เลือกหัวใจ..... ( ด ว ง น้ อ ย )
มีผู้กล่าวว่า การไม่เลือก ก็เป็นการเลือกอย่างหนึ่ง คือเลือกที่จะไม่เลือก.....
และทุกๆครั้งที่เราเลือก สิ่งที่เรามิได้เลือก จะติดมาด้วยเสมอ......
ทุกๆครั้ง ที่งาน(อันแทบไม่รู้จบสิ้น)ในแต่ละวันเสร็จสิ้นลง ดิฉันเลือกที่จะขับรถตรงดิ่งกลับบ้าน กลับมาอยู่ในโลกส่วนตัวใบเล็กที่เงียบสงบ... กลับมาทำโน่นทำนี่ในบ้านกับพ่อกับแม่ นั่งอ่านนั่งเขียนนั่นเขียนนี่อย่างที่ใจคิด แล้วนอนกลิ้งดูหนังฟังเพลงพักผ่อนในห้องนอนอันแสนอบอุ่น กับเวลาอันน้อยนิดที่เหลืออยู่....
......ช่างเป็นสวรรค์บนดินโดยแท้
จนกระทั่งหลานเล็กๆของดิฉันก้าวเข้ามา และดลบันดาลให้โลกอันแสนสงบเย็นเป็นสุขของดิฉัน กลายเป็นสวนสนุกซาฟารีคิตตี้ทาวน์ อันอึกทึกครึกครื้นอึงคะนึง ทันทีที่เธอผาดแผลงแสดงกำลัง ตู้เตียงแลข้าวของทั้งหลายของดิฉันก็ถึงแก่ระเนระนาดได้ในฉับพลัน
....ไม่น่าเชื่อว่าตัวอะไรเล็กๆที่แสนน่ารัก จะนำความปั่นป่วนมาสู่ชีวิตของดิฉันได้อย่างน่าตื่นตะลึงถึงเพียงนั้น
ดิฉันมิได้เลือกชีวิตอึกทึกเช่นนี้ด้วยตนเอง ต้นเหตุแห่งความไม่สงบ เกิดแต่ลูกพี่ลูกน้อง ญาติฝ่ายแม่ดิฉันซึ่ง ทยอยแต่งงานกันไปจนหมด (เก่งชะมัด) และมีหลานตัวน้อยตัวนิดจนถึงตัวใหญ่มาให้ปู่ย่าและตายายชื่นใจไปหลายคน
แต่ด้วยว่าพวกเขาได้ไปทำงานเจริญก้าวหน้าอยู่เมืองหลวง ซึ่งไม่เอื้อแก่การมีลูกแดงๆ ในภาวะที่จะต้องทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาให้ลูกนี้ จึงไม่มีทางเลือกใดดีไปกว่าการส่งหลานมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่ต่างจังหวัด
และพ่อกับแม่ดิฉันก็ตกที่นั่งคุณปู่คุณย่า หรือคุณตาคุณยายตัวสำรอง คอยเลี้ยงหลานๆรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
”หลานอา” รุ่นแรกอายุสี่ขวบครึ่งของดิฉัน เป็นหลานสาว หน้าตาน่ารัก ดูฉลาดปราดเปรื่อง และละเอียดอ่อนนัก หลานห่างพ่อห่างแม่ตอนโตสักนิด ทำให้เป็นเด็กช่างคิด เวลาเราคุยกันจึงสนุกน่าดู
เพราะดิฉันก็(ออกแนวๆว่าจะเป็นผู้ใหญ่)ช่างคิดเหมือนกัน
ครั้งหนึ่งหลานสาวน้อยๆบ่นว่า “ไม่ชอบเลย....พ่อมาทีไรต้องกอดและชอบหอมแรงๆทุกที” แล้วเธอก็งอนตุ๊บป่องจนพ่อขยาดไม่ค่อยกล้าหอม เป็นอย่างนี้อยู่หลายหน
ดิฉันคุยกับหลานดีๆว่าอย่าโกรธพ่อของหลานเลย ที่เขาหอมเอาๆๆๆๆอย่างนั้น เพราะพ่อเขาคิดถึง นานๆเขาจะได้กลับมาหอมลูก เขาไม่เจอลูกตั้งสองสามเดือน ขนาดอาเจอน้องมิมทุกวันยังหอมแล้วหอมอีกเลย
นี่ลูกไปงอนพ่อเขาอย่างนั้น .....พ่อเขาจะน้อยใจเอารู้ไหม...
เดี๋ยวสักวัน เขาไม่ยอมกลับมาหอมลูกอีกแล้วจะทำยังไง?...
