Capital is how the organization focus on competencies, training and learning.
Her experiences and knowledges on Human Capital are most valuable to class. Personally looking forward to her 2nd part on this topic.
Thank you & with best regards,
Sarah (NaPombhejara) Allapach
SSRU/DM
21 July, 2007
ในวันนี้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องของการทำวิจัยที่ดี ต้องมีที่มาจาก Quality paper และต้องสามารถ Reference ได้ด้วย นั่นคือการสร้างวินัยที่ต้องมีทั้งในสมองและจิตใจ (Know yourself about your role and responsibility) รากฐานที่ดีจึงมักจะเกิดจากกระบวนการวิจัย องค์ความรู้ด้าน HUMAN CAPITAL ข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์จากการอ่านบความจากการตีพิมพ์ของงานวิจัย กล่าวว่า อีก 5 ปีข้างหน้า HR ของประเทศไทยจะประสบกับภาวะวิกฤตอย่างหนัก เนื่องจากในส่วนของ HRM คนไทยนิยมนำ Tool หรือเครื่องมือในการบริหารจัดการจากต่างประเทศมาใช้ ในขณะที่เครื่องมือบางอย่างไม่สามารถใช้กับองค์กรไทยเนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง และปล่อยให้พนักงานเกิดช่องว่างจากการทำงานที่ไม่มีความสุข รวมทั้ง การปล่อยให้บทบาทหน้าที่สำคัญตกอยู่กับที่ปรึกษา รวมทั้ง บริษัทข้ามชาติซึ่งเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยมักจะมีการจ้าง HR ต่างประเทศที่มีความสามารถในการวางแผนพัฒนาองค์กรสู่เวทีระดับโลก การจัดการความรู้ด้านการบริหารบุคคลจากบริษัทในเครือซึ่งในหลายประเทศ ทำให้สามารถนำแนวทางการจัดการของประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับปรุงใช้ได้ ในขณะที่ HR คนไทยเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยประสานการทำงานระหว่างผู้บริหารกับพนักงานคนไทย ไทยยังไม่ปรับตัวให้เท่าทันกับกระแสโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งเป็นผลให้อนาคตบุคลากรคนไทยจะว่างงานมากขึ้น เนื่องจากอนาคตอันใกล้ ผู้บริหารองค์กรไทยจะให้ความสำคัญกับ HR ต่างชาติเพราะมีคุณภาพการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า HR ไทยHR ในวันนี้ต้องรู้จักลูกค้า ซึ่งหมายถึงลูกค้าภายใน ว่าเขาเหล่านั้นมีความต้องการอะไร และคิดในมุมของ Outside – in มีบทความต่างประเทศกล่าวว่า “ Why we hate HR” ต้องเปลี่ยนให้เป็น “ Why we should love HR” และกลายมาเป็น We love HR ในที่สุด เราต้องสร้างทุนในแง่ของความคิด และต้องคิดให้นอกกรอบ ละในปัจจุบันพบว่า สังคมแห่งการเรียนรู้ต้องเริ่มจากการวางพื้นฐานทางการศึกษาให้ดีก่อนKey performance indicator…. KPI นั้นเปรียบเสมือนเป็น High performance value ในที่สุดก็ต้องลงสู่การปฏิบัติจริงให้ได้ ก็คือ Just do it !!!! ต้องมีกระบวนการคิด การสร้าง และทำให้เกิดขึ้นได้ เพื่อเกิดเป็น High impact Performance จะต้อง Base on competency เครื่องมือต่างๆทางด้าน HR ส่วนมากมาจากประเทศทางตะวันตก และส่วนมากเป็นภาครัฐ ในกองทัพบก กองทัพเรือ ของสหรัฐอเมริกา แต่พอมาถึงบริบทของประเทศไทย กลับกลายเป็นนำเอาของภาคเอกชนมาปรับใช้ ปัญหาของ Key performance indicator…. KPI อยู่ที่ คนกำหนด KPI รู้เรื่องจริงหรือไม่ และคนรับเอาแนวทางมาปฏิบัติ เข้าใจเพียงใด สำหรับการประเมินผลนั้น ส่วนใหญ่ 99% ผู้บังคับบัญชาไม่ได้ประเมินผลจาก KPI แต่ประเมินผลจาก การใช้ความรู้สึกมาเป็นเกณฑ์ให้คะแนน นั่นคือ BIAS ประเทศญี่ปุ่นนั้น เคยมีบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่สองเกิด ความทุกข์ทรมาน เป็นความเจ็บปวด สูญเสียอย่างมหาศาล ทำให้ญี่ปุ่นในวันนั้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองต้อง เริ่มสร้างคน เพราะมีบทเรียน จนทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนาตราบเท่าถึงทุกวันนี้ คนญี่ปุ่นเรียนรู้ที่จะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และพูดกันถึงเรื่องของปัญหา เลิกระบบ LIFETIME EMPLOYMENT ใช้การจ้างงานแบบ CONTRACT มากขึ้น มีระบบการให้รางวัลจูงใจคน คือ DEMING AWARD ซึ่ง USA มีรางวัล MALCOM BALDRIDGH AWARD เป็นต้นท่านอาจารย์แนะนำหนังสือดีๆมีคุณภาพ ให้นักศึกษาไปค้นคว้าหลายเล่มอาทิ ของนาโนกะ ที่เขียนเรื่อง KNOWLEDGE MANAGEMENT ที่ทำให้การทำงานของคนญี่ปุ่น สามารถนำเอาศักยภาพแห่งภูมิรู้ที่มาจากภายในตัวของคนออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้คือ TRANSIT KNOELEDGE ตลอดจน EXPLICIT KNOELEDGE หนังสือเล่มที่สองคือ THE FIFTH DECIPLINE เล่มที่สามคือ PERSONAL MYSTERY ของปีเตอร์ เซ็งกี้ ที่พูดถึง การคิดอย่างเป็นระบบ SEVEN HABITS ของ STEPHEN COVEYอย่างไรก็ตาม CORE COMPETENCY นั้นจะต้องประกอบด้วย CULTURE และ VALUE แต่อย่างไรก็ต้อง LOOK INTO YOUR CULTURE ก่อน คนในประเทศเรายัง ฝังใจกับการพัฒนาตนจากการเข้ารับการอบรม CLASSROOM TRAINING แต่เพียงเท่านั้นอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและจะนำพาไปให้เกิดประสิทธิภาพ แต่หากต้องเป็นการหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลายจากภายนอกบ้าง เช่นจากการมี SOCIALIZATION หรือการพบปะแลกเปลี่ยนกันอย่าง INFORMAL บ้าง เพื่อให้เกิดเป็นสังคมแห่งเศรษฐศาสตร์การเรียนรู้ เรื่องของ CULTURE HR ควรศึกษาวัฒนธรรมของคนในแต่ละประเทศเนื่องจากโลกการค้าในปัจจุบัน HR ไม่สามารถจำกัดอยู่เพียงในประเทศ ซึ่งอนาคตเมื่อบริษัทไทยขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นอาจจะใช้ HR ไทยดูแลพนักงานในต่างประเทศ โดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต
ส่งการบ้านครั้งที่ 5 เรียนกับ อาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ วันที่ 21 กรกฎาคม 2550
จากการที่ได้เข้าเรียนในวันนี้ทำให้ดิฉันเกิดความตระหนักว่าในองค์กรใดก็ตามต้องประกอบด้วยทุนมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในองค์กร เราต้องพยายามนำเอาความสามารถและศักยภาพ (Ability) ที่เขามีอยู่ออกมาให้ได้อย่างเต็มที่ และเต็มใจ ด้วยการกระตุ้นและจูงใจ (Motivation) ด้านต่าง ๆ ทั้งด้านกายภาพ และทางด้านจิตใจ ทั้งนี้ทั้งนั้นองค์กรต้องมีศักยภาพที่จะสามารถรองรับและเอื้อต่อการพัฒนา โดยมีการจัดโครงสร้าง(Structure) องค์กรที่เหมาะสม จัดหาทรัพยากร (Resource) ที่เพียงพอ มีการจัดการและวัดประสิทธิภาพการทำงาน (Performance Management) การสื่อสาร (Communication) ที่สะดวกเหมาะสม วัฒนธรรม (Culture) องค์กรที่เอื้อแก่การพัฒนา ผู้นำองค์กรที่มีภาวะผู้นำ (Leadership) ซึ่งสำคัญมากและการสนับสนุนด้านอบรม การเรียนรู้และพัฒนา (Support) การจัดเตรียมองค์กรในสิ่งตางๆ เหล่านี้ช่วยให้กลยุทธ์ด้านทรัพยากรมนุษย์และการจัดการ เป็นไปได้ด้วยดี การปฏิบัติการ กลยุทธ์ และสภาวะแวดล้อมก็ต้องเอื้อแก่การพัฒนาเช่นกัน (Case Study ระดับ Macro )กลยุทธ์ที่ใช้ในการทำ HR. Performance ได้แก่ (1) Corporate Vision (2) Corporate Strategy (3) Corporate Valuesนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความเป็นผู้นำหรือภาวะผู้นำที่ดีของผู้บริหาร ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ได้แก่1.) Pathfinder vision และกำหนดทิศทางขององค์กร2.) Aligning โดยให้คนทุกคนมองไปทิศทางเดียวกัน ถ้าทุกคนร่วมใจกัน มุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน จะทำให้องค์กรมีพลัง3.) Empower ต้องมีการกระจายอำนาจให้ลูกน้องทำงาน และมีความรับผิดชอบ4.) Role Model หรือผู้บริหารต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมงานอาจารย์ได้อ้างถึง Jack Welch ได้เขียนหนังสือให้ข้อคิดถึงการบริหารคน HR ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งมีทฤษฎี 4 E, There are 4 E in Mr. Welch theory1. Energy พลัง ผู้บริหารต้องมีพลัง2. Energize ถ่ายทอด Communication3. Edge ต้องมีผลงานเหนือผู้อื่น4. Executed ประสบความสำเร็จสมาชิกในห้องได้มีการโต้เถียงกันว่า Jack Welch ไม่ได้พูดถึงเรื่องจริยธรรม (Ethics) แต่ที่จริงแล้วคนอเมริกาเขามีจริยธรรมอยู่ตั้งแต่เด็ก และมีตลอดเวลาอยู่แล้วเป็นส่วนใหญ่ในองค์กรจำเป็นต้องสร้างภาวะผู้นำ (Leadership) ทุกระดับต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล Pathfinder และมีแนวคิดอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน ผู้นำจะเป็นที่ยอมรับเมื่อมีอัธยาศัย พฤติกรรมที่ดี ปฏิบัติตัวและกระทำแต่ความดีงามเป็นนิจสินในทุกกาละเป็นตัวอย่างที่ดีในทุก ๆ ด้าน เรื่องการสื่อสาร (Communication) ภายในองค์กรมีความสำคัญยิ่ง หากการสื่อสารแต่ละขั้นตอนไม่ถูกต้อง ไม่ถูกคน ไม่ถูกเวลา จะนำความเสียหายให้แก่องค์กรอย่างคาดไม่ถึง การได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง จึงมีความสำคัญมาก “Information is Power” คนที่มีข้อมูลข่าวสารมากทันต่อเหตุการณ์จะเป็นผู้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุดศ.ดร. จีระ 8 K’ s | คุณหญิง ทิพาวดี 8 H’s | กฤษฎา 9 ย |
1. Human Capital = ทุนมนุษย์ มาจากการอบรมเลี้ยงดู การศึกษา สุขภาพทั้งกายและจิต ทำให้มนุษย์สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ตนเอง สังคม ประเทศชาติมีความสำคัญที่สุด เน้นที่การพัฒนาคน รู้ข้ามศาสตร์ มากกว่าเน้นที่การควบคุม | 1. Home อบอุ่น กตัญญู เอื้อเฟื้อ มีเครือข่าย | 1. ถิ่นฐานย่านเดิม คนทุกคนต้องมีรากเหง้าที่มา และได้รับการการอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว เครือญาติ พื้นเพของตน |
2. Talented Capital = Knowledge + Skill+ Mindset ทุนทางความรู้ ทักษะ ทัศนคติ เป็นผลจากต้นทุนมนุษย์ที่มีมาก่อน (Human Capital) คือ อบอุ่น รักการเรียน สุขภาพดี ร่วมมือ ใจกว้าง ประชาธิปไตย มีผลต่อความสำเร็จ ความก้าวหน้าของประเทศ ความได้เปรียบในการแข่งขันเกิดจากทรัพยากรมนุษย์ ทำให้เกิด INNOVATION มันสมองมนุษย์มาจาก Human + Intellectual + Talent | 2. Hand = มืออาชีพ ไม่มีทางลัด เขื่อนจะพังเริ่มจากรอยร้าวเล็กๆ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กอาชีวะถึงผู้บริหาร Ph.D. | 2. ยอดเยี่ยม ทั้งความรู้ ความชำนาญ มีทัศนคติที่ดี จนทำให้เกิดนวัตกรรมหรือองค์ความรู้ใหม่ๆ คล้าย เจมส์ บอนด์ |
3. Intellectual Capital = ปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างมูลค่าเพิ่ม การไหลบ่าของความรู้ ความรู้เป็นองค์ประกอบของชีวิต4 L’s Learning Methodology (แลกเปลี่ยนความเห็น,workshop, Assignment, ใช้ IT Multimedia)Learning Environment มี Coach ,Facilitator ,Mentorนำไปสู่ CreativityLearning Opportunity หาโอกาสเจอผู้รู้Learning Community ห้องเรียน ,E-mail , โทรศัพท์ | 3. Head = Brain =Knowledge อย่าลืมสติ วิเคราะห์แล้วเกิดปัญญา “You are what you think”Mind Set = ทัศนคติ ควรสื่อสาร 2 ทาง ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ปัญหา ความรู้จะสร้างความชำนาญการไหลบ่าของความรู้ (Skill) แล้วจะทำให้มีความสามารถ (Abilities) เรียนรู้ตลอดเวลาทั้งกว้างและลึก เรียน อบรม คุย อ่าน | 3. ปัญญา คือ ต้องรู้ก่อนปัญหา รู้เท่าทันปัญหา รู้ทางแก้ปัญหา รู้วิธีป้องกันปัญหา |
4.Digital Capital อย่าลุ่มหลง หลงจนเสียสุขภาพ อินเดีย = Business Process Outsourcing ( B.P.O.) | 4.Health สุขภาพทั้งกาย (อาหาร ออกกำลังกาย อากาศ)และจิต (มีสติ) มารยาทไทยไอจาม ,เด็กไทยอ่อนหวาน | 4. ยาฮู E-mail ของผมคือ[email protected] |
5. Ethical Capital = จริยธรรม | 5. Heart = จิตใจที่ดี “พอเพียง” = พอเหมาะพอควร มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน มีทัศนคติเชิงบวก สุนทรียภาพทางวัฒนธรรม อ่อนโยน สุภาพ พรหมวิหาร 4 = เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาใส่ใจกัน เสียสละ กล้านำ กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยง กล้ารับผิด รักในการงาน | 5. จริยธรรม |
6. Happiness Capital = ความสุขมนุษย์มีทุนความรู้ (Talent) + ทุนปัญญา (Intellectual) + ทุนทางจริยธรรม (Ethical) | 6. Happiness H.P.I. = Happy Planet Index ไม่เบียดบังใครๆ และตนเอง พอเพียง เมตตา เอื้อเฟื้อ ยิ้ม ทัศนคติเชิงบวก รักงาน ครอบครัว สังคม ประเทศ | 6. ยิ้มแย้มแจ่มใส มีมิตรภาพ มีความจริงใจ เกิดความสุข เกิดความรู้ และเกิดภูมิปัญญา |
7. Social Capital ทุนทางสังคม เน้นที่การมีเครือข่ายLinkage ,Connection ,Networking | 7. Harmony = ปรองดอง สมานฉันท์ กลมเกลียว ใฝ่สันติ ไม่ร้าวฉานสัปปุริสธรรม 7 = เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน บุคคล | 7. ยึดโยง เกาะเกี่ยวกันเป็นเป็นเครือข่าย |
8. Sustainable Capital = ยั่งยืน โลกเปลี่ยนเร็วมาก ต้องพัฒนายั่งยืนอย่าตามกระแสโลกจนสูญเสียตัวตน | 8. Heritage = Culture เชื่อมโยง OTOP ,Globalization , 1 KING ไม่แบ่งผิว ศาสนา | 8. ยั่งยืน มีความเป็นตัวของตัวเอง ตามวัฒนธรรมการเป็นคนไทย มีความเชื่อมั่นและศรัทธาใน 3 สถาบันหลัก |
- | - | 9. อย่ายอม เสียอิสรภาพทางความคิด ทางการปกครอง ทางเศรษฐกิจ และความเป็นมนุษย์ (SOVERIEGN CAPITAL) |
Curtin University of Technology
Human Capital
Competence, Training & Learning
การได้เรียนเรื่อง Human Capital กับอาจารย์ ศิริลักษณ์ ในวันนี้มีความรู้สึกว่า นี่เป็นการเรียนในรูปแบบของการเรียนรู้ในอนาคต เพราะเป็นการเรียนรู้ในเชิงวิเคราะห์ที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำการสอนกับผู้เรียนทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
เป็นการเปิดกว้างทางความคิด ทั้งที่เห็นด้วยและความคิดที่แตกต่าง ซึ่งมิใช่เป็นการทะเลาะกันระหว่างผู้นำสอนและผู้พยายามเรียนรู้ด้วยการต่อยอดทางปัญญาของผู้เรียนซึ่งเป็นการขยายขอบเขตของ EQ ให้กว้างออกไปอันจะนำไปสู่การสร้างความแหลมคมของ IQ ที่สูงขึ้น อันเป็นความชาญฉลาดของผู้นำการสอนมืออาชีพ
อาจารย์ ศิริลักษณ์ มีความชาญฉลาดในการนำการสอนที่จะทำให้ทุกคนในห้องมีส่วนร่วม ในการเสนอแนะ,เสริมเพิ่มเติม ในสิ่งที่อาจารย์บรรยายผสมผสานไปกับการให้อาจารย์มีโอกาสเสนอแนะ,ต่อยอด,แต่งเติมความคิดบางประการที่นักศึกษายังเข้าใจคลาดเคลื่อน ให้มีความแหลมคมและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
อาจารย์ได้ยกตัวอย่างถึงเด็กๆในประเทศญี่ปุ่นที่จะถูกหล่อหลอมตั้งแต่เยาว์วัยด้วยการ- สอนให้รู้จักคิด คือคิดอะไรที่เป็นระบบ
- สร้างให้เด็กมีวินัยตั้งแต่เยาว์วัย วินัยที่ว่านี้ก็คือการใช้สมอง และวินัยในการพัฒนาจิตใจ
ดังนั้น เมื่อเด็กของประเทศของเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาจึงเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพ มีพัฒนาการที่ดี ด้วยเพราะได้รับการปลูกฝังอย่างมีคุณภาพมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในประเทศนิวซีแลนด์ ก็เช่นเดียวกัน เด็กๆในประเทศของเขาเป็นเด็กที่ถูกปลูกฝังให้ช่วยกันดูแลสังคมและชุมชนของเขา โดยที่ในวันหยุดแทนที่เด็กๆจะไปมั่วสุมทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ เด็กๆของเขาจะไปร่วมกับชมรมต่างๆซึ่งเป็นชมรมในการบำเพ็ญประโยชน์ เพื่อให้ชุมชนและสังคมของเขาดูดีขึ้น เป็นระเบียบเรียบร้อยน่าดู น่าอยู่อาศัย
สิ่งที่เขาได้ก็คือเยาวชนที่มีคุณภาพ ที่รู้จักการมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมๆกับการมีทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศเขา ต่างกับเด็กๆของประเทศไทยเราโดยสิ้นเชิงเพราะเด็กๆของเรามีลักษณะ “ลัทธิเอาอย่าง” แต่เอาของเขามาไม่หมด คือเอาแต่เปลือกที่อยู่ภายนอกของเขามา ไม่ได้เอาแก่นแท้ของเขามา เราจึงเข้าไม่ถึงวิธีคิดที่แท้จริงของเขา
เหมือนกับการที่คนไทยใช้โทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน ไทยเราใช้มันเพื่อความสะดวกสบาย... ความโก้เก๋...ความหรูหรา โดยยึดเอาโทรศัพท์มือถือ เป็นเครื่องสำอางทางสังคมอีกชิ้นหนึ่งของผู้ที่ถือมันอยู่ในมือ จะมีสักกี่คนเอง...ที่รู้ว่ารากฐานที่แท้จริงของผู้ที่คิดโทรศัพท์มือถือ เขาคิดมันขึ้นมาก็เพื่อจะเอาชนะธรรมชาติและภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันละกัน จึงทำให้เขาเข้าใจรากฐานแก่นแท้ในการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างแท้จริง ในขณะที่เราใช้มันเพื่อความสุขสบายและความสนุกสนานโก้หรู.. ฯลฯ จนกลายเป็นเหยื่อของผู้ผลิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในที่สุด
เมื่อเด็กไทยคุ้นเคยอยู่กับความสุขสบายโดยไม่ต้องเผชิญกับธรรมชาติและอุปสรรคที่โหดร้าย กอร์ปกับการหล่อหลอมที่ผิดๆจากผู้ใหญ่ เด็กๆที่เติบโตขึ้นมาและเดินเข้าสู่ตลาดแรงงาน จึงอยากได้อะไรที่
- เป็นสูตรสำเร็จ
- ค่าตอบแทนสูงๆ
- งานสบายๆ
- และงานทีไม่ต้องใช้ความคิดมาก เพราะขี้เกียจคิดเพราะฉะนั้นการพัฒนาคน เพื่อทำให้ทรัพยากรบุคคลเป็นสินทรัพย์หรือทุนขององค์กรในบ้านเราซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เอาเลยจริงๆ เพราะเรามีต้นทุนในการหล่อหลอมคนให้มีคุณภาพตั้งแต่ในขั้น ปฐมภูมิ และทุติยภูมิมีต่ำมาก
ดังนั้นบทบาทของ HR ในปัจจุบันและอนาคตจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อองค์กรและการพัฒนาประเทศ เพราะถ้าคนไม่มีคุณภาพ สังคมและประเทศก็ไม่มีคุณภาพ ฉะนั้นงานของ HR ก็คือต้องทำให้เขาได้รับรู้บทบาทหน้าที่ที่แท้จริงของเขา ว่าเขามีหน้าที่ต้องทำและรับผิดชอบอะไร
HR จึงต้องมีลักษณะเป็น HR Marketing
คือต้องรู้จักลูกค้า ว่าลูกค้าต้องการอะไร อยากได้อะไรเราจะตอบสนองความต้องการของเขาได้อย่างไร เราจะรู้ความต้องการของเขา ก็ต้องเข้าไปสำรวจ...เข้าไปพูดคุย ทำความเข้าใจกับเขา ว่าสิ่งที่เราทำให้นั้น มีประโยชน์อะไรกับเขาบ้าง
ฉะนั้นสิ่งที่เราควรทำในโลกยุคปัจจุบันคือ คิดนอกกรอบ ( Think out of the box )
โดยที่อาจารย์ได้กล่าวถึง วินัย 2 ใน 5 ประการของ Peter Senge ที่ทำให้เกิด
Learning Organization อันได้แก่1. Personal Mastery
2. Mental Model
3. Share Vision
4. Team Learning
5. System Thinking
โดยเฉพาะการ share vision ไม่จำกัดว่าจะต้องเกิดจากผู้บริหารหรือพนักงานระดับสูง
share vision เกิดขึ้นได้กับพนักงานทุกระดับ เพราะพนักงานระดับล่างก็มีแง่คิดมุมมองที่ผู้บริหารสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน
ในส่วนของ Team Learning หรือการเรียนรู้เป็นกลุ่ม ก็มีความจำเป็นในการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ในองค์กร เพราะจะสามารถพัฒนาแตกแขนงได้ จะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้มีการเปิดใจ วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเปิดอก เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่จะทำให้สังคมไทยเราใจกว้างมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องแบบนี้คนไทยยังอ่อนแอมากเกินไปที่จะยอมให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์กันและกัน แนวคิดของ
Senge ถ้าเราเอามาสร้างเป็นวินัยและวัฒนธรรมในการเรียนรู้ขององค์กร ก็จะเป็นการสร้างกลยุทธ์ ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งในระดับประเทศและในระดับโลกอย่างไรก็ตาม การจะเปลี่ยนแปลงหรือสร้างวัฒนธรรมและความเชื่อใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาและความสามารถพอสมควร
และในบางสถานการณ์ก็อาจช้าเกินไป อันจะมีผลทำให้เสียโอกาสในการแข่งขัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงแบบเดิมๆที่มองจุดเริ่มต้นไปที่คน โดยพยายามจะปรับเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อ แต่ผลที่ได้รับก็คือมีการเปลี่ยนแปลงที่ช้ามาก บางองค์กรจึงต้องหันมาใช้การ Re Engineering หรือทำการปรับโครงสร้างใหม่แทนเมื่อมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ และ ด้วยโครงสร้างใหม่นี่เองก็จะทำให้คนในองค์กร หรือลูกค้าที่มาใช้บริการค่อยๆปรับเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อถือไปได้เอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ธนาคารกสิกรไทย เมื่อครั้งที่มีการ Re Engineering องค์กรใหม่ ทำให้พนักงานและลูกค้าผู้ใช้บริการของธนาคาร ต้องยืนเข้าแถวเพื่อใช้บริการกับธนาคารกสิกรไทยเป็นแห่งแรก ด้วยเพราะการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ขององค์กร แทนที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงที่คน
อย่างไรก็ตามโลกแห่งการแข่งขันไม่หยุดอยู่กับที่ มาถึงวันนี้ด้วยภาวะ การแข่งขันของสถาบันการเงินที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ธนาคารกสิกรไทยเอง ก็เริ่มมาใช้วิธีการผสมผสานกันระหว่าง วิธีการของการปรับโครงสร้างใหม่ที่ดูทันสมัย กับการให้บริการแบบถึงลูกถึงคนในแบบเดิมๆ ผสมผสานเข้าด้วยกันอีกครั้ง ซึ่งผมว่าก็ดูดีและอบอุ่นในแบบไทยๆดีทีเดียว.