ชะรอยคำพูดของดิฉันคงจะกระทบใจหลานอย่างจัง เพราะหลานสาวเคยฟังนิทานจนถึงตอนจบที่ว่า “ แล้วจุดจุดจุด ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย” (แม่เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยได้อารมณ์มาก)
คืนนั้นเมื่อพี่ชายดิฉันโทรมาหา หลานสาวน้อยๆรีบเข้าไปรับโทรศัพท์ และพูดซ้ำไปซ้ำมานับสิบเที่ยวว่า “พ่อจ๋า น้องมิมขอโทษ น้องมิมไม่ได้โกด พ่อจ๋า น้องมิมขอโทษ น้องมิมไม่ได้โกด พ่อจ๋า......”
หลานพูดเวียนซ้ำไปซ้ำมาจนดิฉันตกใจ จึงรีบตั้งสติเรียบเรียงคำพูดเพื่ออธิบายหลานให้เข้าใจเสียใหม่ และได้บทเรียนสำคัญในการเป็นคุณอามืออาชีพ ว่าก่อนจะบอกอะไรหลานต้องคิดให้ดี เพราะ เด็กเล็กๆนั้นลงได้ฝังใจอะไรแล้ว เขาก็อาจจะจินตนาการไปไกลแบบที่เราอาจนึกไม่ถึงเลย
วันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสามปี หลานอาคนนี้ได้กลับไปอยู่กับครอบครัว พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ความสันโดษก็กลับมาเยือนชีวิตดิฉันอีกครั้ง
จนกระทั่งถึงวันที่แม่บอกว่าหลานชายน้อยๆอายุห้าเดือน(ลูกของพี่สาวที่ดิฉันรักมาก)เดินทางถึงบ้านตากับยายของเขาแล้ว.........
ดิฉันก็เปลี่ยนสถานภาพเป็นคุณน้ามหาสนุกในบัดดล
หลานชายน้อยๆตัวอ้วนกลมเหมือนหมอนข้างรูปลูกหมีสีขาว ดูร่าเริงสดใส และมีเสน่ห์มัดใจดิฉันไว้แนบแน่นตั้งแต่แรกเห็น ดิฉันทำงานได้อย่างเร็วและดีขึ้นมากในครั้งนั้น อาจเป็นเพราะหลานเป็นแรงจูงใจ(และเป็นแรงผลักไส)ให้รีบทำรีบเสร็จ ...จะได้กลับไปอุ้ม ไปเล่น และใช้เวลาอยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
ทั้งนี้ โดยมีวงศาคณาญาติรอต่อคิวที่จะอุ้มและเล่นกับหลาน.... ยาวไปถึงประตูโรงรถ
ดิฉันมักได้โอกาสเป็นคิวแรกๆ เพราะใครๆอุ้มก็หลานไม่หยุดร้อง แต่ทันทีที่ดิฉันเข้าไปอุ้มหลานไว้แนบอก(แบบเก้ๆกังๆ แต่ยังพยายามวางฟอร์มว่าฉันอุ้มเป็นนะเนี่ย) หลานก็น้อยนิ่งเงียบได้อย่างน่าอัศจรรย์
ดิฉันรู้สึกได้ในนาทีนั้นว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดี แถมยังเข้าใจ(แบบเข้าข้างตัวเองอย่างหน้าตาเฉยอยู่บ่อยๆ)ว่า อยู่กับดิฉันแล้วเขาคงได้ความรู้สึกว่า”ลุ้น”ดีชะมัด เพราะยอดคุณน้ามีลีลาใหม่มานำเสนอไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน และเขาอาจจะรอดูว่าดิฉันจะ”เล่น” เวอร์ชั่นอะไรใหม่ๆกับเขาในวันนั้นอีก
บ่อยครั้งที่ญาติพี่น้องได้เห็นดิฉันตั้งใจกระโดดโลดเต้น(ด้วยลีลามืออาชีพ) และร้องวี้ดกรี๊ดกู๊กู๊กๆกรู๊....เวี้ยว..วว..ว..ว อย่างสนุกสนาน(แบบไม่ใคร่สมวัย)สุดชีวิต ต่อหน้าหลานน้อยๆที่นอนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ลั่นๆอยู่บนเบาะอย่างต่อเนื่องตราบจนการแสดงของยอดคุณน้าสิ้นสุดลง
บางครั้งความรักเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก แต่ลักษณะร่วมที่เหมือนกันของคนที่มีความรัก คืออยากให้คนที่เรารักมีความสุข สิ่งเดียวที่ดิฉันมีอยู่เต็มเปี่ยมคือความรักหลานน้อยๆอย่างซาบซึ้งสุดหัวใจ
ยิ่งเห็นเขามีความสุข เราก็ยิ่งมีความสุขชะมัด
และเมื่อเขามีความทุกข์ เราก็จะรู้สึกยิ่งทุกข์ตามไปด้วย
ทุกครั้งที่พ่อและแม่ของหลานกลับมาเยี่ยม.... ได้กอดลูกน้อยแค่เพียงคืนเดียว... แล้วต้องเดินทางไกลกลับไปทำงาน หลานน้อยๆจะร้องไห้สุดเสียงอย่างน่าสงสาร ดิฉันได้เห็นผู้เป็นพ่อแม่น้ำตารื้นด้วยความรักและคิดถึงลูกน้อยสุดขั้วหัวใจเช่นกัน แต่พวกเขาก็ยังต้องจากไปเพื่ออนาคตที่มั่นคงของครอบครัวในวันหน้า
.....แลกกับความทุกข์ทรมานใจอย่างสุดแสนในวันนี้....