และจากการอ่านบทความและเรื่องราวต่างๆใน “Go to know” ก็ได้เข้าไปพบกับเรื่องบางเรื่องที่คล้ายกับประสบการณ์ที่ผมเคยได้พบเจอตอนยังเป็นเด็กสมัยที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านสวน คือมีสมาชิกในบล็อกท่านหนึ่งเล่าถึงเรื่องที่ ได้ทดลองปลูกขยายพันธุ์ต้นกล้วยด้วยการเอาส่วนที่เป็นด้านบนของต้นกล้วยฝังดินและเอาด้านโคนต้นที่มีรากงอกบ้างแล้วหงายขึ้นด้านบน แล้วใช้ดินกลบ เหมือนการปลูกต้นไม้และให้น้ำตามปกติ จากนั้นก็ปล่อยให้เจ้าหน่อกล้วย พยายามต่อสู้ดิ้นรนที่จะเอาชีวิตรอด ผลก็คือหน่อกล้วยพยายามแทงยอดขึ้นมาจนได้ โดยแทงหน่อยอดจากบริเวณโคนของต้นกล้วย ข้อดีก็คือไม่ได้แทงหน่อออกมาแค่ยอดเดียว แต่แทงออกมามากกว่าหนึ่งยอด เพียงแต่ใช้เวลาแทงหน่อนานกว่าการงอกปกติอีกหนึ่งเท่าตัว
แต่ปรากฏว่ามันพยายามแทงหน่อจากด้านโคนต้นใกล้ๆบริเวณรากออกมา ผมยืนมองมันเห็นว่าแปลกดี แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนได้มาเห็นเรื่องที่มีคนโพสไว้ใน Go to know แห่งนี้ ประจวบกับเรื่องราวที่ได้เรียนในวันนี้นั้น สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการดิ้นรนเพื่อการอยู่รอดของต้นกล้วยได้พอดี ผมพยายามกลับไปค้นหาอีกหลายครั้งเพราะผู้เขียนได้ โพสรูปไว้ด้วย แต่ก็ต้องขออภัยที่หาบล็อกของท่านผู้นั้นไม่เจอจริงๆ
และจากการได้เห็นภาพนี่เอง ทำให้ผมนึกถึงภาพที่เห็นในวันนั้นออก และกลับมาย้อนคิดถึงมันว่ามันสมเป็นยอดนักสู้โดยแท้
เลยทำให้นึกถึงผู้คนในหลายประเทศ ที่ต้องพยายามต่อสู้ดิ้นรนกับอุปสรรคที่มีอยู่รอบด้านกับธรรมชาติเลวร้ายที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ทำให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชนะมันให้ได้ ผลก็คือหลายๆประเทศเหล่านั้น มีคนที่มีคุณภาพ ที่สามารถคิดเอาชนะธรรมชาติที่เลวร้ายได้ จนเขาได้รับชัยชนะ และเป็นต้นแบบในการสร้างผลิตภัณฑ์ และผลิตผลที่นำมาส่งออกไปยังประเทศต่างๆผลพวงเหล่านี้มาจากความพยายามดิ้นรน ต่อสู้เรียนรู้เพื่อความอยู่รอด ปลอดภัย ในขณะที่ประเทศที่อยู่อย่างสุขสบายไม่ต้องดิ้นรน หรือไม่พยายามดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคใดๆ เพราะไม่มีหรือมีก็มีไม่มาก คนเหล่านั้นจึงคุ้นเคยกับการอยู่แบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ จึงเปรียบเหมือนกับหน่อกล้วย ที่ปลูกด้วยการเอายอดขึ้นตามปกติ ผลที่ได้คือหน่อกล้วยที่ขึ้นเป็นต้นกล้วยหนึ่งต้น เหมือนเดิมๆที่เคยเป็น
มนุษย์เราถ้าไม่มีสถานการณ์บังคับ อุปสรรคไม่ใกล้ตัว ก็จะไม่พยายามปรับตัวให้อยู่รอด
ขอให้ดูต้นกล้วยเป็นตัวอย่าง เมื่อทำในสิ่งที่ต่างออกไปด้วยการเอารากขึ้นฟ้า เอายอดทิ่มลงดิน สถานการณ์ทำให้มันต้องพยายามดิ้นรนเพื่อให้มันมีชีวิตรอดให้ได้ และด้วยต่างเซลล์ต่างก็พยายามที่จะแทงหน่อออกมาเพื่อความอยู่รอด มันจึงมีหน่อแทงขึ้นมามากกว่าหนึ่งหน่อ!! อย่างน้อยก็ต้องมีเผ่าพันธุ์ของมันสักหน่อหนึ่งละที่จะต้องรอด และทำให้มันขยายเผ่าพันธุ์ของมันต่อไปได้นับประสาอะไรกับมนุษย์เราที่มีความรู้ความสามารถมีความคิด มีทางเลือก มีความสามารถโยกย้าย เดินทางได้ มีเครื่องมือเครื่องไม้และอุปกรณ์ต่างๆ มีสมองที่สามารถพลิกแพลง เปลี่ยนแปลงดิ้นรนต่อสู้ได้อย่างชาญฉลาดได้ดีกว่าต้นกล้วยมากมายหลายเท่า
ทำไมเราจะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สร้างผลผลิต ให้ดีเลิศ ให้มีคุณภาพ ให้คุ้มค่า ได้ดีกว่าต้นกล้วยไม่ได้ ถ้าทำไม่ได้ก็อายต้นกล้วยละครับ !!
นายพนม ปีย์เจริญ
Mr.Panom Peecharoen
24.7.2007
เรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมภ์
(Homework5)
จากการเรียนเรื่อง Human Competence , Training & Learning โดยท่านอาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ เมื่อวันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2550 สรุปและประยุกต์บทเรียนได้ดังนี้
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 8 ต้องการสร้างให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ เช่นเดียวกันประเทศญี่ปุ่นที่สอนให้เด็กได้มีการศึกษาจากธรรมชาติ และฝึกวินัยตั้งแต่เด็ก รู้ว่าบทบาทตัวเองคืออะไร นับว่าเป็นสิ่งที่ดีซึ่ง HR.ต้องเป็น Marketing นั่นคือต้องรู้จักลูกค้า ต้องรู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเราต้องตอบสนองให้ได้
HR.ต้องรู้จักสร้างมูลค่าเพิ่ม, ใฝ่รู้, คิดนอกกรอบ (กบนอกกะลา) ถ้าคนเราไม่สร้างทุนต่อความคิด, ต่อความกดดัน, ต่อการแทรกแซง ก็จะไม่สามารถอยู่ในองค์กรได้ ดังนั้น HR. ต้องรู้จักรับฟังทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชิงบวก/เชิงลบ ความมีมุมมองใหม่ และสร้างทุนให้กับตนเอง
ถ้าเราวางพื้นฐานในสังคมไม่ดี แล้วเราจะไปพัฒนาสังคมในรู้แบบต่างๆได้อย่างไร? การวางพื้นฐานในสังคมที่ดี คือการสอนเด็กให้รู้จักคิด รู้จักวางแผนชีวิต รู้จักคิดอย่างเป็นระบบ System thinking
Schultz บิดาของทุนมนุษย์ กล่าวไว้ว่า "ความสำเร็จที่สำคัญที่สุด คือ การเพิ่มขึ้นของทุนมนุษย์"
KPI เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ การสร้าง KPI เปรียบเสมือนการสร้างนวัตกรรม (Innovation) และการนำ Competence มาประเมินถือเป็นการสร้าง KPI ตัวหนึ่ง และสิ่งที่ควรตระหนักนั่นคือ การตั้ง KPI ควรคิดให้รอบคอบ มิฉะนั้นจะทำให้มีผลกระทบกับองค์กรในเชิงลบได้เช่นกัน
Nonaka อาจารย์ท่านหนึ่งของญี่ปุ่น สอนให้เห็นภาพว่า คนญี่ปุ่นรู้จักดึงความรู้ที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่นการนั่งคุยกันเพื่อถกปัญหา และแก้ไขจะไม่ยึดติดกับความคิดของตนเอง หรือสิ่งที่ทำ/เจอเป็นประจำ
การทำงานต้องดูวัฒนธรรมองค์กรและสังคมก่อน ซึ่งทั้งนี้ต้องรู้จักตนเองก่อน และพึงตระหนักไว้เสมอว่า"การศึกษาเป็นพื้นฐานของการเติบโตในทุกเรื่อง" Socialization ของคนไทย คือการสนุกสนานไปวัน ๆ , ฝังใจกับการเรียนในห้องเรียนมากกว่าที่จะคิดพัฒนาการเรียนรู้จากโลกภายนอก
พระพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวว่า"ธรรมใด ๆ ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ" เป็นสิ่งเตือนสติคนไทย เหมือนกับการอบรมจริยธรรมซึ่งต้องมีอยู่ในทุก ๆ อาชีพ และเกิดขึ้นกับคนทั่วทุกอาชีพ แต่เมื่ออบรมแล้ว ต้องมาปฏิบัติให้เกิดจริงเป็นรูปธรรมในเชิงบวก
ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องรู้จักเอาลักษณะของงานเอกชนมาประยุกต์มองไปข้างหน้า พูดถึงอนาคต ไม่ควรพูดถึงอดีตในเชิงลบ จะเป็นการบั่นทอนตนเองอีกทั้งควรใช้ประสบการณ์มาเสริมสร้างการเรียนรู้ ผู้ตามจะเป็นกระจกเงาให้กับเราได้ดีที่สุด
Human Capital ประกอบด้วย
• Experience ประสบการณ์ • Skills ทักษะ
• Knowledge ความรู้ • Ability ความสามารถ
Contributions to Human Capital ได้แก่
• Competence ความสามารถ
• Training การฝึกอบรม
• Learning การเรียนรู้
โดยสรุป Human Capital ต้องอาศัยประสบการณ์ ทักษะ ความรู้ ความสามารถ ซึ่งต้องมีการฝึกฝน สะสมมาตั่งแต่เด็ก รู้จักนำเอาประสบการณ์รอบตัวมาประยุกต์ใช้ และพัฒนาการตนเอง ให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุด และต้องอยู่ในกรอบของการมี คุณธรรม จริยธรรม แล้วจึงนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จ และเป็นการสะสมทุนที่เรียกว่า "ทุนมนุษย์"
- ขอบคุณครับ -
สิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
การบ้านครั้งที่ 5 / นางสาวชารวี บุตรบำรุง บรรยายโดย..อ.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ เรียนวันที่ 21/7/2550 วันนี้ท่านอาจารย์ได้บรรยายเรื่อง Human Capital Competence,Training & Learning เริ่มจาก Macro ไปสู่ Micro โดย.. Schultz,1981 กล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่ทำให้มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐศาสตร์ ความสำเร็จอยู่ที่การมี Stock ทุนมนุษย์: Human Capital ที่เพิ่มขึ้น” ประกอบด้วย
Ability [ความสามารถ] | Willingness [ความเต็มใจ] |
สุขภาพดี ความสามารถเฉพาะตน มึความคิดที่ดี | แรงจูงใจในการทำงาน,สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน |
รักองค์กร,รักงาน เห็นความสำคัญต่อพนักงาน | สวัสดิการ,ค่าตอบแทน,ส่งเสริมการเรียนรู้ในต่างประเทศ |
- Adtitude [พรสวรรค์] พร้อมที่จะเรียนรู้ต้องมี | มีการยอมรับที่ดีจากเจ้านาย |
1. IQ | - Commitment ทุ่มเททุกอย่างให้กับองค์กร |
2. EQ | - Influence the actual performance of work |
3. RQ | การควบคุมการทำงานให้มีคุณภาพ |
4. MQ | - Efficiency ความสามารถในการทำงานที่ใช้เวลา, |
ถ้ามีความสามารถทั้งหมดที่ว่าจะสามารถทำงาน | พลังงานหรือเงินน้อยแต่มีประสิทธิภาพมาก |
ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ |
Ability [ความสามารถ] | Willingness [ความเต็มใจ] |
สุขภาพดี ความคิดดี มีความสามารถเฉพาะตน |
แรงจูงใจในการทำงาน,สภาพแวดล้อมในที่ทำงาน |
รักองค์กร,รักงาน เห็นความสำคัญต่อพนักงาน | สวัสดิการ,ค่าตอบแทน,ส่งเสริมการเรียนรู้ในต่างประเทศ |
- Adtitude [พรสวรรค์] พร้อมที่จะเรียนรู้ต้องมี | มีการยอมรับที่ดีจากเจ้านาย |
1. IQ | - Commitment ทุ่มเททุกอย่างให้กับองค์กร |
2. EQ | - Influence the actual performance of work |
3. RQ | การควบคุมการทำงานให้มีคุณภาพ |
4. MQ | - Efficiency ความสามารถในการทำงานที่ใช้เวลา, |
ถ้ามีความสามารถทั้งหมดที่ว่าจะสามารถทำงาน | พลังงานหรือเงินน้อยแต่มีประสิทธิภาพมาก |
ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ |
ความสามารถที่ทำมากหรือน้อย ถ้าทำมากก็ได้มาก ทำน้อยได้น้อย The Competence Chain- การวางแผน คือ การนำความรู้ความสามารถจากภายนอกมาพัฒนาใช้กับเรา- การวางแผนในการพัฒนามนุษย์ต้องดูว่าจะรับจากภายนอกหรือ การให้ความรู้ภายในองค์กร โดยวัดจากองค์กรของตนเองสามารถแบ่งได้ 2 ทาง คือ1. การว่าจ้างบุคคลภายนอกองค์กรมาแบบเป็นทางการ เช่น การทำวิจัย2. การว่าจ้างบุคคลภายนอกองค์กรมาแบบไม่เป็นทางการ การใช้ความรู้ความสามารถ1. การควบคุมพนักงาน โดยใช้ขั้นตอนความรู้ ความสามารถที่ผ่านมา ถ้าพัฒนาความรู้ความสามารถแล้วจะต้องมีการโยกย้ายพนักงาน ที่มีความสามารถให้ตรงตามความต้องการของหน่วยงานนั้น คือ การแบ่งแยกหน้าที่ที่ถูกต้องในการทำงานภายในองค์กรให้ถูกตำแหน่งตามระดับความสามารถ2. ผู้ชำนาญพิเศษ เปรียบเทียบกับงาน3. ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน4. ดูแลการทำงานของพนักงานให้เหมาะสมกับงาน เพื่อให้อยู่กับองค์กรนาน ๆ High Performance Workplace [HPW]การสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงขึ้นEX: การส่งพนักงานในองค์กรไปทำงานหรือฝึกงานในต่างประเทศ ให้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร1. กลยุทธ์ในการวางแผน เน้นการเพิ่มความสามารถให้กับพนักงานในองค์กร2. ผู้นำต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถเพื่อจะนำไปสู่ผลงานที่ดี3. วัฒนธรรมองค์กร ช่วยเหลือเกื้อกูล4. การรับรู้สิ่งต่าง ๆที่เกิดขึ้นในองค์กร5. มีแรงจูงใจ มีรางวัลตอบแทนให้กับพนักงาน6. มีการประเมินผลพนักงานเป็นระยะ ๆ7. มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน8. มีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี,ปลอดภัย
การบ้าน | ครั้งที่ 5 |
หัวข้อบรรยาย | HUMAN CAPITAL : COMPETENCE, TRAINING & LEARNING |
ผู้บรรยาย | อาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ |
วันที่บรรยาย | วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2550 |
โดย | นางสาวศิริพร ศุภกุล |
ส่งวันที่ | พฤ, 26 ก.ค. 2550 |
แนวคิดที่ใช้ประกอบ | Dr. Peter Senge |
การบ้านครั้งที่5 /จากการบรรยายโดยอาจารย์ ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ วันที่ 21กค.2550
เรื่องHUMAN COMPETENCE TRAINING LEARNING จากการฟังบรรยายของท่านอาจารย์ในวันนี้ทำให้เกิดแนวคิดทางด้านการทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จนั่นเป็นผลมาจากการเพิ่มความสำคัญด้านทุนมนุษย์ซึ่งคนเท่านั้นที่จะทำให้โลกของการพัฒนาเกิดขึ้นได้และก็คนอีกเช่นกันที่จะทำลายทุกอย่างลงได้ เพราะฉนั้นจะต่างกันที่ระบบวิธีคิด วิธีคิดจะเป็นตัวชี้วัดว่าสังคมจะเป็นเช่นไรวิธีคิดในระดับมหภาคจะทำให้มองอนาคตได้ว่าประเทศชาติจะพัฒนาไปในทิศทางใด และพัฒนาไปได้ไกลเท่าไร
การสร้างแผนที่ของการบริหารทุนมนุษย์ควรเริ่มที่ระบบของการศึกษาเพราะการศึกษาสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเยาวชนและชาติบ้านเมือง ความสามารถและศักยภาพในการพัฒนาและดำรงคงอยู่ขององค์กรในชาติตัวชี้วัดความอยู่รอดตัวสำคัญคือระบบการศึกษา จะเห็นได้จากการพัฒนาประเทศของชาติที่เคยประสบภาวะสงครามเช่นญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในฐานะของผู้แพ้สงครามแต่สามารถฟื้นตัวและกลับเป็นประเทศชั้นนำด้านเศรษกิจได้นั้นถ้าเราพิจารณาให้ดีนั้นต้องรู้จักการนำแบบอย่างทางด้านการปลูกฝังวิธีการหล่อหลอมเยาวชนว่าเขาสอนให้เยาวชนเด็กรู้จักคิด เรียนรู้จากธรรมชาติ สร้างวินัย และปลูกฝังความรักชาติเป็นที่ตั้ง ประเทศเวียดนามซึ่งอดีตเคยตามหลังประเทศไทยปัจจุบันกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญและมีแนวโน้มในการพัฒนาอย่างสูง นั่นเป็นเพราะเขาให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา สนับสนุนเด็กเก่งให้ได้รับทุนในระดับสูงสุดและให้ได้รับการพัฒนาเฉพาะตัว อย่างกว้างขวางแถมยังสอนเยาวชนให้รู้จักคำว่า คิดเพื่อชาติ ทำเพื่อชาติ ตรงนี้เป็นสัญลักษณ์ของความั่นคงและภักดีเป็นที่ตั้ง
หากสังคมไทยหันมาให้ความสำคัญกับระบบการศึกษาอย่างจริงจังในอนาคตประเทศไทยจะมีแต่เด็กเก่งที่เปี่ยมด้วยความคิดในการพัฒนา รู้จักเลือกรับเอาวัฒนธรรมด้านดีของสากลมาปรับใช้ให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยและมีคุณธรรม
ระบบการศึกษาในประเทศไทยควรที่จะเริ่มต้นที่การส่งเสริมสวัสดิภาพของครูผู้ทำหน้าที่สอนเยาวชนของชาติให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีเหมือนกับอาชีพที่สังคมยกย่องในปัจจุบันเช่น แพทย์ วิศวกร อัยการ ผู้พิพากษาและได้รับอัตราค่าตอบแทนและสวัสดิการทัดเทียมกัน ก็จะมีบุคลากรที่มีความสามารถในระดับสูงเข้าสู่วงการศึกษาทำให้ได้ครูที่มีคุณภาพเพื่อสร้างเด็กที่มีคุณภาพให้เยาวชนไทย เก่งคิด เก่งทำ เก่งพํฒนา และมีคุณธรรมก็จะเป็นผลส่งให้ภาพของประเทศไทยเต็มไปด้วยบุคลากรคุณภาพโดยภาพรวมโดยเริ่มที่การปรับระบบคิดและวิธีการให้ได้มาซึ่งต้นแบบนั่นคือครูนั่นเอง
ทั้งนี้ผู้นำประเทศต้องหันมาให้ความสนใจกับระบบการศึกษาอย่างแท้จริง งบประมาณด้านการศึกษาต้องสะท้อนกับความเป็นจริงประเทศถึงจะพํฒนาทรัยากรมนุษย์ได้ถูกทาง
ขอบคุณครับ
นายสรณิต พุ่มพฤกษ์
วันนี้บรรยากาศก่อนการเรียนดีมากมีการคุยกับแบบโต๊ะกลม
เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของการเรียนวิชานี้และที อาจารย์ ดร.จีระ เน้นย้ำอยู่เสมอคือการมอง
ในภาพ Macro แล้วโยงเข้า Microนอกจากนี้อาจารย์ยังให้เคล็ดที่ไม่ลับในการเรียน Phd. อีกว่า
ควรยึด The Fifth discipline ซึ่งเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าจำเป็นมากที่สุดได้แก่ - รู้ให้จริง- เปลี่ยนวิธีคิด และให้คิดเชิงสร้างสรรค์ - ทำงานเป็นทีม (เล็ก /ใหญ่ ก็ได้แต่ต้องเป็นทีม)- ทุกคนมีส่วนในการกำหนดวิสัยทัศน์- ให้คิดเชิงระบบ (Systemic Thinking) และ
เป็นวิทยาศาสตร์สำหรับ KM นั้นจะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่างคือ
Acquire Knowledge ด้วยวิธีอะไรได้แล้วShare กับใครบ้างเพื่อเพิ่มมูลค่าแล้ว
นำมาเป็น New Opportunityจากนั้นเข้าสู่การบรรยายของอาจารย์ศิริลักษณ์เริ่มด้วยผู้ที่เป็นต้นคิด ในเรื่อง Human Capital คือ Schultz กล่าวว่า “ The most important achievement of modern economic is undoubtedly the increase in stock of human capital” จะเห็นว่า HR จะต้องเป็นในลักษณะ Marketing ต้องรู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพของคนจึงต้องมี Training need เพราะการจัดอบรมให้คนเข้าไปฟัง 3 วัน 5 วัน แล้วบอกว่ามีมีความสามารถเพิ่มขึ้นคงไม่ใช่คนต้องสร้างทุนทางความคิดและคิดนอกกรอบแบบ Think out of the box อย่างไรก็ตามการบริหารเรื่องคนเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นปัญหา ของการพัฒนาเนื่องจากการไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตน ดังนั้น R&R จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งคงต้องโยงถึงเรื่องของวินัยของคน ทำอย่างไรให้คนมีวินัย เพราะวินัยเป็นเรื่องของจิตใจและความรู้สึกนึกคิด ซึ่งต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก ซึงถ้ามองในภาพกว้างสะท้อนให้เห็นว่า ระบบการศึกษาของประเทศไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ แม้ว่าจะมีการปฏิรูปการศึกษา ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะความเป็นจริงก็คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญคือกระบวนการคัดเลือกคน ที่จะเป็นแม่พิมพ์ ซึ่งเข้ากับวลีที่นักคุณภาพทั้งหลายกล่าวว่าว่าทำให้ถูก เสียตั้งแต่แรก(Right the first time)และถ้าโยงเข้ากับการเรียนวิชานี้ก็ต้องต่ออีกว่าเมื่อได้แม่พิมพ์ที่ดีแล้วจะดูแลกันอย่างไร ที่จะดำรงรักษาไว้ในองค์กรให้นานที่สุด
เมื่อมีปัญหาเรื่องคนและความรับผิดชอบที่แตกต่างทำอย่างไรจะประเมินผลการปฏิบัติงานได้ จึงต้องมีการกำหนดเครื่องมือในการประเมินผลงานซึ่งก็คือตัวชี้วัด (KPI) แต่ระดับประเทศ KPI เน้นเรื่องจริงที่สร้างคุณค่า ให้กับประเทศ หรือองค์กรต่าง ๆ ให้เกิด A High Impact ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล บริการ KPI คือคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือมีสุขภาพดีขึ้นโรงเรียนหรือสถานศึกษา KPI ก็คือผู้ที่สำเร็จการศึกษามีคุณค่าในการทำงาน นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นที่มีเวลาจำกัดของอาจารย์เท่านั้นอย่างไรก็ตามอุปสรรคที่สำคัญอยู่ที่ "คน" สิ่งที่ประทับใจและตรงใจมากที่สุดในกรณีที่อาจารย์ยกตัวอย่างการเขียน KM ของ โนนากะ โดยนำ Tacit Knowledge มาใช้จริง ๆ เนื่องจากพยาบาลเป็นอาชีพพิเศษ ที่ต้องนำ Special Explicit knowledge มา Analyze and Synthesis ประกอบกับการฝึกฝนจนเกิดทักษะ ความชำนาญและเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่การเขียน KM จาก Tacit Knowledge ยังไม่ครอบคลุม เป็นที่น่าเสียดายความรู้ส่วนนี้ที่ติดตัวไปโดยไม่ได้ประโยชน์การบริหารทุนมนุษย์
วันที่ 21 กันยายน 2550 สอนโดยอาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ ประเด็นการพัฒนาทุนมนุษย์นั้น ได้รับการบรรจุเข้าไปในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (2540 – 2544) ซึ่งเป็นการเริ่มพูดถึงคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา การที่เริ่มพูดเรื่องคนนั้นเพราะมีสถานการณ์ที่สะท้อนให้เป็นถึงปัญหา ความอ่อนแอทางระบบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ของคนไทย โดยเฉพาะคนในระดับฐานล่างของประเทศ เพราะหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีหน้าที่พัฒนาท้องถิ่น ไม่ได้มีแผนการพัฒนาคนอย่างเป็นระบบ แต่มีแผนได้จำนวนปริมาณของกลุ่มต่างๆ ในชุมชนปริมาณของผลผลิตจากกลุ่มต่างๆ ตัวชี้วัดความสำเร็จของงานขององค์กรราชการเหล่านั้นไม่ได้มีวัดค่าคนในชุมชนมีการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ดังนั้นถึงแม้จะมีการบรรจุเรื่องการพัฒนาคน คนเป็นศูนย์กลางในแผน 8 เกือบไม่มีรูปธรรมในภาครัฐเลย แต่มีในภาคเอกชนเกิดขึ้นในช่วงแผน 8 ที่เข้ามามีบทบาทการพัฒนาคนในระดับท้องถิ่น ซึ่งข้าพเจ้าก็มีส่วนร่วมในการเสริมสร้างสังคมความรู้ให้กับคนในท้องถิ่น โดยการดำเนินการเรื่องการเสริมสร้างให้เกิดประชาคมจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในกระบวนการสร้างประชาคมจังหวัดจึงพบว่า การพัฒนาทุนมนุษย์นั้นไม่ควรหยุดอยู่ที่การเชิญคนไปอบรม เพราะจะเห็นว่าวันนี้หน่วยงานราชการต่างๆ เชิญคนไปอบรมกันมากมาย แต่ไม่มีกิจกรรมต่อเนื่อง ไม่มีการติดตามผลว่าอบรมไปแล้ว ไปทำอะไรต่อบ้าง จึงเกิดคนมีอาชีพอบรม คือไปอบรมทุกเรื่องทุกหน่วยงานจึงไม่มีเวลาที่จะนำเรื่องที่อบรมมาพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงต้องมีเป้าหมายไปถึงคนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งต้องเกิดจากการปฏิบัติจนเกิดการเปลี่ยนแปลง การเรียนกับอาจารย์วันนี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าดำเนินการมาถูกทางแล้ว คือ พยายามพัฒนาให้คนให้เกิดความรู้ และข้าพเจ้ามีความเชื่อว่าคนทุกคนมีประสบการณ์ มีความสามารถที่แตกต่างกัน หากกระบวนการพัฒนาจะทำให้คนเหล่านั้น ได้นำประสบการณ์ ความสามารถของตนออกมาเพิ่มศักยภาพ ด้วยองค์ความรู้ใหม่ เพิ่มวิธีการจัดการใหม่ ให้เป็นนักคิดนักตั้งคำถามนักหาคำตอบ จะได้บุคคลแห่งการเรียนรู้ หากคนนั้นอยู่ในองค์กรใด ชุมชนใด ก็เป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญ ซึ่งเราต้องช่วยกันเพราะประเทศไทยอ่อนแอทางความคิดลงเรื่อยๆ น่าเป็นห่วง อุษา เทียนทองSurachet Suchaiya (Mobile: 089 205 3098, [email protected])
HomeWork# 6 Human Capital (21-Jul-07)
Human Capital.
อ.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์
1.การประยุกต์ความรู้ที่ได้จากการเรียนในวันนี้
แนวคิด HR Markering
ผมได้แนวคิดเกี่ยวกับ HR Marketing เนื่องจาก นโยบาย ด้านการตลาดหลายอย่างที่ทางบริษัทฯ Launch ออกมาจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ Staff ของเรามีส่วนสำคัญมาก เนื่องจากการการออกนโนบายด้านการตลาดในเรื่องของการบริการหลังการขาย(After Services)แบบเข้าไปแก้ไขให้ในวันทำการถัดไปหลังจากรับแจ้ง หากเรายังไม่มีการจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ขององค์กร สร้างคนให้พร้อมที่จะทำงาน กระตุ้นให้เขาทำงาน กระตุ้นให้เขามีความกระตือรือล้นในการทำงาน มีความรู้ความสามารถเหนือกว่าคู่แข่ง และทำงานให้สำเร็จ นโยบายการบริการหลังการขายที่วางเอาจะไม่ Success หรือ ไม่มีคุณภาพพอที่จะแข่งขันกับ Player อื่นในตลาดได้
บ่อยครั้งหลายบริษัทเราออกนโยบายส่งเสริมการตลาด (Promotion) ออกมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจาก ไม่ได้รับความร่วมมือจากพนักงาน หรือพนักงานไม่เข้าใจ นโยบายที่ออกมา อันเนื่องมาจากการสื่อสารในองค์กร ที่ไม่ดี , สิ่งแวดล้อมในองค์กรที่ไม่เอื้ออำนวย, กฎระเบียบต่างๆที่เข้มงวด, วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นอยู่ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนให้ตอบรับเข้ากับการแข่งขันของตลาด เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้ Human Resource และ Marketing ควรจะต้องผสมผสานกัน ไม่สามารถแยกกันอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ได้
แนวคิดการเรื่องการจัดการความรู้และการประเมินผล
การจัดการความรู้หรือ KM (Knowledge Management) ที่แบ่งออกมาเป็น 3 ข้อได้แก่
- Knowledge Value (ความรู้คือมูลค่าเพิ่มขององค์กร)
- Knowledge Sharing (การแบ่งบันความรู้ในองค์กร)
- Knowledge Asset (ความรู้คือทรัพยสินขององค์กร)
ผมได้นำการจัดการความรู้ มาประยุกต์ใช้กับองค์กร เนื่องจากบ่อยครั้งที่ ความรู้และประสบการณ์ของบริษัทฯ หล่นหายไปเนื่องจาก พนักงานลาออก, ปลดเกษียณ ฯ บริษัทฯ ของเราดำเนินธุรกิจด้านขายและติดตั้งสินค้าด้านเทคโนโลยี ผมริเริ่มให้มีการจดบันทึกข้อมูลด้านเทคนิคแขนงต่างๆที่ได้มาจากการทดลองสินค้าการติดตั้งงาน, การค้นหาจาก internet เพราะข้อมูลเหล่านี้คือมูลค่าเพิ่มของบริษัทฯ และเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ ให้จัดเก็บไว้ใน Web intranet ของบริษัทฯ เพื่อให้พนักงานของเราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทกุคน หรือมีการ Training ต่างๆ ก็สามารถนำข้อมูลใน Web Intranet นี้มาใช้ได้ หรือ เมื่อมีการ orientation พนักงานใหม่ เขาก็สามารถเข้ามาหาข้อมูล เกี่ยวกับ Vision , Mission ขององค์กรได้ เป็นที่รับทราบข่าวสารต่างๆ และ เป็นเก็บของ Manual ต่างๆ ทั้ง Soft skill และ Hard skill ที่ทุกคนควรรู้ อีกทั้งมีการอบรมเรื่อง Process ต่างๆของบริษัทฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการทำงาน และสามารถทำงานแทนกันได้ เมื่ออีกคน ไม่อยู่ เพื่อให้เกิดการบริการลูกค้าจบลงที่จุดเดียว (One Stop Services)
การประเมินผลการทำงาน ที่ผมนำมาประยุกต์ใช้ เนื่องจาก เราเป็นบริษัทฯ ที่มีขนาดไม่ใหญ่มีพนักงานจำนวนไม่มาก ไม่มีลำดับชั้นในการบริหารมากมาย เพราะฉะนั้นการประเมินผลจะบอกแก่พนักงานตั้งแต่เริ่ม Orientation ตอนเข้ามาทำงาน ว่าเรามีการประเมิน 2 ครั้งใน 1 ปี ก่อนที่เราจะประเมินพนักงานของเราเรื่องอะไรเราจะต้องบอกให้เขาได้ทราบและเตรียมตัวทัน เมื่อประเมินผลแล้ว เราจะนำผลการประเมินมาวิเคราะห์เพื่อพิจารณาความก้าวหน้า ไม่เพียงมาปรับขึ้นเงินเดือน แต่จำนำมาปรับปรุงพัฒนาระบบงานต่างๆให้ดีขึ้น
ต่อเนื่องจากสิ่งที่กล่าวถึงข้างต้น ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันต่อในห้องเรียนกับอาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ ที่มาให้ความรู้ในเรื่อง Human Capital: Competency, Training and Learning ซึ่งน่าเสียดายที่อาจารย์ไม่สามารถลงในรายละเอียดตาม hand out ที่แจกทั้งหมด แต่ที่เป็นประโยชน์มากในทัศนะของผมก็คือเกร็ดที่อาจารย์เล่าให้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนและการทำงาน ที่เป็นการแทรกให้เห็นวิธีคิดของผู้นำหรือคนที่เกี่ยวข้องกับ HR ทั้งหลายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะภาคราชการที่อาจารย์เห็นว่ายังมี mindset ที่ผิดเพี้ยนอยู่มาก ในที่สุดอาจารย์ก็ท้อและอยู่ไม่ไหว ส่วนตัวแล้วผมเสียดายที่อาจารย์ออกจากภาคราชการ เพราะจริง ๆ แล้วภาคราชการต้องการคนแบบนี้เพื่อที่จะเป็น change agent แต่คนเดียวก็คงไม่ไหวเหมือนกัน เพราะการทำงานต้องการองค์ประกอบหลายอย่างโดยเฉพาะภาวะผู้นำ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ จริงอยู่ที่หลายเรื่องเป็น initiative ของเจ้าหน้าที่และนำไปสู่ความสำเร็จมากมาย แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าคนที่อนุมัติก็คือผู้นำ หากผู้นำไม่เปิดกว้างหรือคิดไม่ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่มีกลไกอะไรที่ทำให้ผู้นำไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว ก็ไม่แน่ว่า initiative ที่แสนประเสริฐนั้นจะได้รับการดูแลหรือพัฒนา ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าน่าเป็นห่วง ดังนั้น ผมเห็นว่าในเรื่อง competency ที่พูดถึงกันน่าจะเน้นในเรื่องการสร้างทุนทางจริยธรรมและ mindset ให้แก่ผู้นำเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้าง mindset ตามแนวคิดของ Jack Welch ซึ่งเป็น CEO ของ GE ที่ว่า “ผู้นำไม่ใช่ผู้ที่ต้องทำให้ตนเองเด่น แต่ต้องคิดหาวิธีว่าจะส่งเสริมหรือพัฒนาลูกน้องได้อย่างไร” แต่ก็ไม่ได้โทษผู้นำทั้งหมดนะครับ ผู้ตามก็ต้องปรับตัวและเรียนรู้เช่นกัน แต่ผู้นำสำคัญกว่าเพราะเราคงเคยได้ยินคำว่า "ถ้าหัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก"
รักษ์เกชา แฉ่ฉายHuman Capital Management Homework#6. โดยนายปรีติ ปิติอลงกรณ์ เสนอ อ.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
สิ่งที่ได้จากการเรียนในครั้งนี้คือ Core Competency ขององค์กรต่างๆ ส่วนใหญ่จะมาจาก ค่านิยม และวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกหล่อหลอมและยั่งรากลึกอยู่ในองค์กร บางอย่างก็เป็นจุดอ่อนและอุปสรรค และก็ต้องมีบางอย่างที่เป็นจุดแข็งเช่นกัน ดังนั้นต้องพิจารณาให้ดีว่า Core Competency ขององค์กรคือสิ่งใดกันแน่ ส่วนเรื่อง Balanced Scorecard และ KPI นั้น จนถึงทุกวันนี้ก็ยัง Dabate กันอยู่ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ ควรทำ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ หรือ ไม่ควรทำ เพราะหลายองค์กรทั้งในประเทศและทั่วโลกที่ได้จัดทำขึ้น ก็ประสบผลสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐ ที่มุ่งแต่จะทำตัวเลขให้ผ่าน KPI โดยไม่สนใจเนื้องานแท้ คือทำทุกๆ อย่างตามเกณฑ์ที่ให้มา ยกเว้นสิ่งที่ตัวเองควรทำ ในเรื่อง BSC และ KPI นี้มีข้อแนะนำว่าควรใช้เกณฑ์ชี้วัด เพื่อวัด KSF (Key Success Factor) เท่านั้น ไม่ใช่วัดทุกๆ สิ่งไปหมด โดยเฉพาะงานที่เป็น Functional ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาต้องทำให้ได้ตามเกณฑ์อยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นการจัดทำและปฏิบัติการด้าน BSC และ KPI ควรกระทำอย่างรอบคอบศึกษาอย่างถ้วนถี่ ไม่ใช้ลอกเขามาทั้งหมด หรือเอามาเพียงแค่กรอบแต่เนื้อในที่แท้จริงไม่เข้าใจ โดยเฉพาะฝ่ายบริหารจะมีบทบาทอย่างมากที่จะต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่
ถาม: ท่านมีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรของท่านอย่างไร ด้วยวิธีการใด และจะสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับจากการบรรยายไปปรับใช้อย่างไร?