ดิฉันต้องรับหน้าที่พาหลานหลบออกไปที่อื่น และทำได้เพียงแค่อุ้มหลานไว้แนบอก โอบกอดเขาอย่างทะนุถนอม เพียรปลอบโยนให้หลานหายเสียขวัญ
แล้วก็พยายามทำอะไรเข้าสักอย่าง(ที่เชื่อว่าจะทำให้)สถานการณ์ดีขึ้น อย่างเช่น ทำท่ากระโดดจึ๋งๆๆ ตั๊กแกจิ้งจก หรือ เป่าปากบรึ๋ดๆๆๆๆจนดูหน้าคล้ายๆกบ (คือดูกระจกแล้วยังขำตัวเองไม่หาย) หรือทำท่าทางอะไรๆประหลาดๆแบบที่คิดว่าหลานจะชอบและรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วในใจในคอหลานจะคิดอย่างไร
บางครั้ง หลานน้อยๆก็ยิ้ม และหัวเราะ ราวกับจะปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรดอก” หรือ “พอดูได้....” หรือ “ก็งั้นๆแหละ ... แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆ....”
คล้ายๆจะเห็นใจว่าคุณน้าผู้น่าสงสารได้เพียรพยายามอย่างดีที่สุดแล้วเพื่อจะปลอบใจเขา แม้ว่าจะด้วยวิธีการที่เชยเหลือประมาณก็ตาม
และในความเป็นจริง ดิฉันก็ไม่มีวันแทนที่พ่อกับแม่แท้ๆของเขาได้เลย วิชาความจริงแห่งชีวิตข้อนี้ ทำให้ดิฉันสะท้อนใจนัก
หลานน้อยๆเติบโตอย่างรวดเร็ว วันเวลาแห่งความสุขในปริบทชีวิตครอบครัวที่ดิฉันได้มีโอกาสหยิบฉวย(โดยไม่ได้สร้างด้วยตนเอง) ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เผลอไปไม่ทันไร หลานก็เข้าชั้นอนุบาลเสียแล้ว
ดิฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้อุ้มได้กอดและได้เล่นกับหลาน คือช่วงเวลาอันแสนสุข หากหลานก็ติดดิฉันเสียจนผู้ใหญ่รอบตัวเป็นห่วง และบอกว่าให้ห่างๆหลานเสียบ้าง เพราะทันทีที่เห็นดิฉัน หลานน้อยๆก็จะไม่ยอมหันไปหาใครอีกเลย หากไม่เห็นก็จะร่ำร้องหา
ด้วยการแสดงความเป็นห่วงเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าวางตัวไม่ค่อยถูก และเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากให้กลายเป็นความไม่เข้าใจ
ดิฉันค่อยๆตัดใจห่างจากหลานด้วยความรู้สึกทุกข์ทรมาน ดิฉันรักหลานมากก็จริง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าหลานน้อยๆเป็นสมบัติล้ำค่าของดิฉันแต่เพียงผู้เดียว
น่าแปลกนัก ที่ชีวิตดิฉันมักเป็นเช่นนี้เสมอ ได้ชื่นชมในสิ่งที่ใครๆก็ชื่นชอบ แล้วก็ต้องรีบปล่อยมือไป เพื่อสวัสดิภาพของใครก็ไม่รู้ นึกแล้วก็ออกจะขำๆอยู่ เพราะไม่เข้าใจธรรมชาติของความรักเช่นนี้กระมัง ทำให้ดิฉันพลาดอะไรบางอย่างไป
ดิฉันนึกถึงแต่ใจของตัวเอง.... ลืมคิดถึงหัวใจน้อยๆของหลานที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับผู้ใหญ่ด้วยเลย
ช่วงที่งานยุ่งถึงขีดสุด ดิฉันกลับบ้านหลังเที่ยงคืนอยู่เป็นเทอม และไม่แวะไปหาหลานนานร่วมเดือน แม่กับพ่อบอกว่าไปเยี่ยมทีไรหลานจะถามถึงดิฉันทุกครั้ง และร่ำร้องจะมาหา แต่ดิฉันก็คิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะแวะไปหาเขา (ทั้งที่คิดถึงหลานเหลือเกินแล้ว)