ในฐานะผู้จัดการโครงการวิจัยการพัฒนาระบบตรวจราชการแบบบูรณาการสู่การปฏิบัติ ของสำนักผู้ตรวจ สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการประเมินผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ จากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถือเป็นโอกาสสำคัญที่มีส่วนในการปรับระบบการตรวจราชการของประเทศไทยให้เป็นระบบและมีกลไกในการขับเคลื่อนการตรวจราชการ ในฐานะฝ่ายตรวจสอบของฝ่ายบริหาร ในการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล และทำให้ผู้ตรวจราชการเป็นตำแหน่งที่มีศักดิ์ศรี เป็นผู้ตรวจราชการมืออาชีพ และเป็นตำแหน่งผ่านที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง มิใช่ตำแหน่งที่ไร้ศักดิ์ศรีเหมือนในอดีต และที่สำคัฐมีโอกาสเขียนแผนแม่บทการอบรมและพัฒนาบุคลากรมุ่งสมรรถนะ ซึ่งพอสรุปได้ ดังนี้
ความซับซ้อนและพลวัตรของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในยุคลาภิวัตน์ได้ผลักดัน ให้มีการปฏิรูปการบริหารภาครัฐอย่างจริงจังในบรรดาประเทศต่างต่าง ๆ และส่งผลให้เกิดกระแส ความตื่นตัวในการปฏิรูประบบราชการไทยด้วย การกำกับการปฏิบัติราชการและการตรวจราชการในส่วนภูมิภาคแก่ผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวงทุกกระทรวง ได้รับการแก้ไขจากผลของการปฏิรูปราชการของไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2545 และปัจจุบันตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการตรวจราชการ พ.ศ. 2548ม จากระเบียบฯดังกล่าว พบว่าขอบเขตของการตรวจราชการครอบคลุม การให้คำปรึกษา การตรวจเยี่ยม การติดตามประเมินผล และการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง ดังนั้นบุคลากรในระบบตรวจราชการ ครอบคลุมผู้ตรวจราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี ระดับกระทรวง และผู้ช่วยผู้ตรวจราชการทั้งหมด ดังนั้นบุคลากรมนระบบการตรวจราชการจำเป็นต้องได้รับการพัฒนามุ่งสมรรถนะ ให้มีความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมการปฏิบัติงานทั้งด้านการบริหารเชิงบูรณาการ และเทคนิคเฉพาะด้าน ที่เรียกว่า สมรรถนะส่วนบุคคล (Personal Competency) อันเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีความสำคัญสูง ต่อการขับเคลื่อนพันธกิจการตรวจราชการแบบบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ จึงได้กำหนดแผนแม่บท การอบรมและการพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะ มีสาระสำคัญ คือวิสัยทัศน์“ผู้ตรวจราชการมีสมรรถนะในการตรวจราชการบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์” พันธกิจ· ชี้แจง แนะนำ หรือทำความเข้าใจกับหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐกับแนวทาง และการปฏิบัติงาน หรือการจัดทำภารกิจงานตามนโยบายของรัฐบาล และแผนต่าง ๆ ของชาติและของหน่วยงานของรัฐ· ตรวจติดตามว่าหน่วยงานของรัฐได้ปฏิบัติตามถูกต้องตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ มติของคณะรัฐมนตรี และคำสั่งของนายกรัฐมนตรี และเป็นไปตามความมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ แผนการบริหารราชการแผ่นดิน แผนหรือยุทธศาสตร์ใด ๆที่กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ชาติหรือวาระแห่งชาติหรือไม่· ติดตามความก้าวหน้า ปัญหา และอุปสรรค รวมทั้งประเมินประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าในการปฏิบัติงานหรือการจัดทำภารกิจของหน่วยงานของรัฐ· สดับตรับฟังทุกข์สุข ความคิดเห็น และความต้องการของเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน· แสวงหาข้อเท็จจริง และสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ในพื้นที่ เป้าประสงค์เป้าประสงค์ของการพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะ คือ เสริมสร้างความชำนาญการที่จำเป็น ต่อการขับเคลื่อนพันธกิจของการตรวจราชการบูรณาการแบบมุ่งสัมฤทธิ์อย่างสอดคล้องเชื่อมโยง กับแผนบริหารราชการแผ่นดิน และประเด็นนโยบายของแผ่นดิน ประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรให้มีระดับความชำนาญการของสมรรถนะสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงที่ตอบสนองต่อประเด็นยุทธศาสตร์การเป็นองค์กรสมรรถนะสูง แผนบริหารราชการแผ่นดิน และยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-สังคม ตลอดจนยุทธศาสตร์การปฏิรูประบบราชการ จำเป็นต้องขับเคลื่อนใน 3 ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่1. การพัฒนาระบบพัฒนาบุคลกรแบบมุ่งสมรรถนะ เป็นกระบวนการที่เน้นการจัดวางระบบให้บรรลุถึงขั้นการจัดทำแผนพัฒนาส่วนบุคคล (IDP-Individual Development Plan) ซึ่งมีการกำหนดประเด็นการพัฒนาโดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานของตำแหน่งงานทั้งที่ครองอยู่ในปัจจุบันและอนาคตตามเส้นทางความก้าวหน้า มีการกำหนดแนวทางการพัฒนาพร้อมทั้งวัน/เวลาที่ข้าราชการของ สำนักผู้ตรวจฯ จะลงมือพัฒนาตนเองตามแผนฯ โดยหน่วยงานเจ้าภาพที่รับผิดชอบ ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ต้องร่วมกันเสนอให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักผู้ตรวจฯ กำหนดลำดับความสำคัญของสมรรถนะให้สอดรับกับปริมาณงานที่เกิดขึ้นตามสถานการณ์แวดล้อมภายนอก โดยมีเป้าประสงค์เพื่อพัฒนาระบบประเมินสมรรถนะจนกระทั่งสามารถใช้เป็นแนวทางในการบริหารและพัฒนาบุคลากรในระบบตรวจราชการตามพันธกิจของการตรวจราชการบูรณาการแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์2. การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะเป็นกระบวนการที่มุ่งไปที่การนำผลการประเมินสมรรถนะตนเองของบุคลากรกลุ่มเป้าหมายมาใช้เป็นกรอบในการออกแบบหลักสูตรฝึกอบรม รวมทั้งกำหนดช่องทางและเนื้อหาในการพัฒนาสมรรถนะตามลำดับความสำคัญที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดร่วมกับหน่วยงานเจ้าภาพที่เกี่ยวข้อง โดยมีเป้าประสงค์หลักเพื่อเพิ่มระดับความชำนาญการของบุคลากรให้ตรงตามมาตรฐานของตำแหน่งงานตามผลการประเมินตนเอง 3. การพัฒนาผู้บริหารเพื่อพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะ เป็นกระบวนการที่เน้นการฝึกอบรมและพัฒนาเหมือนกัน แตกต่างกันที่ กลยุทธ์พัฒนาผู้บริหารเพื่อการพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะ มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความรู้ ทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการทำให้ผู้บริหาร เป็นกลไกสำคัญหรือเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรตามผลการประเมินสมรรถนะ อันจะส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อม ในการทำงานจริงที่เกื้อหนุนต่อการพัฒนาสมรรถนะ อีกทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา คือ ส่วนหนึ่งของการสร้างองค์ความรู้ (Knowledge Creation) ไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยมีเป้าประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะและทัศนคติของผู้บริหารในระดับกลุ่มงานและกลุ่มตำแหน่งงานในการประเมินสมรรถนะ และกำหนดแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรในระหว่างการปฏิบัติงานจริง การดำเนินงานตามแผนแม่บทการอบรมและพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะ การดำเนินงานตามแผนแม่บทการอบรมและพัฒนาบุคลากรแบบมุ่งสมรรถนะตามโครงการพัฒนาระบบการตรวจราชการบูรณาการสู่การปฏิบัติ มีแผนการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้1. จัดการฝึกอบรมตามกลุ่มสมรรถนะและหลักสูตรต่าง ๆให้เสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 25502. ติดตามผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทโดยวัดค่าความถี่ในการนำไปใช้จริง ทุกไตรมาสจนถึงปี พ.ศ. 2552
แลกเปลี่ยนประสบการณ์การผูกใจพนักงานที่ดี เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์การ ของอ. พจนาถ ซีบังเกิด
ในการบรรยายของอาจารย์ ทำให้เห็นภาพว่า ทรัพยากรมนุษย์ที่มีศักยภาพเป็นทรัพยากรทางการบริหารและเป็นผู้ใช้ทรัพยากรอื่น ๆอันจะนำความสำเร็จมาสู่องค์การ และเป็นทุนมนุษย์ที่สามารถสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันกับองค์การอื่น ๆได้ ดังนั้น การผูกใจพนักงานที่ดีมีคุณภาพให้อยู่กับองค์การจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น เทคนิคที่อาจารย์บรรยายในการผูกใจพนักงาน สรุปได้ 3 มิติ คือ
1. มิติความต้องการที่จะอยู่กับองค์การ (Stay)
2. มิติการพูดถึงสิ่งที่ดีดีขององค์การ (Say)
3. มิติความต้องการทำงานอย่างเต็มความสามารถ (Strive)
ทั้งนี้ ต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญ คือ
1. การสำนึกในภารกิจ (Think)
2. ความรู้สึกที่ดีต่องาน และองค์การ (Feel)
3. การปฏิบัติในภารกิจที่รับผิดชอบในงานและองค์การอย่างเต็มความสามารถ (Act)
แลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการทุนมนุย์
การกำหนดนโยบาย กลยุทธเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร แต่การดำเนินงานให้นโยบายประสบความสำเร็จเป็นหน้าที่ของพนักงานทุกคน องค์การจึงจำเป็นที่ต้องมีการจัดการทุนมนุษย์ให้สามารถปฏิบัติงานตามเป้าหมายขององค์การ องค์การจึงถ่ายทอดเป้าประสงค์ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายจากระดับองค์การไปสู่ระดับฝ่าย/สำนัก/กอง และบุคคล ซึ่งในแต่ละระดับจะมีการประเมินผลตามเป้าประสงค์ ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน (ประเมินผลตามผลงาน /ตามขีดความสามารถ)ซึ่งปัจจุบันภาครัฐพยายามดำเนินการปรับองค์การไปสู่ระบบดังกล่าว ซึ่งพอสรุป กระบวนการได้ ดังนี้
หลักการจัดทำตัวชี้วัดระดับองค์กร การถ่ายทอดตัวชี้วัดระดับองค์กรสู่ระดับบุคคลจะเกิดขึ้นได้นั้น องค์กรจะต้องมีการจัดทำยุทธศาสตร์ให้มีความชัดเจน ซึ่งยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและถูกต้องและสามารถประเมินได้จะต้องประกอบด้วย (1) วิสัยทัศน์ (Vision) กล่าวคือ องค์กรจะต้องจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตขององค์กรให้เป็นตัวบ่งชี้ถึงทิศทางที่องค์กรต้องมุ่งเน้นไป โดยวิสัยทัศน์จะอธิบายความปรารถนาหรือความทะเยอทะยานสำหรับอนาคตขององค์กร แต่ไม่ได้ระบุถึงวิธีการที่จะนำไปสู่ความ มุ่งหมายนั้นอย่างชัดเจน (2) ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Issues) คือ ประเด็นหลักในการพัฒนา หรือประเด็นที่หน่วยงานจะต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ ซึ่งประเด็นยุทธศาสตร์มักจะมีที่มาจาก - แนวทางหลักในการบรรลุวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน - นโยบายหรือความจำเป็นเร่งด่วนจากภายนอกที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน - ความคาดหวังจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (Stakeholders) ที่สำคัญ ซึ่งวิสัยทัศน์ของสำนักงานส่วนใหญ่ต้องสนองต่อสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ววิสัยทัศน์ |
|
ประเด็นยุทธศาสตร์ |
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3
|
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2
|
ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1
|
(3) เป้าประสงค์ (Goals) หมายถึงเป้าหมายต่าง ๆ ที่ต้องการบรรลุในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ภายใต้กรอบการประเมินผลการพัฒนาการปฏิบัติราชการ ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 และที่ ก.พ.ร.เห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 10/2547 :ซึ่งแบ่งเป็น 4 มิติได้แก่ มิติด้านประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ มิติด้านประสิทธิภาพ ของการปฏิบัติราชการ มิติด้านคุณภาพการให้บริการ และมิติด้านการพัฒนาองค์กร กรอบการประเมินผลการพัฒนาการปฏิบัติราชการ
ส่วนราชการแสดงความสามารถ ในการปฏิบัติราชการ |
มิติที่ 3มิติด้านประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการ
|
มิติที่ 4มิติด้านการพัฒนาองค์กร
|
ส่วนราชการแสดงความสามารถในการเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร
|
มิติที่ 1มิติด้านประสิทธิผลตามพันธกิจ
|
ส่วนราชการแสดงผลงานที่บรรลุเป้าประสงค์และเป้าหมายตามที่ได้รับงบประมาณมาดำเนินการ
|
มิติที่ 2มิติด้านคุณภาพการให้บริการ
|
ส่วนราชการแสดงการให้ความสำคัญกับผู้รับบริการในการให้บริการที่มีคุณภาพ
|
มิติที่ 1 มิติด้านประสิทธิภาพตามยุทธศาสตร์ (Run the Business ) มีหลักการให้ส่วนราชการแสดงผลงานที่บรรลุเป้าประสงค์และเป้าหมายตามที่ได้รับงบประมาณมาดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขต่อประชาชนและผู้รับบริการ เช่น ผลสำเร็จในการพัฒนาการปฏิบัติราชการ เป็นต้น มิติที่ 2 มิติด้านคุณภาพการให้บริการ (Serve the Customer) มีหลักการให้ ส่วนราชการแสดงการให้ความสำคัญกับผู้รับบริการในการให้บริการที่มีคุณภาพ สร้างความ พึงพอใจแก่ผู้รับบริการ มิติที่ 3 มิติด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ (Manage Resources) มีหลักการให้ส่วนราชการแสดงความสามารถในการปฏิบัติราชการ เช่น การลดค่าใช้จ่าย การลดระยะเวลาการให้บริการ และความคุ้มค่าของการใช้เงิน เป็นต้น มิติที่ 4 มิติด้านการพัฒนาองค์กร (Capacity Building) มีหลักการให้ส่วนราชการแสดงความสามารถในการเตรียมความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร เช่น การลดอัตรากำลังหรือจักสรรอัตรากำลังให้คุ้มค่า การมอบอำนาจการตัดสินใจ การอนุมัติ อนุญาต ไปยังระดับปฏิบัติ การนำระบบอีเล็กทรอนิกส์มาใช้กับงาน เป็นต้น (4) แผนที่ยุทธศาสตร์ (Strategy Map) หมายถึงแผนภาพที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเป้าประสงค์ในแต่ละมิติที่มีความเชื่อมโยงกันในลักษณะของเหตุและผล (Cause and Effect Relationship) แผนที่ยุทธศาสตร์ตามแนวคิดจะประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ และเป้าประสงค์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ดังต่อไปนี้ (5) ตัวชี้วัด (Key Performance Indicators : KPIs) หมายถึง เครื่องมือหรือดัชนีที่ใช้ในการวัดความก้าวหน้าของการบรรลุแต่ละเป้าประสงค์ ซึ่งจะต้องสามารถวัดผลและกำหนดเป้าหมายของความสำเร็จได้ โดยทุกเป้าประสงค์ต้องมีตัวชี้วัด (6) เป้าหมาย (Targets) เป็นการกำหนดปริมาณ หรือจำนวนสิ่งที่ต้องการให้บรรลุผลภายในเวลาที่กำหนด (7) โครงการ (Initiatives) สิ่งต่าง ๆ หน่วยงานที่ต้องดำเนินการเพื่อให้เป้าประสงค์ต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายของตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ คำว่า โครงการที่สำคัญในที่นี้หมายรวมถึง นโยบาย โครงการ กิจกรรม มาตรการต่าง ๆ หรือการดำเนินการใด ๆ ภายใต้บทบาทภารกิจของหน่วยงานก็ได้ เป้าประสงค์ ตัวชี้วัด เป้าหมาย และโครงการ มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้ คือ เป้าประสงค์นั้นจะต้องมีตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือบ่งชี้ว่า เป้าประสงค์สำเร็จหรือไม่ จะประเมินจากสิ่งใด ส่วนเป้าหมายจะเป็นเครื่องมือบอกระดับของความสำเร็จตามตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ ส่วนโครงการ คือ สิ่งที่จะต้องทำเพื่อให้เป้าประสงค์นั้นบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย
ผลที่ได้จากการวัดผลควรอยู่ในระดับใดจึงจะถือว่าเป้าประสงค์นั้นสำเร็จ |
เป้าหมายหลักบรรลุผลหรือไม่นั้นจะวัดผลได้จากสิ่งใดบ้าง
|
เป้าประสงค์ |
ตัวชี้วัด | เป้าหมาย | โครงการ |
จัดทำผังเมืองรวมที่ชัดเจน | - ระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนของผลการวิจัย- จำนวนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น | 5 1 | - โครงการจัดวางผังเมืองกลุ่มจังหวัด - โครงการถนนยกระดับเชื่อมโยงถนนวงแหวนรอบนอกฯ |
เป้าหมายที่ต้องการบรรลุคือสิ่งใด |
ต้องทำอย่างไรบ้างให้เป้าประสงค์นี้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย
|
ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมาย ตัวชี้วัด เป้าหมาย และโครงการ |
การจัดทำตัวชี้วัดระดับสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย การจัดทำตัวชี้วัดระดับบุคคลเกิดขึ้นหลังจากที่องค์กรได้จัดทำวิสัยทัศน์ เป้าประสงค์ จนถึงตัวชี้วัดขององค์กรเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปก็ควรจัดกลุ่มงาน/สายงาน (Job Family) ภายในองค์กร และกำหนดพันธกิจของแต่ละกลุ่มงาน ที่ต้องดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ขององค์กรและตัวชี้วัดของผู้บังคับบัญชาด้วย อันจะนำไปสู่การบรรลุประเด็นยุทธศาสตร์และวิสัยทัศน์ขององค์กรต่อไป การจัดทำตัวชี้วัดระดับสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ยืนยันบทบาทหน้าที่ของสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย โดยยึดหลักความรับผิดชอบหลักของสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย ตามที่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดการกำหนดตำแหน่ง (Job Description) เพื่อยืนยันบทบาทหน้าที่ของสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย/ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ขั้นตอนที่ 2 กำหนดเป้าประสงค์ที่สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย มีส่วนผลักดันเป้าประสงค์ขององค์กร ให้สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย พิจารณาเป้าประสงค์ต่างๆ ขององค์กรว่า สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่ายมีบทบาทอย่างไรต่อเป้าประสงค์เหล่านั้น และเลือกเป้าประสงค์ที่สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่ายมีส่วนผลักดันให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 3 กำหนดเป้าประสงค์เพิ่มเติมหน้าที่ที่ พิจารณาความรับผิดชอบหลักจากขั้นตอนที่ 1 เทียบกับเป้าประสงค์ขององค์กรที่สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องจากขั้นตอนที่ 2 หากเป้าประสงค์ที่สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย รับจากองค์กรยังไม่ครอบคลุมความรับผิดชอบหลักให้กำหนดเป้าประสงค์ที่ต้องการพัฒนาหรือมุ่งเน้นเพื่อให้งานตามความรับผิดชอบมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด ขั้นตอนที่ 4 กำหนดตัวชี้วัดในแต่ละเป้าประสงค์ การกำหนดตัวชี้วัดเพื่อให้เป้าประสงค์ขององค์กรประสบผลสำเร็จ โดยมีการกำหนดเป้าหมายของความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประเมินผลสำเร็จตามค่าเป้าหมายที่กำหนดด้วย การจัดทำตัวชี้วัดระดับบุคคล การจัดทำตัวชี้วัดระดับบุคล จะดำเนินการภายหลังจากการจัดทำตัวชี้วัดระดับสำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย เสร็จสิ้นแล้ว และควรจัดกลุ่มงาน/สายงาน (Job Family) ภายใต้สำนัก/กอง/กลุ่มงาน/ฝ่าย โดยจัดบุคลากรที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ลักษณะงานคล้ายกัน ที่มีหน้าที่ใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน แล้วจึงทำการถ่ายทอดตัวชี้วัดสู่ระดับบุคคล
บทบาท หน้าที่ ของบุคคลที่สนับสนุนต่อเป้าประสงค์และตัวชี้วัดของผู้บังคับบัญชา |
บทบาท หน้าที่งานของบุคคล(Job Description)
|
งานที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ
|
เป้าประสงค์ในระดับบุคคล |
ตัวชี้วัดในระดับบุคคล |
แนวทางการถ่ายทอดตัวชี้วัดระดับบุคคล การกำหนดแนวทางการถ่ายทอดตัวชี้วัดระดับบุคคล มีการผสมผสานระหว่าง- การพัฒนางานตามบทบาท หน้าที่ระดับบุคคลที่สนับสนุนต่อเป้าประสงค์และตัวชี้วัดของผู้บังคับบัญชา- การพัฒนางานตามบทบาทหน้าที่และภารกิจในงานประจำแต่ละบุคคล- การให้ความสำคัญกับงานที่ได้รับมอบหมายเป็นพิเศษ โดยแนวทางการจัดทำตัวชี้วัดระดับบุคคล มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ยืนยันหน้าที่ของบุคคล เป็นการยืนยันหน้าที่ของบุคคลจากหน้าที่งานตามที่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดการกำหนดตำแหน่ง (Job Description) เพื่อแสดงรายละเอียดหน้าที่และความรับผิดชอบหลักๆ ของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นจึงดำเนินการจัดกลุ่มงานที่มีลักษณะเหมือนกันเข้าเป็นกลุ่มงาน/สายงาน (Job Family) และสรุปความรับผิดชอบหลักแต่ละกลุ่มงานให้ชัดเจน เพื่อให้สะดวกต่อการจัดทำเป้าประสงค์และตัวชี้วัดระดับบุคคล ขั้นตอนที่ 2 กำหนดเป้าประสงค์ที่บุคคลมีส่วนผลักดันเป้าประสงค์ของผู้บังคับบัญชา พิจารณาเป้าประสงค์ของผู้บังคับบัญชาที่กลุ่มงาน/สายงานนั้น ๆ มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยใช้รายละเอียดการกำหนดตำแหน่งเป็นหลักในการพิจารณาว่า ในตำแหน่งงานนั้น ๆ มีส่วนเกี่ยวข้องกับเป้าประสงค์ของผู้บังคับบัญชาอย่างไรบ้าง และกำหนดเป้าประสงค์ที่บุคคลมีส่วนผลักดันเป้าประสงค์ของผู้บังคับบัญชาให้บรรลุเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 3 กำหนดเป้าประสงค์เพิ่มเติมตามหน้าที่ พิจารณาความรับผิดชอบหลังจากขั้นตอนที่ 1 เทียบกับเป้าประสงค์ของผู้บังคับบัญชาที่บุคคลมีส่วนผลักดันจากขั้นตอน ที่ 2 หากเป้าประสงค์ที่บุคคลรับจากผู้บังคับบัญชายังไม่ครอบคลุมความรับผิดชอบหลักให้กำหนดเป้าประสงค์ที่ต้องการพัฒนาหรือมุ่งเน้นเพื่อให้งานตามความรับผิดชอบมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ขั้นตอนที่
Dear Prof. Chira,
On Saturday 4 August, 2007 we had an opportunity to meet Mr. Peter Bjork as our instructor. Peter introduced himself together with background of his homeland, Sweden.
His topic is on "Leadership in a Changing World".
He briefly described the definition of "Leadership". Part of the leadership was the "Triggers of Changes". The Leadership context which inclusive of :
- Organizational Context
- Leaders
- Leadership Style is Formed Out
- Followers
- Culture and Values of the Society
Peter introduced the Leadership Styles and providing the research & study of the Farax Company. There are :
- The Visible Leader
- The Gardener
- The Entrepreneur
- The Transactional Leader
The study on these type of leaders were support with the research of the Farax Company. The Farax has completed the research on criteria, profiles and measurement for Leader Development.
Change Management was part of the lecuture in the 2nd session of the class. He described the definitions of Change Management and how important and related to the Leadership.
It was another fruitful and interesting class. Peter taught us with example in the Europe side, comparing with the Asian culture.
Leadership & Change Management were the heart of the session. He concluded with the human reactions on change and development.
We had a chance to share on the workshop at the end of class. Peter & class shared the view on the different kind of leadership in both micro and macro.
We are looking forward to have Peter back as our instructor in the near future.
Thank you & Best regards,
Sarah (NaPombhejara) Allapach
SSRU/DM
ทดลองส่งค่ะ
เรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ดารมภ์ Homework 6
จากการศึกษาเกี่ยวกับ Leadership in a changing world กับอาจารย์ Mr. Peter Bjork เมื่อเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2550 สรุปได้ดังนี้
- CCM เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือองค์กร/ธุรกิจด้านการวางกลยุทธ์ และภาวะผู้นำซึ่งก่อตั้งในประเทศสวีเดนเมื่อปี 1993 และเกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 1998
- มีตัวอย่างโครงการหลากหลายในประเทศไทยที่ CCM ได้จัดทำอาทิ เช่น SMC สวีเดน มอเตอร์,เนสเลท์,โคโค,โจตัน เป็นต้น
- รูปแบบของผู้นำ จากข้อมูลฟาแรกซ์ FARAX Profiles
- พฤติกรรมของผู้นำ
- ความสำคัญของพฤติกรรมของผู้นำ
- ความสามารถของผู้จัดการ
- ความต้องการขององค์กร
- ความมีประสิทธิภาพของหน่วยงาน
- มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน
- มีความอดทน อดกลั้น
- บริหารโดยยึดวัตถุประสงค์
- ลงมือปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน
- คลี่คลายข้อโต้แย้ง
- มีความสม่ำเสมอในคำพูด และการกระทำ
- ลงมือปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน
- ติดตามความคืบหน้าอย่างกระตือรือร้น
- พร้อมและเต็มใจที่จะทนทวนความคิดของตนเอง
- มีความคงเส้นคงวา
- เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
- แก้ไขผลสะท้อนที่ได้รับกลับมา และทำให้เกิดผล
- วางรูปแบบความรู้สึกร่วมกันในสภาวะทางใจ
- การเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุงทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง
- มนุษย์แสวงหาสิ่งที่คาดเดาล่วงหน้าได้
- ความขัดแย้งระหว่างเหตุการณ์ที่คาดเดาได้ และคาดเดาไม่ได้
- มีปฏิกิริยาที่เป็นการ หรือเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงมากกว่าที่จะเน้นไปในเชิงบวก
- ชี้แจงล่วงหน้า > มีการประชุมอย่างสม่ำเสมอ
- กล้าพูดทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ
- เต็มใจต้อนรับคนที่เข้ามาร่วมกระบวนการเปลี่ยนแปลง
- สนับสนุนกิจกรรมภายในกลุ่ม
- หลีกเลี่ยงคำสั่งจากฝ่ายบริหาร > ควรมีการพูดคุยถึงข้อคิดเห็นที่แตกต่าง
- ยอมรับว่าอาจมีบางคนที่ไม่พอใจ หรืออาจมีอารมณ์อื่นๆ
- มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจ ลูกค้า และตลาด
- ผู้นำ คือตัวแทนขององค์กร และการเปลี่ยนแปลง แต่ควรรับฟังความคิดเห็นของพนักงานด้วย
- ผู้นำ อาจมองข้ามความสำคัญในการชี้แจงให้พนักงานทราบ
- ผู้นำ ควรสร้างช่องทางการสื่อสารที่ดี
ท้ายสุด >>> ผู้นำควรเอาใจเขา ใส่ใจเรา และควรสร้างความรัก ความศรัทธาให้เกิดขึ้นกับองค์กร และนั่นแหละถึงจะเรียกว่าการมี "ภาวะผู้นำ" ที่ดี
ขอบคุณครับ
สิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
นักศึกษา นาย พนม ปีย์เจริญ
“Leadership in a changing world”
อาจารย์ Peter ได้เล่าเรื่องราวในอดีตถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสวีเดน กับประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อ 100 ปี ที่ผ่านมาจนปัจจุบัน ว่าไทยและสวีเดนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนานเพียงไร และได้พูดคุยถึงคำว่า Leadership ว่ามีความหมายอย่างไร และมีบทบาทหน้าที่สำคัญอย่างไรบ้าง
1. Communicating goal and visionsผู้นำต้องมีการสื่อสารถึงเป้าหมายที่จะไปให้ถึงให้คนในองค์กรได้รับทราบรับรู้
2. Increasing companies’ competitive advantage ผู้นำต้องมีความสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กร
3. Implementing organizational change and development ผู้นำจะต้องทำให้องค์กรมีความเปลี่ยนแปลงไปสู่การพัฒนาที่ดีกว่า
4. Influencing and transforming employees needs and attitudesผู้นำต้องมีอิทธิพลในการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน และต่อความต้องการของพนักงานทุกระดับ
5. Creating high performing teams at different levels ผู้นำต้องสามารถเป็นผู้สร้างสรรค์ให้ทีมงานมีประสิทธิภาพและความสามารถที่แตกต่างในแต่ละระดับ
6. Creating corporate values and culture ผู้นำจะต้องมีส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี ตลอดจนช่วยสร้างคุณค่าให้กับการมีส่วนร่วมของ คนในองค์กร
อย่างไรก็ตามผู้นำที่ดีนั้นจะต้องเข้าใจบทบาทในแต่ละช่วงขณะ กล่าวคือเมื่อเป็นผู้นำก็ต้องเป็นผู้นำที่ดี และทรงประสิทธิภาพ และเมื่อต้องเป็นผู้ตามก็ต้องรู้จักการเป็นผู้ตามที่ดีเช่นเดียวกัน
ED COHEN เขียนไว้ในหนังสือ “ Leadership without borders ” หรือผู้นำไร้พรมแดนว่า “ผู้นำระดับโลก มีหน้าที่ที่จะต้องสร้างให้ทุกคนเป็นผู้นำให้มากขึ้น” พร้อมทั้งได้พูดถึงลักษณะของผู้นำที่ดีว่าควรจะมีคุณสมบัติที่ดีอย่างไรบ้าง
ดังนั้นผู้นำที่ดีของ ED COHEN จึงต้องมีคุณสมบัติดังนี้
1. เปิดรับประสบการณ์ใหม่ เพราะโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงเราจึงเรียนรู้สม่ำเสมอ เพื่อตั้งรับประสบการณ์ใหม่ๆที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
2. อยากรู้อยากเห็นเรื่องใหม่ๆในโลก เพราะโลกแห่งการแข่งขันย่อมต้องรู้เขารู้เรา มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถรับมือคู่แข่งได้ทันท่วงที
3. มีพลังในการกระตุ้นลูกน้องตลอดเวลา ผู้นำต้องมีศักยภาพพอในการที่จะกระตุ้นให้คนอื่น กระตือรือร้นที่จะปรับตัวตามสถานการณ์และตามผู้นำ ให้ทัน มิฉะนั้น จะไม่สามารถวิ่งตามความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ทัน ที่สำคัญแทนที่ลูกน้อง จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการทำงานก้าวไปข้างหน้าของผู้นำ จะกลับกลายเป็นฉุดรั้งการก้าวไปข้างหน้าอันจะ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน
4. จะต้องฟังและเรียนรู้ตลอดเวลา ผู้นำที่ดีจะต้องฟังคนรอบข้างในทุกระดับเพราะข้อมูลจากทุกด้าน ทุกระดับ จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์ และเรียนรู้ปัญหาได้ลุกซึ้ง อันจะเป็นส่วนช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและถูกต้อง
5. ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ทุกนาทีที่โลกหมุน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ผู้นำต้องไม่ติดกับอยู่กับความสำเร็จเก่าๆ ข้อมูลเก่าๆ ความเชื่อเก่าๆ แนวคิดเก่าๆ กลยุทธ์เก่าๆ อันจะเป็นหลุมพรางที่จะทำให้เราจมปลักอยู่กับวังวนเดิมๆที่ไม่สามารถปรับตัวได้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอันจะทำให้เราถูกมองว่าเป็นคนหลงยุค
6. ต้องถามให้ตรงประเด็นและถามมีสาระ “ คำตอบที่ดีมาจากคำถามที่ตรงประเด็นและถูกต้อง ” ผู้นำจึงต้องถามให้ตรงประเด็น เราจึงจะได้คำตอบตรงความต้องการ
7. มีนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
ผู้นำต้องรู้จักคิดนอกกรอบ ( Think out of the box ) ต้องเอาตัวเองออกจากกล่องเป็นคนแรก เพื่อให้ได้แนวคิดมุมมองที่กว้างไกลออกไป ไม่อยู่ในวังวนที่ซ้ำซากจำเจที่สำคัญผู้นำต้องคิดเสมอว่า “คำตอบที่ถูกในวันนี้ อาจเป็นคำตอบที่ผิดในวันหน้า และคำตอบที่ ผิดในวันนี้ อาจเป็นคำตอบที่ถูกในวันข้างหน้า เช่นเดียวกัน” เมื่อเวลาเปลี่ยน เงื่อนไขก็เปลี่ยน สถานการณ์ก็ย่อมเปลี่ยนเป็นธรรมดา ผู้นำจึงหยุดคิดไม่ได้ เพราะหยุดก็เท่ากับถอยหลังเพราะคู่แข่งเราเขาไม่ได้หยุดไปด้วย
8. มีความมั่นใจในตนเอง ผู้นำที่ดีจะสร้างความมั่นใจให้ผู้อื่นนั้น บันไดก้าวแรกต้องเริ่มต้นจากความมั่นใจในตนเองเสียก่อน ถ้าตนเองไม่มั่นใจในตนเอง จะให้ใครมามั่นใจในตัวเองได้ ผู้นำจึงต้องกล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ ผลของการตัดสินใจ ไม่ว่าจะประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ความมั่นใจจะเกิดขึ้นได้ในตัวผู้นำก็ต่อเมื่อ ผู้นำต้องมีความรู้มากพอ...ข้อมูลมากพอ...อำนาจการ ตัดสินใจและอำนาจในการต่อรองมากพอ... ฯลฯ
9. จะต้องติดตามผลลัพธ์ที่ได้และต้องศึกษาเรียนรู้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร ผู้นำจะต้องติดตามประเมินผล สิ่งที่ตัวเองคิดตัดสินใจ และทำลงไป ว่าได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นไร พร้อมทั้งเรียนรู้ข้อดี ข้อผิดพลาดและนำกลับมาแก้ไขต่อไปในโอกาสข้างหน้า
ในแนวคิดของผมนั้น นอกเหนือจากสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ผมคิดว่าผู้นำคือ ผู้ที่สามารถทำกระบวนการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นทำงานหนัก เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เราต้องการ
โดยที่ผู้นำที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้
ผู้นำจะต้องมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. Provide Direction
ผู้นำที่ดีต้องสามารถหยั่งรู้ทิศทางที่ถูกต้องและบอกทิศทางที่ดีที่สุดให้สมาชิกในทีมได้เดินไปในเป้าหมายที่ดีที่สุด
2. General Trust
ผู้นำต้องสร้างความเชื่อถือศรัทธา ตลอดจนเป็นต้นแบบที่ดีกับสมาชิกผู้เกี่ยวข้อง
3. Proactive ผู้นำต้องรู้จักทำงานเชิงรุก มีความกระตือรือร้นในการทำงาน...มองการไกลและต้องสามารถคาดหวังได้ แม่นยำ...มีการวางแผนงานล่วงหน้า พร้อมทั้งหาทางออกไว้ล่วงหน้าด้วย ว่าถ้าพบอุปสรรคแล้ว จะตัดสินใจหาทางออกหรือมีทางเลือกอื่นได้กี่หนทาง อย่างไร 4. Purveyors of Hope ผู้นำต้องมีความหวังในหัวใจ พร้อมทั้งมองเห็นโอกาสที่ดีที่คนอื่นมองไม่เห็น และนำความหวังนั้นมาเป็น แรงกระตุ้นให้กับตนเองและสมาชิกในองค์กรให้เกิดแรงบันดาลใจ
นอกจากนั้นผู้นำยังจะต้องมีคุณสมบัติที่พร้อมจะสร้างทีมงานให้มีศักยภาพและสมรรถนะสูง พอกับการแข่งขัน ในโลกแห่งการแข่งขันที่รออยู่ข้างหน้า
1. Organization ability มีความรอบรู้ลักษณะของคนในองค์กร ( People ) ลักษณะของงานในองค์กร ( Task ) และลักษณะขององค์กร ( Organization ) เป็นอย่างดี 2. Direction and leadershipมีความสามารถในการนำหรือบังคับบัญชา หรืออำนวยการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนแบบอย่างที่ดีของผู้ตามในองค์กร
3. Facilitating group decision making เป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวกในการตัดสินใจของกลุ่ม 4. Motivation ผู้นำต้องเป็นกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจในการทำงานหนัก และทุ่มเทเพื่อความสำเร็จขององค์กร 5. Conflict resolution
ผู้นำต้องมีความสามารถในการประสานความขัดแย้งในทีมเพื่อให้เกิดพลังแห่งความสามัคคี อันจะทำให้ทีมมีความพร้อมในการเผชิญอุปสรรคและปัญหา
6. Team unification ผู้นำต้องมีความสามารถในการสร้างความเป็นเอกภาพของทีม
7. Visibility and access ability ผู้นำต้องมีความสามารถในการมองการไกล ละเข้าถึงงานในส่วนต่างๆได้ดี
8. Top management linkage ผู้นำต้องสามารถจัดการและเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารในระดับสูง หรือมีการเชื่อมโยงในลักษณะมีความสัมพันธภาพที่ดีกับผู้บริหาร
นอกจากนั้นแล้ว ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ เชิงสหวิทยาการอันจะมีอิทธิพลต่อการสร้างกลยุทธ์ทางการบริหาร อาทิความรู้ด้านต่างๆ ดังนี้
1. องค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการ ( Management )
ผู้นำต้องสามารถออกแบบระบบบริหารจัดการองค์กรให้มีความกะทัดรัด คล่องตัว รวดเร็ว เพื่อให้สอดคล้อง กับสถานการณ์
2. องค์ความรู้ด้านการตลาด ( Marketing ) ผู้นำต้องมีความสามารถในการช่วยระดมความคิดเพื่อสร้างความพึงพอใจ ให้กับลูกค้าภายใต้กรอบ 4 P. 2.1 Price = ราคา 2.2 Place = สถานที่ตั้ง / ช่องทางการจำหน่าย 2.3 Promotion = การส่งเสริมการตลาด
2.4 Product = ผลิตภัณฑ์
3. องค์ความรู้ด้านการบริหารการบัญชี ( Accounting )
ผู้นำต้องรู้จักการสร้างข้อมูลข่าวสารทางการเงิน เพราะกลยุทธ์ทางการบริหารเกือบทุกด้านจึงเป็นต้องพึ่ง พาข้อมูลข่าวสารทางการเงิน ซึ่งเกิดจากระบบบัญชีที่ดีขององค์กร
4. องค์ความรู้ด้านการบริหารการเงิน ( Financial )
ผู้นำต้องสามารถวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง ทางด้านการเงินขององค์กรได้ถูกต้องโดยฝึกอบรมเรื่องการเงินสำหรับนักบริหารหรือผู้นำที่ไม่ใช่ผู้จัดการฝ่ายการเงินเพื่อให้นักบริหาร
5. องค์ความรู้ด้านการผลิต ( Production ) ผู้นำต้องเรียนรู้เพื่อมุ่งเน้นการวางแผน,การควบคุมการผลิต เพื่อทำให้ต้นทุน งบประมาณ อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
6. องค์ความรู้ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ( Human Resource ) ผู้นำต้องมุ่งเน้นไปสู่การทำให้บุคลากรขององค์กรเป็นบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและหน้าที่ ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์กร เพราะการกำหนดกลยุทธ์ใดๆจะไความหมาย ถ้าบุคลากรขาดประสิทธิภาพ โดยมิได้มีการพัฒนาให้มี คุณภาพอยู่เสมอ
7. องค์ความรู้ด้านสภาพแวดล้อมทางการบริหารโดยเฉพาะสภาพแวดล้อมภายนอก ( External Environment )
เป็นองค์ความรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้นำติดตามและตระหนักถึงปัญหาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่รายล้อมองค์กรอยู่และ อยู่นอกเหนือการควบคุมแต่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการ เช่น สภาวะแปรผันทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ผู้นำหรือนักบริหารองค์กร จะสร้างกลยุทธ์ทางการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลก็ต่อเมื่อ ผู้นำหรือนักบริหารมีความรู้ แบบสหวิทยาการ ดังที่กล่าวมา เพราะเมื่อผู้นำมีกลยุทธ์ทางการบริหารที่มีประสิทธิภาพก็จะส่งผลให้องค์กรเจริญเติบโต ( Growth ) อย่างมีเสถียรภาพ ( Stability ) ตลอดจนมีความยั่งยืน ยาวนาน ( Sustainability ) ตลอดไปพนม ปีย์เจริญ
Mr.Panom Peecharoen