จนวันหนึ่งโรงเรียนอนุบาลจัดแข่งกีฬา ผู้ใหญ่ทุกคนติดภาระจึงจำเป็นต้องโทรฯบอกดิฉันให้แวะไปหาหลาน เพราะต้องปล่อยให้หลานน้อยๆอยู่ที่สนามกีฬากับคุณครูในภาคเช้า (ทั้งที่เป็นวันที่ควรมีผู้ปกครองไปอยู่ด้วย) ดิฉันดีใจนัก ทั้งที่งานยุ่งเต็มที่ แต่ตัดสินใจว่าจะไปหาหลานที่สนามสักแป๊บ
ตอนที่เดินเข้าไปในเต็นท์และเห็นหลานนั้น ดิฉันก็ใจหายวูบด้วยความรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น
เด็กๆอนุบาลตัวน้อยน่ารักดูร่าเริงนัก แทบทุกคนอยู่กับพ่อแม่ หรือไม่ก็ต้องมีผู้ใหญ่สักคนนั่งอยู่ด้วย พวกเขาดูเบิกบานสนุกสนานราวกับผีเสื้อในสวนดอกไม้
แต่หลานน้อยๆของดิฉันกลับแยกตัวออกมานั่งนิ่งเงียบอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว....
คุณครูบอกว่า”น้องนั่งอยู่คนเดียวตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ไม่ยอมให้คุณครูนั่งด้วย” .....
ตอนที่ดิฉันเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆนั้น หลานหันมามองด้วยสายตายินดีเพียงชั่วแวบ แล้วกลับเป็นความรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่เชื่อใจ ผิดหวัง ....... และมองหน้าดิฉันด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่างเปล่าเสียจนดิฉันใจหาย...
ดิฉันบรรจงกอดร่างน้อยๆไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม...ด้วยความรักสุดหัวใจ แม้ว่าดิฉันจะไม่ได้พูดออกมา
ไม่ว่าหลานจะรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น ดิฉันรู้อย่างเดียวว่าดิฉันรักเขามากที่สุด
เขาจะโกรธจะน้อยใจจะผลักไสดิฉันอย่างไรก็ได้ แต่ดิฉันก็ยังคงรักเขามากที่สุด.....
ดิฉันกอดหลานด้วยความรักท่วมท้นจากหัวใจ แล้วหอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวา หอมหน้าผาก หอมคาง หอมแก้มนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง แทนคำขอโทษอย่างที่สุดจากหัวใจของน้า......
…………
เพียงชั่วอึดใจ ....หลานตัวน้อยก็เอามือโอบรอบคอดิฉันแน่นแล้วแนบแก้มนิ่งอยู่อย่างนั้น
.....และดิฉันก็ไม่ต้องการอะไรทั้งหมดอีกแล้วในโลกนี้....
ชีวิตครอบครัว.... มีองค์ประกอบที่แสนละเอียดอ่อนนัก ครอบครัวจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นสมบูรณ์อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก
ดิฉันได้บทเรียนชีวิตที่ละเอียดอ่อนยิ่งว่า หากวันที่แสนอบอุ่นของเด็กคนใดก็ตาม.....ยังมาไม่ถึง ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างก็พึงเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้แก่มนุษย์ตัวเล็กๆที่รู้สึกว้าเหว่เหล่านั้น และรอวันที่ผู้ใหญ่ตรงหน้าจะเติมเต็มให้กับหัวใจที่อ้างว้างของเขา
โปรดอย่าได้ทำร้ายหัวใจเล็กๆดวงนั้น ...ด้วยการทิ้งเขาไปอีกเลย
ดิฉันจะไม่ทิ้งหลานน้อยๆของดิฉันอีกแล้ว.........
และดิฉันยังหวังเหลือเกินว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทุกคนในทุกครอบครัวที่ดิฉันรัก จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
และวันแห่งความสุขของพวกเขา.......
....ก็จะเป็นวันแห่งความสุขของดิฉันด้วยเช่นกัน....