ชื่อ ราชอาณาจักรสวีเดน เมืองหลวง สตอกโฮล์ม ระบอบการปกครอง ราชาธิปไตยภายใต้รัฐะรรนูญ กษัตริย์ สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่16 กุสตาฟ นายกรัฐมนตรี เฟรดดริค รายน์เฟลท์ จำนวนประชากร 9 ล้านคน ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในประเทศสวีเดน อิสกุสัน วอลโว่ อิเล็กโตรลักษ์ และอื่นๆ รัชการที่ 5 ได้สร้างอนุสรณ์ศาลาเพื่อเป็นที่ระลึก ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง -กฎระเบียบข้อบังคับ -การบริการที่ภาครัฐทำอย่างเดียว ฉะนั้นต้องแก้ไขโดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมจะได้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น -โลกไร้พรมแดน -วงจรผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง นิยามของภาวะผู้นำหรือความเป็นผู้นำ -กระบวนการของอิทธิพล (อำนาจ) มีค่ามากกว่าหรือดีกว่าตำแหน่ง -ความเป็นผู้นำในยุคศตวรรษที่ 21 มีคุณลักษณะในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สรุปความเป็นเป็นผู้นำ หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถในการใช้ศิลปะในการจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จด้วยความเต็มใจ ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความเป็นผู้นำเช่น -การติดต่อสื่อสารที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายและวิสัยทัศน์ -การเพิ่มศักยภาพของบริษัทในสภาวะการแข่งขันที่มีสูง -การดำเนินการการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงองค์กรและการพัฒนาองค์กรให้ไปสู่จุดมุ่งหมาย -การศึกษาผลกระทบของความต้องการของลูกจ้างและทัศนคติที่มีต่อองค์กร -การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อยกระดับ และสร้างความแตกต่างให้กับพนักงาน -สร้างสรรค์คุณค่าของหน่วยงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ดีให้กับธุรกิจ บริบทของความเป็นผู้นำ (ภาวะผู้นำ) 1.บริบทองค์กร (สิ่งแวดล้อม) มีอิทธิพลต่อรูปแบบของความเป็นผู้นำ2.ผู้นำ มีอิทธิพลต่อรูปแบบของความเป็นผู้นำ3.ผู้ตาม มีอิทธิพลต่อรูปแบบของความเป็นผู้นำ4.วัฒนธรรมและคุณค่าทางสังคม มีอิทธิพลต่อรูปแบบของความเป็นผู้นำ รูปแบบภาวะผู้นำใน 50 ปีที่แล้วที่ทำการวิจัยแบบใหม่ -ให้ความสำคัญกับบุคคล -มีเสรีภาพ (ประชาธิปไตยหรือกระจายอำนาจ) -ปัจเจกบุคคล (ความเป็นส่วนตัว) -ทฤษฎี y -ใช้ความสัมพันธ์เป็นเครื่องชี้วัด -ผู้สั่งการจะมีหน้าที่สนับสนุน -ยึดถือหลักการพิจารณาโดยสภาพ แตกต่างที่หลากหลายแบบเก่า -ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์-การใช้อำนาจบังคับบัญชามีการควบคุม-เน้นการสร้างผลิตภัณฑ์-ทฤษฎี x-ใช้ผลงานเป็นเครื่องชีวัด-การสั่งการจะสั่งงานโดยตรง-ยึดหลักโครงสร้างมีรูปแบบแน่นอนตารางข่ายของการจัดการ 1.ถ้าเรามุ่งไปสู่ที่คนต่ำและมุ่งไปสู่ผลงานต่ำ ผลก็คือไม่ได้เรื่อง2.ถ้าเรามุ่งไปสู่ที่คนสูงและมุ่งไปสู่ผลงานต่ำ ผลก็คือปล่อยปะละเลย3.ถ้าเรามุ่งไปสู่ที่คนต่ำและมุ่งไปสู่ผลงานสูง ผลก็คือการใช้อำนาจ4.ถ้าเรามุ่งไปสู่ที่คนสูงและมุ่งไปสู่ผลงานสูง ผลก็คือมีทีมการบริหารจัดการที่ดี มีทีมงานที่เป็นเลิศ การเปลี่ยนแปลงจะอยู่ระหว่าง สัมพันธภาพกับการเป็นโครงสร้าง ข้อมูลของฟาแรกซ์ ได้อธิบายถึงรูปแบบของผู้นำ มีดังนี้ การเปลี่ยนแปลง รูปแบบโครงสร้าง สัมพันธภาพ 1.แบบสบายๆ ไม่มี ไม่มี ไม่มี2.ความคิดสร้างสรรค์ มี ไม่มี ไม่มี3.คนดี ไม่มี ไม่มี มี4.ข้าราชการทำงานเหมือน เครื่องจักรไม่มีความคิดสร้างสรรค์ไม่มี มี ไม่มี5.คนที่ทำตามคำสั่งของผู้อื่นมีหน้าที่ อย่างไรก็ทำอย่างนั้น มี ไม่มี มี6.นักบริหารจัดการ ไม่มี มี มี7.เจ้าของกิจการ มี มี ไม่มี8.มีความชัดเจน มี มี มี ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ (ชัดเจน) 1.ความสามารถในการกระตุ้นพฤติกรรมหลัก 3 ประการคือ 1) รูปแบบโครงสร้าง 2)การดูแลทรัพยากรมนุษย์ 3)การเปลี่ยนสถานที่ทำงานที่เหมาะสมกับงาน การสร้างบรรยากาศในการทำงาน2.ผู้บริหารที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีความสามารถและการเป็นที่ชื่นชอบหรือความเป็นที่นิยมของผู้อื่น3.ผู้บริหารที่มีผู้สนับสนุนและให้ความไว้วางใจ4.ผู้บริหารแบบนี้จะเป็นผู้นำที่ดีเลิศ ผู้นำแบบคนสวน (ผู้ที่ทำตามคำสั่งของผู้อื่น) 1.เป็นผู้นำที่มีสัมพันธภาพและมีการเปลี่ยนแปลงแต่ไม่สามารถสร้างสรรค์รูปแบบของโครงสร้างการทำงานที่ดีให้กับองค์กรได้2.วิสัยทัศน์ของผู้บริหารแบบนี้ จะมีความสามารถในการจัดการองค์กรแบบไม่เป็นทางการให้กับพนักงานหรือไม่สามารถกระตุ้นพนักงานได้3.ทำทุกอย่างดีและมีข้อมูลในการพัฒนาคน สร้างแรงจูงใจในการทำงาน4.ผู้บริหารแบบนี้จะมีมาก ผู้นำแบบเจ้าของกิจการ1.มีการสร้างความคิดริเริ่มและมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างขององค์กร2.ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงส่วนของราชการด้วย3.ร่วมกันปรับปรุงโครงสร้าง และลดขนาดขององค์กรลง4.มีเจ้าของกิจการเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่จะอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่ได้ ผู้นำแบบนักบริหารจัดการ 1.การวางโครงสร้างและการผลิตที่ดี2.โครงสร้างของลูกจ้างจะมีความสัมพันธ์แค่ความสนใจในบทบาทของตนเองกับผลตอบแทน3.ไม่มีความสามารถในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสำหรับสภาพแวดล้อมใหม่ของธุรกิจ4.ไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนา5.จะเป็นเพียงผู้ที่ดูแลองค์กรเท่านั้นมิใช่เจ้าองค์กร การวัดผลฟาแรกซ์ สามารถวัดได้ดังนี้1. พฤติกรรมของผู้นำ2. ความสำคัญของพฤติกรรมของผู้นำ3. ความสามารถของผู้จัดการ4. ความต้องการขององค์กร5. ความมีประสิทธิภาพของหน่วยงาน ฉะนั้น FARAX ก็จะประกอบไปด้วย 1.ตัวเอง 2.หัวหน้า 3.เพื่อนร่วมงาน 4. ผู้ใต้บังคับบัญชา
FARAX จะต้องมีความสัมพันธ์การติดต่อสื่อสารกับทุกอย่าง แบบ 360o ในทุก ๆ ด้าน
ขั้นตอนของฟาแรกซ์ ขั้นที่ 1 ข้อมูลฟาแรกซ์ ขั้นที่ 2 การวัดค่าฟาแรกซ์ ขั้นที่ 3 ผลฟาแรกซ์ของแต่ละบุคคล การบริหารผลฟาแรกซ์และการปรึกษาในกลุ่ม ขั้นที่ 4 ทำซ้ำการวัดค่า
ประสบการณ์ที่ได้รับจากผลการตอบรับของฟาแรกซ์ในประเทศไทย1. มีแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองของผู้จัดการ2. มีทรรศนคติที่เปิดกว้าง หรือมีโลกทัศน์3. ได้ผลในระดับสูง4. มีช่องว่างระหว่างการวัดค่าด้วยตนเองและผู้ใต้บังคับบัญชา5. ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องการควบคุมและเปลี่ยนแปลง6. ผู้จัดการมีการแก้ปัญหา7. ผู้จัดการต้องติดตามผลงานที่ทำ8. การใช้ระบบ 360o ทำได้ดีในประเทศไทย แต่ข่าวสารข้อมูลและภาษานั้นเป็นอุปสรรคการจัดการการเปลี่ยนแปลงความเป็นผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลง· มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน· มีความอดทน อดกลั้น· บริหารโดยวัตถุประสงค์· ลงมือปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน· คลี่คลายข้อโต้แย้ง ภาระ/ความมุ่งมั่นของผู้บริหารสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง· มีความสม่ำเสมอในคำพูด และการกระทำ· ลงมือปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อน· ติดตามความคืบหน้าอย่างกระตือรือร้น· พร้อมและเต็มใจที่จะทบทวนความคิดของตนเอง ทักษะในการดำเนินงาน· มีความคงเส้นคงวา· เลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง· แก้ไขผลสะท้อนที่ได้รับการกลับมาทำให้เกิดผล· วางรูปแบบความรู้สึกร่วมกันในสภาวะทางใจ ปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงและการปรับปรุง· การเปลี่ยนแปลง และการปรับปรุงทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง และกลัวในเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้· มนุษย์แสวงหาสิ่งที่คาดเดาล่วงหน้าได้· ความขัดแย้งระหว่างเหตุการณ์ที่คาดเดาได้ และเหตุการณ์ที่คาดเดา เดาไม่ได้·
4 สิงหาคม 2550
วันนี้มาแต่เช้าเพราะตั้งใจที่จะได้พบกับ อาจารย์จีระเหมือนเสาร์ที่แล้วในบรรยากาศสบาย ๆกับการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันแบบไม่เป็นทางการ แต่การมาแต่เช้าทำให้มีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์ Peter เป็นการสร้างเสริมประสบการณ์ในการสนทนากับชาวต่างชาติ และได้ข้อคิดในการใช้ภาษาอังกฤษจากอาจารย์ปีเตอร์ว่าเป็นการเรียนที่จำเป็น เสมือนเป็นภาคบังคับในภาวะโลกไร้พรมแดนอย่างปัจจุบัน แม้แต่อาจารย์ก็ต้องเรียนเช่นเดียวกัน เนื่องจากอาจารย์เป็นชาวสวีเดน อาจารย์เริ่มจาก CCM (Center for change Management)ซี่งเป็นการเตรียมการนำกลยุทธ์ไปใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยกตัวอย่างโครงการต่าง ๆของสวีเดนและไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์กันมานานนับรอยปีตั้งแต่สมัยรัชการที่ 5
ในโครงการมีการกำหนดโปรแกรมดังนี้ -Introduction & Background -Trigger of Change-Leadership definitions and research on
Leadership style
-Workshop-Q & A
นักวิจัยได้ศึกษาความเป็นผู้นำมาเป็นระยะเวลานานนับสิบ ๆปีแต่ก็ยังไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้ แต่นักวิชาการได้สรุปและให้ความหมายของความเป็นผู้นำไว้มากมาย เช่น
ผู้นำหมายถึงคนที่มีความสามารถในการวางแผน การตัดสินใจ การใช้อำนาจหน้าที่ การสื่อความหมาย การเข้าใจผู้อื่น การแก้ปัญหา ยืดหยุ่นต่องาน (Brinckloe &Coughlin,1997 ในปรียาภรณ์ วงค์อนุบุตรโรจน์)
ไซมอนและคณะ (Simond et al :Swansburg) กล่าวว่าความเป็นผู้นำเป็นความสามารถของคนที่จะใช้อิทธิพลเหนือคนอื่นให้ยอมรับฟัง เห็นคล้อยตาม ยอมรับและปฏิบัติตามคำแนะนำรวมทั้งดำเนินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์
ลักษณะผู้นำที่ดีในอุดมคติของยุคโลกาภิวัตน์นี้ ความมีประสิทธิภาพของผู้นำมีความจำเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นยุคแห่งการแข่งขันและปรับตัวผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีความสามารถกว่าในอดีต โดยเฉพาะต้องมีวิสัยทัศน์ (Vision) ฉลาดมีไหวพริบ รอบรู้ ทันต่อเหตุการณ์ ปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ มีชิวิตชีวา มีความคิดริเริ่มสร้างสรร (Creativity) มีความซื่อสัตย์ (Honest) กล้าตัดสินใจ ถูกต้องฉับไว (Decision maker ,Courage-boldness) มีพลังกาย พลังใจ พลังความคิด (Energy) มีความสามารถในการจูงใจ (Ability to motivate other) รักษาสัจจะ (Keep promise) มีวินัย (Self discipline) มีคุณธรรมสูง (High Morality integrity) และต้องเป็นตัวอย่างที่ดี (Good example)ความมีประสิทธิภาพและความสำเร็จในการบริหารของผู้นำนอกจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้วบางครั้งอาจต้องมีคุณลักษณะพิเศษที่นอกเหนือจากคนธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นโค้ชในการทำงาน และผู้นำที่ดีจะต้องเป็นผู้ที่สามารถวางกลยุทธ์ให้องค์กรดำเนินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์
อย่างไรก็ตามผู้นำที่ดีต้องสามารถนำกลยุทธ์เพื่อให้องค์กรไปในทิศทางที่สอดคล้องกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้นำต้องเป็นพลวัต (Dynamic) เป็นกระบวนการที่มีปฏิสัมพันธ์กันในมิติต่าง ๆซึ่งอาจารย์สรุปบริบทของความเป็นผู้นำ จาก 4 มิติด้วยกันคือ - บริบทขององค์กร (Organization context) - ผู้นำ (Leader) - ผู้ตาม (Follow)- วัฒนธรรมและคุณค่าของสังคม (Culture and
Value of social)
ทดสอบ
ทดสอบ
แรงกดดันของลูกค้าที่มีพฤติกรรมบริโภคที่เปลี่ยนไป สินค้าและบริการมีอายุสั้นลง คู่แข่งมากขึ้น เทคโนโลยีเปลี่ยนและโลกาภิวัฒน์ ได้ทำลายของเขตแห่งดินแดนทำให้โลกเป็นหนึ่งเดียวที่มีการแผ่ขยายอิทธิพลในทุก ๆ เรื่อง ไปมาบนโลกด้วยไอทีและอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้นำและผู้บริหารต้องพัฒนาศักยภาพให้รู้เท่าทันและแข่งขันได้ โดยมีการสื่อสารที่มีคุณภาพ มีวิสัยทัศน์ มองกว้างมองไกล ชัดเจน และใกล้ความจริง เพิ่มอำนาจการแข่งขัน พัฒนาองค์การและบริหารการเปลี่ยนแปลง กระตุ้น ผลักดัน สร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน สร้างผู้ตามให้มีคุณภาพ พร้อมจะเป็นผู้นำในอนาคต รวมถึงการสร้างคุณค่าและค่านิยมที่ดีในองค์กร อันจะส่งผลการเป็นผู้นำในรูปแบบต่าง ๆ ได้
จากการศึกษาภาวะผู้นำในองค์กร พบว่ามีความหลากหลายซึ่งจะเน้นงานและคน ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป ถ้าเป็นผู้นำที่เน้นคนความสัมพันธ์สูง จะบริหารแบบประชาธิปไตยสนใจในความสัมพันธ์ มองคนในแง่ดีมีความรับผิดชอบ ให้ความสนับสนุนลูกน้องทุกทางและหาข้อตกลงร่วมกันในการทำงาน ในทางตรงข้าม ผู้นำที่เน้นงานสูงก็จะใช้อำนาจ หน้าที่ วางกฎเกณฑ์มาก ดูผลผลิตเป็นหลัก ความสัมพันธ์ในเชิงอำนาจ และโครงสร้างที่เป็นทางการ ในปฏิสัมพันธ์กันของงานและคนก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับจุดเน้น โดยผู้นำแบบทีมงานจะให้คุณภาพของงานและคนอยู่ในเกณฑ์สูง ซึ่งจะตรงกันข้ามกับผู้บริหารระดับล่าง จะเป็นผลต่อการเปลี่ยนแปลง การเป็นสุภาพไม่ก้าวร้าว การเน้นโครงสร้างแบบทางการ และการใช้อำนาจที่ไม่ชัดเจน ในการประเมินผลว่าผู้นำจะเป็นที่ยอมรับ ต้องมาจากการประเมิน 360 องศา โดยมีหัวหน้าเพื่อนร่วมงาน ตนเอง และลูกน้อง เพื่อหาข้อยุติว่าผลประเมินจะเป็นกลางและค่อนข้างเชื่อถือได้ ในองค์กรโดยทั่วไปจะต้องการผู้นำที่มีองค์ประกอบทั้งคุณสมบัติคือสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เน้นโครงสร้างและอำนาจที่เป็นทางการ มีความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลงได้สูง ในเมืองไทยท่านอดีตนายกก็ถือว่าเป็นผู้นำที่เน้นการเปลี่ยนแปลง และมีวิสัยทัศน์ องค์กรจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ก้าวหน้าและมีประสิทธิภาพได้ย่อมเกิดจากภาวะผู้นำของผู้บริหารที่จะนำพาไปโดยมีความร่วมมือกันของผู้ร่วมงานที่จะทุ่มเทสนับสนุนการทำงานร่วมกันให้บรรลุวัตถุประสงค์ของตนเองและส่วนรวม ซึ่งก็คงเป็นตามที่วิทยากรได้บรรยายไว้ว่า การสร้างผู้นำ ผู้ตาม ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติการล้วนแล้วแต่มีบริบทที่แตกต่างกันไป ซึ่งจุดเริ่มต้นคงเป็นที่ “การให้การศึกษา” “การวางระบบคิด” “การวางระบบการสะสมความรู้และประสบการณ์” ตลอดจน “การวางระบบคุณธรรมจริยธรรม” ในตัวคนให้มีคุณภาพและมาตราฐาน แล้วการพัฒนาทั้งหลาย คงจะนำไปสู่คุณภาพและความสำเร็จได้แน่นอน ดังเช่น ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย หรือยุโรป ซึ่งให้ความสำคัญต่อ “ระบบการศึกษา” ยิ่ง... กราบขอบคุณครับSurachet Suchaiya (Mobile: 089 205 3098, [email protected])
HomeWork# 7 Human Capital (4-Aug-07)
Leadership in a changing world
Peter Bjork
ความรู้ที่ได้จากการเรียนในวันนี้
Guest Speaker ในวันนี้คือ Mr.Peter Bjork จาก Center for Change Management (CCM) Sweden. Mr.Peter Bjork สอนในระดับปริญญาโทในสถาบันอุดมศึกษาหลายที่ในประเทศไทย เนื่องจาก Mr.Peter Bjork เป็น Guest Speaker ชาวต่างชาติที่มาบรรยายใน Class ทำให้ได้ความรู้สึกเปลี่ยนบรรยากาศ ไปกว่า Guest Speaker ท่านอื่นๆ ดีครับมีผู้ทรงคุณวุฒิและชำนาญการในแต่ละด้านมาบรรยาให้ฟังโดยตรง.
ผมได้รับทราบว่าผู้นำในโลกปัจจุบันที่หมุนเร็วขึ้นหรือที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจะต้องปรับตัวให้เข้ากับ
- Law and Reguration กฏหมายและระเบียบต่างๆ รอบตัวเรา, องค์กรของเรามีการเปลี่ยนแปลง เช่น กฏระเบียบต่างๆของภาครัฐ ที่บัญญัติออกมา ส่งผลกระทบต่อสินค้าและบริการขององค์กรของเรา ผู้นำจะต้องเรียนรู้วิธีที่นำองค์กรให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ หรือ มีปรับกลยุทธ์ขององค์กรทั้งเชิงรุก หรือ เชิงรับ กับกฏระเบียบต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงไป.
- Deregulation of Markets มีการเปิดการแข่งในตลาดใหม่ที่ยังไม่มีลูกค้า (non-consumer) แต่มีความต้องการจะใช้สินค้า/บริการนี้อยู่และพร้อมจะเป็นลูกค้าหากมีการเปิดตลาดในส่วนนี้ เช่น สายการบิน Lowcost airline หรือสายการบินต้นทุนต่ำบริการสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางรวดเร็วโดยเครื่องบินแต่ราคาไม่แพงกว่ารถยนต์ เป็นต้น ผู้นำจะต้องมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้และตระหนักดี.
- Globalization กระแสโลกาภิวัตน์ ปัจจุบันเป็นโลกยุค IT (Information Technology) ยุคข้อมูลข่าวสาร (Borderless World) โลกไร้พรมแดน มีการเคลื่อนย้ายของผู้คนต่างชาติต่างภาษาและสินค้า/บริการ เข้ามาแข่งขันกันอย่างเสรี เป็นยุคของ Knowledge worker ผู้นำจะต้องรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนไป.
- Shorter Product life cycle วงจรชิวิตของสินค้าสั้นลง เห็นได้ชัดเจนในสินค้าเทคโนโลยีและการสื่อสาร เช่น อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือเป็นต้น. เป็นผลมาจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ผู้นำจะต้องรับรู้และตระหนักดีถึงข้อมูลที่เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา.
Leadership issues have increased in importance (ผู้นำต้องให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในสิ่งต่างๆดังนี้)
- Communicating goals and visions สื่อสารให้ผู้ใต้บังคับบัญชา/เพื่อนร่วมงาน/ผู้บังคับบัญชาทราบถึงเป้าหมายและวิสัยทัศน์ขององค์กร.
- Increasing companies’ competitive advantage เพิ่มความสามารถในการแข่งขันที่ได้เปรียบให้แก่องค์กร.
- Implementing organizational change and development ดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์กรให้เกิดขึ้นอย่างรูปธรรม.
- Influencing and transforming employees’ need and attitudes สร้างแรงจูงใจในการทำงานและให้ผู้ร่วมงานมีแนวคิดไปในทางเดียวกันกับองค์กร.
- Creating high performing teams at different levels สร้างทีมงานที่พร้อมจะทำงานให้เกิดขึ้นทุกระดับในองค์กร.