สวัสดีค่ะพี่แอมป์
เบิร์ดน้ำตารื้นเมื่ออ่านจบ และเรียบเรียงความคิดอยู่นานกว่าจะสามารถเขียนได้ เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกที่ซาบซึ้ง อ่อนโยน และ " รัก " ที่จู่โจมเข้าจับหัวใจต้องหายไป ( เราสะเทือนใจจากเรื่องดีๆก็ได้ใช่มั้ยคะพี่แอมป์ )
เรามักจะ " เลือก " ด้วย เหตุผล ที่เรา " คิด " ว่าดี ..ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ที่เราคิดว่ามองอะไรได้รอบด้านและถูกต้อง..ด้วยความรู้สึกที่ว่าควรกันไว้ดีกว่าแก้..หรือด้วยอะไรต่างๆอีกมากมายที่เราคิดว่านั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น
แต่คนตัวเล็กๆนั้นเค้ากล้าหาญกว่า่เราอีกนะคะ เพราะเค้าเลือกด้วยหัวใจ..ที่ตรงไปตรงมา แบบพร้อมที่จะรักๆๆๆๆๆ และรักอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขหรือเหตุผลใดๆมาประกอบหัวใจให้วุ่นวายเลยสักนิดนะคะพี่แอมป์
การสัมผัสหัวใจดวงน้อยที่กระตือรือร้นและบอบบาง ..ถ้าจะสัมผัสด้วยเหตุผลล้วนๆี่บางครั้งอาจจะแข็งเกินกว่าที่หัวใจดวงน้อยนั้นจะรับได้นะคะ เหมือนกับเราเอาหินไปวางบนปีกผีเสื้อ..ดังนั้นในการสัมผัสเค้า เราก็คงต้องสัมผัสอย่างแผ่วเบาด้วยหัวใจของเราเองเช่นเดียวกันนะคะพี่แอมป์ สัมผัสแบบลมที่นุ่มนวล ไล้เบาๆอย่างอ่อนโยน และช่วยพยุงปีกบอบบางของผีเสื้อให้โบยบินอย่างอิสระและร่าเริง
เพียงแค่เลือกและรักด้วยหัวใจ กับชีวิตน้อยๆที่เค้าเกิดมาให้เราได้รู้จักความรัก..เพียงเท่านี้เราก็จะได้รู้ว่าความสุขอยู่ใกล้นิดเดียวเองนะคะ มีระยะห่างเพียงแค่หัวใจกับหัวใจเท่านั้นเอง
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่ดีเยี่ยมบันทึกนี้นะคะพี่แอมป์..ที่ทำให้เบิร์ดได้รู้ว่ารักนั้นซาบซึ้ง ..ยิ่งใหญ่ ไม่มีเหตุผลหรือความหมองหมางใดๆจะขวางกั้นได้ เพราะรักนั้นเกิดที่หัวใจ ..สัมผัสได้ด้วยหัวใจผ่านอ้อมกอดของกันและกัน...ขอบคุณมากๆค่ะ
เรื่องนี้สอนวิถีชีวิตได้ดีอย่างครูบาว่าทุกคนวิ่งหาแต่ความทุกข์มุ่งแต่เรียนวิชาทิ้งถิ่น พ่อแม่คิดว่าสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวแท้จริงทำลายจิตใจของเด็กไปโดยไม่รู้ตัว
ผมมีประสบการณ์กับลูกตัวเองที่เอาไปดยู่ประจำทั้งสามคน ลูกคนสุดท้องร้องทุกครั้งที่ไปเยี่ยมแล้วจะแยกบางคนมนไม่ได้ต้องเอาลูกออกผมทนได้แต่ได้รู้ว่าจิตใจลูกได้เปลี่ยนไปแล้ว
อีกประสบการณ์หนึ่งคุณแม่ชอบรับลูกเขามาเลี้ยงทุกครั้งที่พ่อแม่เด็กพร้อมเอาลูกกลับไปคุณแม่หัวใจสลายทุกครั้งไม่รู้เราหาทุกข์ไปเพื่ออะไร ทั้งๆที่สุขก็มองไม่เห็น
สวัสดีครับพี่แอมป์
สบายดีไหมครับ ยอดมากๆ ครับพี่ อ่านแล้วคือถ่ายทอดหลายๆ ความรู้สึกของผมออกมาได้เยอะมากเลยครับพี่ ทำให้ผมย้อนถึงการเลี้ยงเด็กๆ ในอดีตตอนที่ยังอยู่้บ้านครับ ทำให้เห็นภาพพี่แอมป์กำลังเต้นกระโดดต่อหน้าตัวน้อยด้วยเลยครับ ปรบมือไป เต้นไป ทำตาแปลกๆ จี้เอวตัวน้อย และ อื่นๆ หากนึกมุกใหม่ไม่ออกก็ใช้มุกเก่าไปก่อนสลับกันไป ห้าๆๆๆๆ
แต่อ่านแล้วซาบซึ้งครับผม และสะท้อนวิถีไทยหลายๆ อย่างๆ ได้ดีมากๆ เลยครับ เมื่อไหร่ปลาจะหันหัวกลับรังครับพี่ ทำให้นึกถึงแผนที่ปลา อีกแล้วครับพี่
ขอบคุณมากครับผม
สวัสดีจ๊ะเบิร์ด
วันที่พี่แอมป์กอดและหอมแก้มหลานตัวน้อยครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยความรักอย่างสุดซึ้งนั้น พี่แอมป์ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ถ้าหากหัวใจพี่แอมป์พูดได้ ก็คงบอกหัวใจดวงน้อยของหลานว่า “ น้าแอมป์ขอโทษ... น้าแอมป์ขอโทษจริงๆนะจ๊ะ.... น้าแอมป์ขอโทษที่สุดเลยลูก...”
และวันนั้น พี่แอมป์ไม่ได้ร้องไห้
แต่วันนี้ พี่แอมป์อ่านความเห็นของเบิร์ดแล้วก็นั่งเงียบๆอยู่พักนึง
พี่แอมป์ไม่ได้ร้องไห้.....แต่น้ำตามันไหลเอง...... เพราะเบิร์ดพูดได้จับใจเหลือเกิน....
“ถ้าจะสัมผัสด้วยเหตุผลล้วนๆ” ก็คง “เหมือนกับเราเอาหินไปวางบนปีกผีเสื้อ..”
บางที...ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งและส่งตรงถึงใจเรานั้น ก็ทำให้เรารู้สึกสะเทือนใจด้วยความเข้าใจ และด้วยความเข้าใจนี้ จะทำให้”ใจ”ของเราละเอียดอ่อน
และพร้อมจะเข้าใจ “หัวใจ” ผู้อื่น ได้อย่างเข้าถึงใจเขามากขึ้นกว่าเดิม
ถ้อยคำทั้งหมดของเบิร์ด......สื่อความหมายจากใจถึงใจได้ละมุนละไมนัก และทำให้พี่เข้าใจความรักของผีเสื้อปีกบางมากขึ้น : )
วันนี้ พี่ได้”ผีเสื้อตัวน้อย”ของพี่คืนมาแล้ว และพี่ก็จะทะนุถนอมหัวใจดวงน้อยที่แสนงดงามและบอบบางของเขา ด้วยความรักทั้งหมดจากหัวใจของพี่
ขอบคุณเบิร์ดมากที่สุดเลยนะจ๊ะ : )
สวัสดีค่ะอาจารย์เอกชัย
ขออนุญาตเรียกอาจารย์ตามน้องเบิร์ดนะคะ และรู้สึกขอบพระคุณมากที่อาจารย์แวะมาเยี่ยมบันทึก
ดิฉันเคยคิดว่าการมีห่วงผูกพันนั้นเป็นสุขในทุกข์ และการไม่มีห่วงผูกพัน แปลว่ามีทุกข์ในสุข และไม่ทราบจริงๆว่าที่คิดไปนั้น ถูกต้องตามภาวะที่เป็นหรือไม่
เมื่อแก่ตัวเข้า... ดิฉันก็ได้เห็นว่าห่วงนั้นอยู่ที่ใจ หากใจยังรู้สึกผูกมัดและห่วงหา ก็ได้เห็นว่านั่นแหละทุกข์
อย่างไรก็ตาม ดิฉันคิดว่าผู้มีครอบครัว จะได้โอกาสในการพัฒนาวุฒิภาวะทางจิตใจมากกว่าคนโสด เพราะได้สร้างห่วงผูกพันขึ้น และรับเอาผลโดยตรงอันเกิดจากห่วงผูกพันนั้น
คงเหมือนนักวิ่งในสนามกีฬา ย่อมได้รับเอาผลโดยตรงจากการวิ่งครั้งนั้นๆ โดยตนเอง ส่วนกองเชียร์ ก็รับเอาผลโดยอ้อม แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงเกี่ยวข้องกันโดยกระบวนการกีฬา
ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจในเรื่องที่อาจารย์กรุณาเล่าให้ฟังนะคะ บางทีเราก็คงเลือกทุกอย่างให้เป็นอย่างที่ใจคิดไม่ได้ แม้ว่าเราจะได้บรรจงเลือกอย่างดีที่สุดแล้ว
เพราะทุกครั้งที่เราเลือก..... สิ่งที่เราไม่ได้เลือก.. จะติดมาด้วยเสมอ... แต่คุณค่าของสิ่งที่เราได้เลือกไป ก็อาจพอทดแทนกันได้ในสักวันหนึ่ง ดิฉันหวังอย่างที่สุดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
(คือหลายๆครั้งดิฉันก็แอบเข้าข้างตัวเองว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น) : )