- Creating corporate values and culture สร้างมูลค่าเพิ่มและวัฒนธรรมที่ดีในการทำงานให้แก่องค์กร.
จากผลการวิจัยของ FARX เกี่ยวกับผู้นำที่ดีควรมีลักษณะดังนี้.
1.ผู้นำต้องเป็นผู้กำหนดกลยุทธ์และบทบาทให้องค์กร ชี้ทางให้คนเดิน.
2.ผู้นำต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนให้แก่คนในองค์กร
3.ผู้นำต้องสร้างคนให้พร้อมทำงาน.
4.ผู้นำต้องเลือกใช้คนตรงงาน ตรงความสามารถที่เขาถนัด.
5.ผู้นำต้องส่งเสริมผู้ใต้บังคับบัญชาให้สามารถแสดงความรู้ความสามารถได้เต็มที่.
6.ผู้นำต้องเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่คนในองค์กร
7.ผู้นำต้องเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมงานและลูกค้า.
8.ผู้นำต้องรู้เท่าทันปัญหาภายหน้าที่จะเกิดขึ้นและไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคพร้อมแก้ไข.
Dear Prof. Chira,
Saturday 11, August 2007 was another interesting Human Capital class. We had K. Sirilak Meksang as our instructor. The topic was "Competency-Based Management".
She described the important of the "Competency" and needs of the skills for modern organizations.
The definition of Competency and characteristics of the leaders were discussed. Class also went along and shared different views on these. I had an opportunity to share the "ABC Theory" which are one of the sample of the important of positive attitude, good behavior and consequences of the individual employee to the organization.
K. Sirilak introduced the "Organization Health Check" which are similar theory to the "SWOT". The Organization Healthe Check is now become more popular. This excercise provides the result on strategy, system, strucutre and process or practice.
The basic competency must covered :
- Core Competency
- Functional Competency
- Leadership Competency
- Managerial Competency
Sample of the Leadership Competency are-:
- Systematic Thinking
- Intercultural Competences
- Extensive and Continuous Training
- Personal Standard and Standard of Behavior
Competencies can identified individual employee of their level and capabilities on their performance. The employees performance are the key factor to the sucess of the firm.
The 2 main factors of each organizations required "Organization Capability", therefore people or employee and business process are the basic factors. The Organization Capability are including the financial capability, marketing capability, technological capability and people management capability.
With the competitiveness in the global environment, the organization must focus more on the key factors of success. Competency are one of the basic factor which required and must educated to their organization.
K. Sirilak had sample of the illustration on the different level of employee which most of the organization has 4 different levels to identified group of employees.
The illustration of the Competency and Human Resouces Managment was also discussed and to understand more on the description and topic of competency, the instrutor had samples of the competency for the class.
I understand and foresee more on the important of competency identification and how the good leadership have direct impact to the firm's moral.
It was one of the fruitful class & we looking forward to have k. Sirilak back as our instructor again in near future.
Best regards,
Sarah (NaPombhejara)Allapach
SSRU/DM
12 August, 2007
Human Capital Management Homework#7. โดยนายปรีติ ปิติอลงกรณ์ เสนอ อ.Peter Bjork และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
สิ่งที่ได้รับจากการเรียนในครั้งนี้คือ ระบบการศึกษาที่ดี และการได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง สามารถทำให้คนมีคุณภาพ นำพาประเทศสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างประเทศ Sweden เป็นต้น ประชาชนในประเทศสามารถเรียนฟรีโดยมีรัฐบาลสนับสนุน ประเทศ Sweden เป็นประเทศเล็กๆ แต่มี Brand ระดับโลกเกิดขึ้นใน Sweden มากมาย เช่น Ericsson ABB Electrolux Scania เป็นต้น
อ.Peter ได้บรรยายเรื่องภาวะผู้นำในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงว่าโลกเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้แก่ กฎหมายและความสงบสุข, ความไม่แน่นอนของตลาด, โลกาภิวัตน์ และ วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง ในเมื่อสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงตลอดผู้ที่เป็นผู้นำต้องสามารถจัดการกับผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้ โดย อ.Peter ยกตัวอย่างผู้นำในแบบที่เน้นคน กับเน้นงานหากนำ 2 อย่างมาสัมพันธ์กันจะทำให้เกิด Managerial Grid 4 แบบ คือ Improverished, Country Club, Authority Obedience และ team Managment 9.9 ซึ่งมี Style แตกต่างกัน อ.Peter ได้ยกตัวอย่างการพัฒนาผู้นำของ FARAX โดยมีการนิยามความเป็นผู้นำแบบต่างๆ แล้วนำไปใช้ประเมินหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนกว่า 4,000 แห่ง เพื่อวัดผลมาให้ดู อ.Peter ได้บรรยายถึงลักษณะความเป็นผู้นำเพื่อการเปลี่ยนแปลงว่าต้องเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน, มีความอดทนอดกลั้น, บริการโดยวัตถุประสงค์, ลงมือปฏบัติเพื่อขับเคลื่อน, และเป็นนักคลี่คลายข้อโต้แย้ง อ.Peter พยายามใช้เวลาที่เหลือเพื่อทำ WorkShop สั้นๆ แต่หมดเวลาก่อนครับ
Test
Surachet Suchaiya (Mobile: 089 205 3098, [email protected])
HomeWork# 8 Human Capital (11-Aug-07)
Competency
อ.ศิริลักษณ์ เมฆสังข์
ความรู้ที่ได้จากการเรียนในวันนี้
นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ฟังการบรรยายของ อ.ศิริลักษณ์ วันนี้เป็นหัวข้อ Competency แปลเป็นภาษาไทยว่า “สมรรถนะ” Competency หรือ “สมรรถนะ” จะต้องจากองค์ประกอบดังนี้
ความรู้ (Knowledge)
พฤติกรรมและการนำไปปฎิบัติ (Behavior)
ทักษะ (Skill)
ความสามารถ (Capability)
เนื่องจากจะต้องมีความรู้ในด้านนั้นๆ เมื่อรู้แล้วก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้รู้ว่าจะนำไปปฎิบัติได้อย่างไร เมื่อมีการนำไปใช้บ่อยๆ เข้าผู้ใช้จะเกิดความชำนาญในสิ่งที่ปฎิบัตินั้นก็คือทักษะทำเราเป็นผู้มีความสามารถ
Core Competency หรือ แกนหลักของสมรรถนะ ปัจจุบันนี้องค์กรส่วนใหญ่เน้นที่ความซื่อสัตย์สุจริต หรือ Integrity เป็น Core Competency ขององค์กร ซึ่ง Integrity ตัวนี้เองจะช่วยให้องค์กรอยู่รอด มีความสามารถแข่งขันในตลาดและประสบความสำเร็จได้.
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ มีส่วนประกอบดังนี้
Compliance committee
Code of Conduct
Ethics
ความรู้ที่ได้จาก Share Knowledge กันในการเรียนวันนี้
ABC Theory
A = Attitude (ทัศนคติฉ)
B = Behavior (พฤติกรรม)
C = Consequence
เมื่อมองดูองค์กรส่วนใหญ่สังคมไทยที่มีวัฒนธรรม การบริหารงานโดยถือความอาวุโสเป็นหลัก หรือ Seniority ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การปรับเลื่อนตำแหน่งในระบบราชการที่ยึดถือเรื่องความอาวุโสเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องความรู้ความสามารถ ที่สร้างประโยชน์ให้กับองค์กร ทำให้เกิดปัญหาสมองไหล เป็นต้น. เรื่องนี้มิได้เกิดในระบบราชการของไทยเท่านั้นแต่ในบริษัทเอกชนส่วนใหญ่ของไทยก็เป็นเช่นนั้น เรียกได้ว่าเป็น Seniority System Culture การบริหารงานของคนไทยส่วนใหญ่ หากจะแก้ไขเรื่องนี้คงเริ่มที่การปรับ “กระบวนทัศน์” (Paradigm)
จากตัวอย่าง Chief Responsibility Produce Leader เป็น Succession Planning นั้นคือ หน้าที่ของผู้บริการระดับสูงคือ การสร้างผู้นำ มีผู้เปรียบเรื่องนี้ไว้ ดังตะปู(ผู้ใต้บังคับบัญชา) กับกระดาน(ระบบงาน) หากตะปูตัวใดสามารถโผล่ไม้กระดาษขึ้นมาได้ หน้าที่ของผู้บริหารไม่ใช่การถือค้อนไปตอกตะปูแต่ละตัวให้อยู่ในระนาบไม้กระดาษเดียวกัน แต่ผู้บริหารจะต้องปล่อยให้ตะปูโผล่พ้นไม้กระดาษขึ้นมา และพิจารณาว่าความสูงของตะปูแต่ละตัวที่สามารถโผล่พ้นไม้กระดาษขึ้นมาได้ สูงแสดงถึง Potential ยิ่งสูงมากแสดงว่ายิ่งมี Potential มาก เมื่อรู้เช่นนี้แล้วคุณก็สามารถ Produce Leader ได้.
Cross Functional การทำ Cross Functional องค์กรจะต้องมีตัวชี้วัด หรือ KPI (Key Performance Indicator) เป็นระบบประเมินการทำงาน ซึ่งการจัดการระบบการประเมินการทำงานที่ดี มีองค์ประกอบดังนี้
- วัดผลในสิ่งที่มอบหมายให้เขาทำ
- การวัดผลนี้คุณจะต้องบอกเขาล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี แจ้งว่าจะวัดในสิ่งใดที่มอบหมายให้
- การวัดผลต้องทำเป็นระยะโดยอาจจะมีการจดบันทึกผลการประเมิน หรือไม่ก็ตาม แต่จะต้องมีการแจ้งให้เขาทราบ เพื่อให้เกิดการปรับปรุง
- ต้องใช้ Performance ไปในการพัฒนาคน เน้นพัฒนาที่จุดแข้ง (Strength)
การวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อนในองค์กร หรือ Organization SWOT Analysis สำหรับในปัจจุบันเรานิยมทำ Organization Health Check แทนการ SWOT องค์กร
Organization Health Check มีส่วนประกอบดังนี้
- Strategy (กลยุทธ์ขององค์กร)
- Structure (โครงสร้างในองค์กร)
- System (ระบบในองค์กร)
- Process / Practices (กระบวนการทำงานและการฝึกหัดในองค์กร)
ในส่วนของ ”กระบวนการทำงานและการฝึกหัดในองค์กร” เมื่อมีการทำ Health check ไปแล้วมักจะสะท้อนกลับมาในรูป Communication และ Leadership ที่จะต้องปรับปรุงเป็นต้น.
;
จากภาพ Potential Matrix เป็นเครื่องมือใน Talent Management ใช้ในการจัดการ Talent ของพนักงานในองค์กรคล้ายกับตาราง Type of Performance ที่ อ.พจนาถ ซีบังเกิด บรรยายไว้
ที่จะมี 4 กลุ่ม
Rising Start (High Performance / High Potential)
Work Horse (High Performance / Low Potential)
Deadwood (Low Performance / Low Potential)
Problem Child (Low Performance / High Potential)
เรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมภ์
จากการศึกษาเรื่อง Competency-Based Management กับท่านอาจารย์ ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ เมื่อวันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม 2550 สรุปได้ดังนี้
Competency หมายถึง สมรรถนะ ได้แก่ ทักษะ (Skill) , ความรู้ (Knowledge) และพฤติกรรม (Behavior) ของบุคลากรที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน
ความสำคัญของ Competency ต่อองค์กร
สิ่งที่องค์กรสมัยใหม่ต้องการ
คุณลักษณะของผู้บริหารยุคใหม่
ในยุค New Economy การเป็นผู้ชนะในเชิงธุรกิจ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ นั่นคือ คน + วิธีการดำเนินธุรกิจ = ความสามารถขององค์กร
ปัจจัยหลักของการแข่งขัน
ความสามารถขององค์กร ประกอบด้วยความสามารถ 4 ด้าน
กุญแจแห่งความสำเร็จในการปรับเปลี่ยน
คน + พฤติกรรม = ความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจ
People + Behavior = Business Transformation
ลำดับขั้นของ Competency
สาเหตุที่ต้องมี Competency
การวิเคราะห์และจัดทำ Competency สำหรับองค์กร
ศึกษา Strategic Intents , Vision , และ Organization Core Capabilities เพื่อให้ทราบ ทิศทางการดำเนินธุรกิจ และจุดเด่นขององค์กร
การวิเคราะห์และจัดทำ Competency สำหรับองค์กร
ผู้บริหารควรวิเคราะห์ในเรื่องต่างๆ ดังนี้
คุณลักษณะของ Competencies ที่ดี
รูปแบบของการกำหนด Competency
ความสำเร็จในการจัดทำ Competencies จะเกิดขึ้นได้เมื่อ
- ขอบคุณครับ -
นายสิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
วันที่ 11 สิงหาคม 2550
อาจารย์เริ่มบรรยาย Overview ตั้งแต่ความหมายของ Competency และสิ่งที่องค์กรสมัยใหม่ต้องการ เช่นความรู้ใหม่ ๆ ทักษะและความสามารถที่ใช้งานได้ ทัศนคติที่ดีในการทำงานอย่างมีระบบ ผู้นำมีความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลงให้แข่งขันได้ในยุคโลกาภิวัตน์ ระหว่างการบรรยายมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันตลอดเวลาสร้าง
บรรยากาศที่ดีในการเรียน
Competency: an underlining characteristics of an individual that is causally related to criterion-referenced effective and/ or superior performance in a job or situation. (David C. McClelland, 1993)
Competency: The state or quality of being properly or well qualified (The American Heritage dictionary)
Competency เป็นองค์ประกอบ (Cluster) ของทักษะ ความรู้ความสามารถและพติกรรม (Knowledge, Skill, Attributes and Behavior) เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้ของปัจเจกบุคคลที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ของงานอย่างมาก เป้าหมายของการจัดทำ Competency เพื่อ Good Quality or Excellent
Competency ที่นิยมใช้มี 3 ระดับ
1. ระดับองค์กร ซึ่งเป็นความสามารถหลัก (Core Competency) ที่ทุกคนในองค์กรต้องมี
2. ระดับการปฏิบัติ (Functional Competency) หรือบางครั้งอาจใช้คำว่า Professional Competency)3, ระดับตำแหน่งงาน อาจใข้คำว่า Leadership Competency หรือ Technical Competencyการเขียน Competency จะประกอบด้วย 4 ส่วน 1. ชื่อหลักของ Competency2. คำจำกัดความหรือคำอธิบาย3. พฤติกรรมหลัก หรือตัวบ่งชี้พฤติกรรม4. ระดับความสามารถ
อย่างไรก็ตามการจัดทำ Competency ขององค์กรต่าง ๆ
มีการเขียนไว้ตามขั้นตอนที่ถูกต้องชัดเจนตามวิสัยทัศน์
พันธกิจ มีการวัดและประเมินผลจากตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม แต่ในสิ่งที่ปรากฎในองค์กรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาครัฐ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ายังมีคำถามมากมาย เช่นทำไมพฤติกรรมการบริการที่แสดงออกกับการประเมินผล
ความพึงพอใจไม่สอดคล้องกัน หรือในเมื่อมีการประเมินสมรรถนะแล้วทำไมยังส่งอบรม 100% แทนที่จะส่งอบรมเฉพาะที่ไม่ได้ตามเกณฑ์ หรือต่ำกว่าเกณฑ์ กรณีที่ประเมินสมรรถนะความเป็นผู้นำได้เพียงเกณฑ์หรือต่ำกว่าเกณฑ์
ที่กำหนดแต่ไม่ทำอะไรที่บ่งบอกถึงการมีแผนการเพื่อเพิ่มสมรรถนะนั้น ๆ ถ้าจะตอบคำถามนี้อาจจะต้องกลับไปทบทวน การทำ SWOT Analysis หรือ Health Check
อาจจะไม่ตรงประเด็นก็ได้
อรพินท์ มณีรัตน์
การบ้านครั้งที่ 7
เรียนวันที่ 11 สิงหาคม 2550
กับ อาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์
นายพนม ปีย์เจริญ
Competency
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Core Competency
2. Managerial Competency
3. Functional Competency
4. Individual Competency
ซึ่ง Competency นั้นต้องประกอบด้วย- Skill (ทักษะ)
- Knowledge (ความรู้)
- Behavior (พฤติกรรม)
ในที่นี้ คุณซาร่าได้นำเสนอทฤษฎี ABC Theory ซึ่งผู้บริหารจากต่างประเทศนำมาให้
Baker Mcancy ในประเทศไทยคือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน คือ
A = Attitude
B = Behavior
C = Consequences
ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิดกันค่อนข้างหลากหลาย แต่ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีใดก็ตาม ก็ต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของไทยของเรา
Boyatzis ได้กล่าวถึงความหมายของ Competency ว่าเป็น
“คุณสมบัติที่มีความเป็นเหตุเป็นผล นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า”
อย่างไรก็ตามในโลกปัจจุบัน เราให้ความสำคัญเรื่อง Competency มากขึ้น เพราเราเชื่อว่า
“ ในอนาคต Competency จะเป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กร มากกว่าตัวสินค้าและบริการ และเชื่อว่า Competency Based ดีกว่า Technical Knowledge Based ” เพราะเรายังเชื่ออีกว่า Core Competency เป็นเอกลักษณ์ ที่แสดงถึง Know – How ขององค์กร อันเป็นที่มาของสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในรูปสินค้าและบริการ และยังยากต่อการเลียนแบบอีกด้วยคำถามต่อมาก็คือ แล้วอะไรเล่าที่เป็น
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด Competency
1.Share Mind Set การมีทัศนคติร่วมกัน แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
ภายใน ที่เราต้องเข้าใจ
- เป้าหมาย
- Vision
- Mission และ
- Strategy ขององค์กร
ภายนอก เป็นส่วนที่เราต้องเข้าใจ
- Costumer
- Supplier
- etc.2. Management and Human Resources Practices
เป็นเรื่องของกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในทุกกระบวนการตั้งแต่
- กระบวนการ Recruit - Select
- การบวนการ Human Resource Development
- กระบวนการ Evaluation และ Compensation ไปจนถึง
- กระบวนการ Career Planning , Career Management
ตลอดจนกระบวนการของ Communication
3.Capacity for Change
ความสามารถในการปรับปลี่ยนพฤติกรรมและคนในองค์กร เช่น ต้องให้มี Empowerment ในองค์กร
4.Leadership
การพัฒนาภาวะผู้นำ ต้องให้เกิดมีในทุกระดับองค์ประกอบเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด Competency ซึ่งการเกิด Competency ในทุกด้านจะทำให้องค์กร เป็นองค์กรที่เป็น High Performance Organization อันเป็นสิ่งที่ผู้บริหารในทุกองค์กรต้องการ
เหตุที่ต้องการองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงก็เนื่องมาจาก
- ความล้มเหลวในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมพนักงานด้วยการ Training และ Education
- สภาพการแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและกลุ่มผลประโยชน์ ทำให้ต้องช่วงชิง Market Share และเพื่อให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)
เหนือสิ่งอื่นใดผู้บริหารมีความต้องการ Unique Assets อันเป็นสิทรัพย์ขององค์กรที่มีความแตกต่างไปจาก Generic Assets อันเป็นสินค้าและบริการทั่วไปที่ลอกเลียนแบบได้ไม่ยาก
แต่ Competency ของคนในองค์กรที่นับว่าเป็นสินทรัพย์ที่เป็น Unique Assets นั้น ยากที่จะลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมมายาวนาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว อันเป็นส่วนสำคัญทำให้เกิด Core Competency ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึง know – How ขององค์กรเป็นที่มาของสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในรูปของสินค้า และบริการอันถือว่าเป็น Competency Advantage ที่ยากต่อการเลียนแบบ
โดยมีองค์กรประกอบ 3 ด้านใหญ่ๆคือ
1. ทรัพยากรมนุษย์ ที่มีคุณภาพ โดยต้องอาศัยกระบวนการทุกกระบวนการดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ตั้งแต่
- กระบวนการสรรหา,คัดเลือก
- กระบวนการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์
- กระบวนการวัดผล ประเมินผลและให้ผลตอบแทน
- กระบวนการ Career Planning และ Career Management
- ตลอดจนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
2. องค์กร ที่ต้องพัฒนาให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ ( New Public Management )โดยต้องมีโครงสร้าง ( Structure ) ขององค์กรที่
- มีความเป็นทางการต่ำ ( Formalization )
- มีความซับซ้อนต่ำ ( Complexity )
- มีการกระจายอำนาจที่เหมาะสม ( Centralization )
โดยเฉพาะถ้าเป็นองค์กรภาครัฐก็ต้องยึดหลักปฏิบัติที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางกล่าวคือ
1. ต้องสนองตอบประชาชนมากกว่าองค์กร ( Social Equity )
2. ไม่เลือกปฏิบัติ ( Equality )
3. มุ่งสู่การบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล ( Value – Based )
4. แสวงหารูปแบบโครงสร้างที่ Flexible ( Change )
ซึ่งอาจารย์ ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ ได้พูดถึงสิ่งที่องค์กรสมัยใหม่ต้องการในขณะนี้คือ
1. ความรู้ใหม่ๆ ( New knowledge )
2. ทักษะและความสามารถที่ใช้งานได้ ( Effective / Competency )
3. ทัศนคติที่ดี ( Positive Attitude )
4. การทำงานที่มีระบบที่ดี ( Systematic Approach )
5. ความสามารถในการแข่งขัน ( Competitive Advantage )
6. ความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ( Change Management )
7. ภาวะความเป็นผู้นำ
3. วัฒนธรรมองค์กร เช่น การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง โดยมีผู้นำเป็นผู้สนับสนุนมากกว่าเป็นผู้กำหนดแนวทางทั้งหมด
การจัดทำ Competency สำหรับองค์กร
- กำหนดวิสัยทัศน์ ( Vision ) ภารกิจ ( Mission )
- กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ( Business Strategy & Process )
- วิเคราะห์ประเมินจุดเด่น , จุดด้อย , โอกาสและอุปสรรคขององค์กร ( Swot Analysis )
- วิเคราะห์และประเมินจุดเด่น จุดด้อย ของพนักงานในองค์กรในแต่ละระดับ ตามทิศทางกลยุทธ์การ ดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
- วิเคราะห์และจัดทำความสามารถหลักของบริษัทฯ ( Core Competencies ) และทักษะ ความสามารถที่จำเป็นที่จำเป็นต้องปฏิบัติงาน ( Professional or Technical Competencies )
- กำหนดแนวทางการประเมินทักษะความรู้และความสามารถหลัก
- นำผลการประเมินไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาบุคลากร การสรรหาจ้างงาน การประเมินผลงาน ตลอดจนการบริหารค่าตอบแทน ดังที่กล่าวไว้โดยต้องมองให้ออกว่า เราต้องการคนเช่นไร ถึงจะทำให้องค์กรของเราประสบความสำเร็จ และมีความได้เปรียบในการแข่งขัน( CompetitiveAdvantage )
ซึ่งความสำเร็จในการจัดทำ Competencies จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
1. ต้องเชื่อมโยง Competencies กับเป้าหมายขององค์กรและเป้าหมายของธุรกิจตลอดเวลา
2. โดยเริ่มจากร่าง Competencies ที่ใช้กันโดยทั่วไปก่อน
3. พร้อมทั้งคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นทีมในการจัดทำ Competency
4. ต้องเน้นเรื่องการนำไปใช้ได้ ไม่ใช่แค่สร้าง Model ขึ้นมา
5. ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกฝ่าย
6. ต้องมีการแจ้งให้พนักงานทราบอยู่บ่อยๆ
7. มีการจัดทำการประเมิน Competency ที่ง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป
8. จัดให้มีการฝึกอบรมและการสื่อสารสำหรับผู้จัดการและพนักงาน
9. มีการทดลองใช้ Competencies กับบางแผนกก่อน
10. ผู้บริหารระดับสูงต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่จะทำองค์กรเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ( High Performance Organization ) อันจะทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ( Competitive Advantage )
คนทุกคนในองค์กรจะต้องมีศักยภาพที่เพียงพออันเนื่องมาจากทุกกระบวนการที่ช่วยพัฒนา ให้มีความพร้อม จนทุกคนในองค์กรเป็นสินทรัพย์ประเภท Unique Asset ที่องค์กรอื่น ก็ยากที่จะลอกเลียนแบบได้.