ขอบพระคุณอาจารย์ที่แวะเข้ามาร่วมสนทนานะคะ ดิฉันชอบประเด็น มุ่งแต่เรียนวิชาทิ้งถิ่น ที่อาจารย์พูดถึงมากด้วย แต่หากตอบต่อ เกรงว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องยาว จึงต้องตอบสั้นๆเพียงเท่านี้ก่อน (คือตอบอย่างสั้นของดิฉันก็ประมาณนี้นะคะ) : )
ขอบพระคุณมากอีกครั้งที่อาจารย์แวะมาและฝากข้อคิดที่ชวนให้ร่วมสนทนาด้วยอย่างยิ่งนะคะ
มากอดน้าแอมป์ อาแอมป์ที่น่ารักอีก 1 ทีแน่นๆนานๆค่ะ พี่โอ๋เป็นคนหนึ่งที่เคยไม่อยากมีลูก เพราะคิดว่าเด็กๆในโลกนี้ที่เราควรช่วยดูแลมีอยู่เยอะแยะแล้ว แต่โดนสะกิดใจจากคำพูดของพี่คนหนึ่งว่า หน้าที่ที่ธรรมชาติให้มาสำหรับผู้หญิงคือการมีลูก และต้องสร้างคนดีๆให้โลกนี้ต่อๆไป ทำให้ตัดสินใจมีครอบครัวเพื่อที่จะได้เป็นแม่ และบอกได้เลยว่า ตั้งใจไว้เกินร้อยค่ะว่า จะดูแลและอยู่กับลูกจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาไม่ต้องการเราแล้ว ลูกคือคนสำคัญที่สุดในชีวิตพี่โอ๋ แต่เป็นความสำคัญแบบที่ีเราเป็นอิสระต่อกันนะคะ เขาเป็นตัวของเขาเอง แม่มีหน้าที่ดูแล สั่งสอนให้เขาคิดเป็น เราพยายามเป็นแม่แบบที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ และสิ่งสำคัญที่สุดที่พี่โอ๋ทำให้ลูกรู้ก็คือ แม่คือคนที่พร้อมจะอยู่กับเขาทุกโอกาสทั้งสุขและทุกข์ ยินดีรับฟังทุกเรื่องราว ทั้งผิดและถูก และแม่จะไม่บอกว่าถูก ถ้าลูกผิดแต่จะช่วยแก้ปัญหาถ้าลูกต้องการ
เด็กๆไม่ได้ต้องการวัตถุสิ่งของใดๆเลยค่ะ สิ่งที่สำคัญและมีค่ามากมายเสมอก็คือ ความรักความเข้าใจ และความมั่นใจว่าเขาเป็นที่รัก ที่ต้องการของพ่อแม่ หรือคนที่ดูแลเขา ครูดีๆก็ช่วยให้คนขาดพ่อแม่รู้สึกดีๆกับตัวเองและเป็นคนดีได้ต่อไป
ขอบคุณบันทึกดีๆที่อ่านแล้วทำให้หัวใจอ่อนโยน อยากให้ทุกคนที่มีเด็กเล็กๆใกล้ตัวได้อ่านค่ะ น้องแอมป์เป็นนักเขียนถ่ายทอดสิ่งที่คิดได้ดีเหลือเกินค่ะ
พี่โอ๋รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้งที่เห็นครอบครัวที่ต้องทิ้งลูกเล็กๆให้คนอื่นเลี้ยง หัวใจดวงน้อยๆที่บอบช้ำนั้นเยียวยายากมากค่ะ โดยเฉพาะถ้าพ่อแม่ไม่สามารถสื่อสารให้ลูกมั่นใจได้ว่า พ่อแม่รักเขามากตลอดเวลาแม้อยู่ห่างกัน
สวัสดีด้วยความคิดถึงจ๊ะต้า
ขอบคุณที่ต้าแวะมาเยี่ยมนะจ๊ะ พี่แอมป์เพิ่งได้ปิดเทอมจริงๆ ก็เลยพอมีเวลามาโพสต์บันทึกและแวะไปสื่อสารกับพี่ๆน้องๆตามโอกาสอำนวย และอาทิตย์หน้าก็จะเปิดเทอมใหม่อย่างรวดเร็วอีกแล้ว สุดยอดจริงๆ.....