นายพนม ปีย์เจริญ
Mr.Panom Peecharoen
16.8.2007
การบ้านครั้งที่ 7
เรียนวันที่ 11 สิงหาคม 2550
กับ อาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์
นายพนม ปีย์เจริญ
ทดสอบ front Cordia New 14
Mr. Pamom Peecharoen
การบ้านครั้งที่ 7
เรียนวันที่ 11 สิงหาคม 2550
กับ อาจารย์ศิริลักษณ์ เมฆสังข์
นายพนม ปีย์เจริญ
Competency
แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ
1. Core Competency
2. Managerial Competency
3. Functional Competency
4. Individual Competency
ซึ่ง Competency นั้นต้องประกอบด้วย- Skill (ทักษะ)
- Knowledge (ความรู้)
- Behavior (พฤติกรรม)
ในที่นี้ คุณซาร่าได้นำเสนอทฤษฎี ABC Theory ซึ่งผู้บริหารจากต่างประเทศนำมาให้
Baker Mcancy ในประเทศไทยคือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน คือ
A = Attitude
B = Behavior
C = Consequences
ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนแนวความคิดกันค่อนข้างหลากหลาย แต่ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีใดก็ตาม ก็ต้องนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของไทยของเรา
Boyatzis ได้กล่าวถึงความหมายของ Competency ว่าเป็น
“คุณสมบัติที่มีความเป็นเหตุเป็นผล นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหนือกว่า”
อย่างไรก็ตามในโลกปัจจุบัน เราให้ความสำคัญเรื่อง Competency มากขึ้น เพราเราเชื่อว่า
“ ในอนาคต Competency จะเป็นตัวกำหนดอนาคตขององค์กร มากกว่าตัวสินค้าและบริการ และเชื่อว่า Competency Based ดีกว่า Technical Knowledge Based ” เพราะเรายังเชื่ออีกว่า Core Competency เป็นเอกลักษณ์ ที่แสดงถึง Know – How ขององค์กร อันเป็นที่มาของสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในรูปสินค้าและบริการ และยังยากต่อการเลียนแบบอีกด้วยคำถามต่อมาก็คือ แล้วอะไรเล่าที่เป็น
องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิด Competency
1.Share Mind Set การมีทัศนคติร่วมกัน แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ
ภายใน ที่เราต้องเข้าใจ
- เป้าหมาย
- Vision
- Mission และ
- Strategy ขององค์กร
ภายนอก เป็นส่วนที่เราต้องเข้าใจ
- Costumer
- Supplier
- etc.
2. Management and Human Resources Practices
เป็นเรื่องของกระบวนการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในทุกกระบวนการตั้งแต่
- กระบวนการ Recruit - Select
- การบวนการ Human Resource Development
- กระบวนการ Evaluation และ Compensation ไปจนถึง
- กระบวนการ Career Planning , Career Management
ตลอดจนกระบวนการของ Communication
3.Capacity for Change
ความสามารถในการปรับปลี่ยน พฤติกรรมและคนในองค์กร เช่น ต้องให้มี Empowerment ในองค์กร
4.Leadership
การพัฒนาภาวะผู้นำ ต้องให้เกิดมีในทุกระดับองค์ประกอบเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิด Competency ซึ่งการเกิด Competency ในทุกด้านจะทำให้องค์กร เป็นองค์กรที่เป็น High Performance Organization อันเป็นสิ่งที่ผู้บริหารในทุกองค์กรต้องการ
เหตุที่ต้องการองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูงก็เนื่องมาจาก
- ความล้มเหลวในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมพนักงานด้วยการ Training และ Education
- สภาพการแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและกลุ่มผลประโยชน์ ทำให้ต้องช่วงชิง Market Share และเพื่อให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)
เหนือสิ่งอื่นใดผู้บริหารมีความต้องการ Unique Assets อันเป็นสิทรัพย์ขององค์กรที่มีความแตกต่างไปจาก Generic Assets อันเป็นสินค้าและบริการทั่วไปที่ลอกเลียนแบบได้ไม่ยาก
แต่ Competency ของคนในองค์กรที่นับว่าเป็นสินทรัพย์ที่เป็น Unique Assets นั้น ยากที่จะลอกเลียนแบบได้ง่ายๆ เพราะเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมมายาวนาน จนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปแล้ว
อันเป็นส่วนสำคัญทำให้เกิด Core Competency ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่แสดงถึง know – How ขององค์กรเป็นที่มาของสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ในรูปของสินค้า และบริการอันถือว่าเป็น Competency Advantage ที่ยากต่อการเลียนแบบ
โดยมีองค์กรประกอบ 3 ด้านใหญ่ๆคือ
1. ทรัพยากรมนุษย์ ที่มีคุณภาพโดยต้องอาศัยกระบวนการทุกกระบวนการดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ตั้งแต่
- กระบวนการสรรหา,คัดเลือก
- กระบวนการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์
- กระบวนการวัดผล ประเมินผลและให้ผลตอบแทน
- กระบวนการ Career Planning และ Career Management
- ตลอดจนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
2. องค์กร ที่ต้องพัฒนาให้เป็นองค์กรสมัยใหม่ ( New Public Management )
โดยต้องมีโครงสร้าง ( Structure ) ขององค์กรที่
- มีความเป็นทางการต่ำ ( Formalization )
- มีความซับซ้อนต่ำ ( Complexity )
- มีการกระจายอำนาจที่เหมาะสม ( Centralization )
โดยเฉพาะถ้าเป็นองค์กรภาครัฐก็ต้องยึดหลักปฏิบัติที่ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางกล่าวคือ
1. ต้องสนองตอบประชาชนมากกว่kองค์กร ( Social Equity )
2. ไม่เลือกปฏิบัติ ( Equality )
3. มุ่งสู่การบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาล ( Value – Based )
4. แสวงหารูปแบบโครงสร้างที่ Flexible ( Change )
ซึ่งอาจารย์ ศิริลักษณ์ เมฆสังข์ ได้พูดถึงสิ่งที่องค์กรสมัยใหม่ต้องการในขณะนี้คือ
1. ความรู้ใหม่ๆ ( New knowledge )
2. ทักษะและความสามารถที่ใช้งานได้ ( Effective / Competency )
3. ทัศนคติที่ดี ( Positive Attitude )
4. การทำงานที่มีระบบที่ดี ( Systematic Approach )
5. ความสามารถในการแข่งขัน( Competitive Advantage )
6. ความสามารถในการบริหารการเปลี่ยนแปลง ( Change Management )
7. ภาวะความเป็นผู้นำ
3. วัฒนธรรมองค์กร
เช่น การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ตลอดเวลาและต่อเนื่อง โดยมีผู้นำเป็นผู้สนับสนุนมากกว่าเป็นผู้กำหนดแนวทางทั้งหมด
การจัดทำ Competency สำหรับองค์กร
- กำหนดวิสัยทัศน์ ( Vision ) ภารกิจ ( Mission )
- กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ( Business Strategy & Process )
- วิเคราะห์ประเมินจุดเด่น , จุดด้อย , โอกาสและอุปสรรคขององค์กร ( Swot Analysis )
- วิเคราะห์และประเมินจุดเด่น จุดด้อย ของพนักงานในองค์กรในแต่ละระดับ ตามทิศทางกลยุทธ์การ ดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
- วิเคราะห์และจัดทำความสามารถหลักของบริษัทฯ ( Core Competencies ) และทักษะ ความสามารถที่จำเป็นที่จำเป็นต้องปฏิบัติงาน ( Professional or Technical Competencies )
- กำหนดแนวทางการประเมินทักษะความรู้และความสามารถหลัก
- นำผลการประเมินไปเชื่อมโยงกับการพัฒนาบุคลากร การสรรหาจ้างงาน การประเมินผลงาน ตลอดจนการบริหารค่าตอบแทน ดังที่กล่าวไว้ โดยต้องมองให้ออกว่า เราต้องการคนเช่นไรถึงจะทำให้องค์กรของเราประสบความสำเร็จและมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ( Competitive Advantage )ซึ่งความสำเร็จในการจัดทำ Competencies จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
1. ต้องเชื่อมโยง Competencies กับเป้าหมายขององค์กรและเป้าหมายของธุรกิจตลอดเวลา
2. โดยเริ่มจากร่าง Competencies ที่ใช้กันโดยทั่วไปก่อน
3. พร้อมทั้งคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นทีมในการจัดทำ Competency
4. ต้องเน้นเรื่องการนำไปใช้ได้ ไม่ใช่แค่สร้าง Model ขึ้นมา
5. ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารทุกฝ่าย
6. ต้องมีการแจ้งให้พนักงานทราบอยู่บ่อยๆ
7. มีการจัดทำการประเมิน Competency ที่ง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป
8. จัดให้มีการฝึกอบรมและการสื่อสารสำหรับผู้จัดการและพนักงาน
9. มีการทดลองใช้ Competencies กับบางแผนกก่อน
10. ผู้บริหารระดับสูงต้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่จะทำองค์กรเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง ( High Performance Organization ) อันจะทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ( Competitive Advantage )
คนทุกคนในองค์กรจะต้องมีศักยภาพที่เพียงพออันเนื่องมาจากทุกกระบวนการที่ช่วยพัฒนา ให้มีความพร้อม จนทุกคนในองค์กรเป็นสินทรัพย์ประเภท Unique Asset ที่องค์กรอื่น ก็ยากที่จะลอกเลียนแบบได้.
นายพนม ปีย์เจริญ
Mr.Panom Peecharoen
16.8.2007
|
|
การเรียนกับอาจารย์ศิริลักษณ์ เมื่อวันเสาร์ที่11 สค2550 ผมนายสรณิต พุ่มพฤกษ์ขอแลกเปลี่ยนความคิดดังนี้จากการที่อาจารย์บรรยายในวันนี้ทำให้ได้นึกถึงภาพองค์กรชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า การพัฒนาองค์กรให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องเริ่มที่คนและคนเท่านั้นที่สำคัญที่สุด การที่จะพัฒนาคนให้เป็นผู้นำที่มีศักยภาพ เป็นผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และแก้ไขเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบทั้งตนเองและองค์กรเป็นเรื่องที่บุคลต้องผ่านการหล่อหลอมด้วยประสบการณ์บวกทัศนคติในการคิดดี พูดดี ทำดี สอดคล้องกับทฤษฏี ของBAKER ทฤษฎี ABC
1 attitude ทัศนคติที่ดี
2 behavior พฤติกรรมที่ดี
3. consequnce ผลที่ก็ตามมาจะดี
จะสังเกตุเห็นได้ว่าทัศนคติมาจากสภาพแวดล้อมบวกประสบการณ์บุคคลแม้จะอยูในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันประสบการณ์ที่แตกต่างกันหากมีพืนฐานของการปรับทัศนคติเพื่อให้เกิดความ balance สร้างทัศนคติที่ดีเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จ จะเป็นผู้นำที่สามารถและเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ทักษะและยุทธวิธีนำพาองค์กรสู่ความสำเร็จได้และไม่เพียงผู้นำคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดได้หากแต่ต้องประกอบด้วยแนวคิดที่ว่า ความสำเร็จไม่ใช่เกิดที่จุดเดียวแต่ต้องร่วมกันทำแล้วกระจายความสำเร็จออกไป
นายสรณิต พุ่มพฤกษ์
อย่างไรก็ตาม ก่อนการดำเนินการในเรื่องใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อองค์กร ก็จะต้องไม่ลืมที่จะต้องทำ SWOT ด้วย ซึ่งการบริหารสมัยใหม่เรียก SWOT ว่า Organizational Health Check โดยการดูที่ Strategy, Structure, System และ Process/Practices ว่าเป็นอย่างไร โดยพิจารณาเรื่อง Communication และ Leadership ประกอบด้วย
รักษ์เกชา แฉ่ฉาย
ถึงลูกศิษย์ที่รักทุกท่าน
เนื่องจากเกิดความขัดข้องบางประการใน Blog นี้ อาจเพราะข้อมูลเริ่มมากเกินไปดังนั้น ผมได้เปิด Blog ปริญญาเอก ม.ราชภัฏสวนสุนันทา (2) สำหรับทุกท่านครับ www.gotoknow.org/blog/chiraacademy
การวิจัยใช่เงิน |
สร้างความรู้ |
นำไปใช้เปลี่ยนความรู้เป็นเงิน
|
นวัตกรรม |
จากการศึกษา เรื่อง การบริหารผลการปฏิบัติงาน(Performance Management = PM) กับ อ.พจนารถ ซีบังเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กันยายน 2550 สรุปได้ดังนี้
ในการสอนวันนี้ อาจารย์ได้มีการนำเข้าสู่บทเรียนด้วยสื่อที่น่าสนใจนั่นคือให้ชมบางตอนของภาพยนตร์ ซึ่งสื่อถึง การปฏิบัติงานของพนักงานในองค์กรที่มีทั้งองค์กรที่ใช้หลักของการบริหารทุนมนุษย์ที่ถูกต้อง และองค์กรที่ไม่ได้นำหลักของการบริหารทุนมนุษย์มาประยุกต์ใช้ ทำให้ไม่สามารถซื้อใจของพนักงานได้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรมจากสื่อดังกล่าวได้อย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันไม่ว่าในประเทศใดก็ตาม
องค์กรยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าใดก็ตาม ยิ่งจำเป็นต้องมี Performance Management มิฉะนั้นวันไหนที่หัวหน้าไม่อยู่ ลูกน้องก็จะทำงานไม่ได้ เพราะหัวหน้าไม่ได้มีการสั่งงานไว้ก่อนล่วงหน้า
ความสำเร็จขององค์กร จะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มต้นจากทิศทางของบริษัท (Vision , Mission) ทุกองค์กร ถ้าจ้างคนมาแล้วคนๆนั้นรู้บทบาทหน้าที่ของตนเอง ก็จะทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมายไว้ได้
การบริหารผลการปฏิบัติงาน หมายถึง กระบวนการในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ HR. ที่จะให้องค์กรมีผลการปฏิบัติงานได้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยผ่านกระบวนการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ และมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร
นั่นคือเมื่อองค์กรนำ Performance Management System ไปใช้จะก่อให้เกิดการบูรณาการผลการปฏิบัติงานในทุกส่วนงาน ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และนี่แหละคือเป้าหมายสูงสุดขององค์กร
กระบวนการของ Performance Management (PM Process) ประกอบด้วย
ทั้งนี้การบริหารผลการปฏิบัติงานต้องมีการตั้งเป้าหมาย ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่ดี(Smart Goal) จะประกอบด้วย
Specific เฉพาะเจาะจง
Measurable สามารถวัดได้ > เป็นตัวเลข
Attainable สามารถทำให้สำเร็จได้
Relevant สอดคล้องกับความเป็นจริง
Time bound กำหนดระยะเวลา
และนอกเหนือจากการตั้งเป้าหมายที่ดีแล้วการ PM จะต้องมีการวัดคุณภาพ (Dashboard Metrics) ซึ่งต้องวัด/ประเมินในสิ่งต่างๆดังนี้
• Quantity
• Quality
• Cost
• Speed
• Compliance
ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวข้างต้นถือเป็น Best Practices in Performance Measurement (วิธีการวัดผลการปฏิบัติงานที่ดีที่สุด)
Architecture – Mixed ModelsVALUES | R & R | COMPETENCIES | PERFORMANCE |
คนดี | คนเก่ง | มีผลดี | |
SALARY | BONUS | ||
Culture & Brand |
Present Job Roles |
• Core • Leadership • Technical |
-Market Benchmark -Value toOrganization -Strategy Alignment |
SALARY |
Model ดังกล่าวใช้ประกอบการพิจารณาการปฏิบัติงานของพนักงาน และการพิจารณาคำตอบแทนต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาลในการบริหารองค์กร
- ขอบคุณครับ-
สิทธิชัย ธรรมเสน่ห์
ดิฉัน นางสาวกฤษณา ปลั่งเจริญศรี ได้รับความเข้าใจจากการฟังและการอ่านเอกสาร ของอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิดดังนี้
การบริหารผลการปฎิบัติงาน (Performance Management) หมายถึง การพัฒนาพนักงานให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ ในการปฎิบัติงานจนมีผลการปฎิบัติงานในอนาคตบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
· กระบวนการบริหารผลการปฎิบัติงานของพนักงาน1. เพื่อปรับปรุง และพัฒนาผลการปฎิบัติงานขององค์กร ทีม และพนักงาน
2. เพื่อให้เป้าหมายในการปฎิบัติงานขององค์กร ทีม และ พนักงานเป็นไปในแนวเดียวกัน
3. เพื่อพัฒนาความสามารถ และทักษะในการปฎิบัติงานของพนักงาน
4. เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้บังคับบัญชา และพนักงานบนพื้นฐานของการเห็นพ้องต้องกันในการกำหนดเป้าหมาย การพัฒนาพนักงาน การให้คำปรึกษา และการให้ข้อมูลย้อนกลับ
5. เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถจัดการผลการปฎิบัติงานและการเรียนรู้ด้วยตนเอง
· กระบวนการบริหารผลการปฎิบัติงานขั้นตอนที่ 1 การวางแผนการปฎิบัติงาน
ขั้นตอนที่ 2 การปฎิบัติงาน
ขั้นตอนที่ 3 การประเมิณผลและการปฎิบัติงาน
ขั้นตอนที่ 4 การทบทวนผลการปฎิบัติงาน
· สรุป การบริหารผลการปฎิบัติงานจะมีส่วนไปช่วยเหลือและปรับปรุงให้พนักงานแต่ละคนปฎิบัติงานบรรลุ เป้าหมาย ซึ่งในการกำหนดเป้าหมาย และดัชนีชี้วัดในการปฎิบัติงานของพนักงานจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย และดัชนีชี้วัดของหน่วยงานและองค์กร การบริหารผลการปฎิบัติงานจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงานที่จะต้องมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ และเน้นการปฎิบัติงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างผู้บังคับบัญชา และพนักงานด้วยการยอมรับซึ่งกันและกันอย่างจริงจังและจริงใจ ถ้ามีการประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีส่วนอย่างมากในการบูรณาการเป้าหมายในการปฎิบัตืงานของพนักงาน หน่วยงาน องค์กร ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็คือ เป้าหมายสูงสุดขององค์กรในการที่จะตอบสนองถึงความต้องการของผู้ที่มีส่วนได้เสียขององค์กร อันจะนำมาซึ่งการประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรได้ในอนาคต