ขอบคุณมากที่ต้าเข้าใจความรู้สึกของพี่แอมป์นะคะ และพี่แอมป์ประทับใจเรื่องหลานของต้าจัง เขายังโชคดีนักนะคะ ที่มีต้าเป็นกำลังใจจนเติบใหญ่ และเมื่อต้า "ให้ความรัก ความเอ็นดูแก่ชีวิตเล็กๆเหล่านี้จนเขาแข็งแกร่ง" พี่ก็เชื่อว่าจิตใจของเขาก็จะอ่อนโยนในขณะเดียวกัน เพราะได้รับความรักจากต้าอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
และขอบคุณอีกทีที่ต้าให้กำลังใจพี่แอมป์เรื่องเขียนบันทึกนะคะ คือบางทีพี่แอมป์ก็ขำตัวเองที่เขียนอะไรยาวๆ แต่เวลาเขียนก็อยากเขียนให้ครบอย่างที่ใจคิด
.....ก็เลยย้าวยาวๆๆ เป็นขบวนรถไฟทุกทีอะค่ะ.....
ขอให้ต้าทำงานอย่างมีความสุข และพบแต่คนดี แม้จะได้พบคนแปลกหน้าในบางครั้ง ก็ขอให้เป็นคนดีนะคะ : )
สวัสดีค่ะน้องเม้ง
เม้งสบายดีนะคะ ส่วนพี่แอมป์สบายดี จนกระทั่งเม้งบอกว่านึกเห็นภาพพี่แอมป์กำลังกระโดดโลดเต้นเนี่ยแหละค่ะ นึกหวั่นๆเหมือนกันว่าถ้าใครมาเห็นพี่ตอนนั้นแล้วเขาจะยังเห็นพี่สบายดีอยู่รึปล่าว แต่เห็นหลานน้อยๆไม่ทักว่ากระไร ทั้งที่พี่ใช้มุกวนไปวนมาอย่างเม้งว่าน่ะแหละ พูดเหมือนตาเห็นเลย อิๆๆๆๆ
วิถีครอบครัวก็คือวิถีชีวิตดีๆนี่เองนะคะ ชีวิตไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ครอบครัวก็ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปเหมือนกัน แต่วิถีครอบครัวไทยโดยทั่วไปนั้นยังน่ารักนัก เพราะนอกจากพ่อกับแม่(และพี่น้อง)แล้ว ยังมีลุงป้าน้าอาปู่ย่าตายายยาวไปจนถึงทวดคอยรับไม้ต่อมือกันเป็นทอดๆ
.....วันใดก็ตามที่เราเห็นคุณค่าสายใยและหัวใจของความเป็นครอบครัว วันนั้นปลาก็จะหันหัวกลับรังกระมังคะ....
ขอบคุณที่เม้งแวะมายืนฟังพี่แอมป์บ่นเอ๊ยคุยค่ะ โฉมใหม่นี่ต้นไม้สีสดใสข้างหลังดูดีทีเดียวนะคะ อิอิอิ : )
สวัสดีด้วยความคิดถึงยิ่งค่ะพี่โอ๋
แอมแปร์ก็ขอกอดคุณแม่ที่น่ารักอย่างพี่พี่โอ๋สองทีนานๆด้วยค่ะ คือตอนนี้กลางคืน แอมแปร์ไม่เขินเลย : )
ความรักลูกอย่างสุดหัวใจของคนเป็นแม่นี่น่ารักจังเลยนะคะ เห็นทีไรมีความสุขทุกที การเลี้ยงลูกสมัยนี้แม้มิใช่เรื่องง่าย แต่หากคุณแม่(และคุณพ่อ)สอนให้ลูกคิดเป็น อย่างที่พี่โอ๋เล่า ดูแลและอยู่กับลูกจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาไม่ต้องการเรา ลูกก็ย่อมมีภูมิคุ้มกันทางจิตใจอย่างดี และแกร่งพอที่จะก้าวออกไปเผชิญโลกภายนอกได้ในที่สุด
เขาไม่ต้องการเรา แปลว่าเขาไม่ต้องการให้เราปกป้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าวอีกต่อไปแล้ว แต่เขายังต้องการให้เราอยู่แบบที่ทำให้เขา....."มั่นใจได้ว่า พ่อแม่รักเขามากตลอดเวลาแม้อยู่ห่างกัน"
สายใยของความเป็นครอบครัวนั้น เหนียวแน่นกว่าสายสัมพันธ์อื่นใด
ขอบพระคุณพี่โอ๋มากที่แวะมาทักทายด้วยความอบอุ่นเช่นเคยนะคะ แอมแปร์เห็นพยานยืนยันความอบอุ่นในครอบครัวพี่โอ๋แล้วก็ยิ้มชอบใจอยู่คนเดียว.....
......ตอนนี้ลูกชายตัวโตกว่าคุณแม่แล้วอะค่ะ.... : )
สวัสดีค่ะอ.ดอกไม้ทะเล ^ ^
ดีนะเนี่ยที่วนมาอ่านบันทึกเก่าใน planet ไม่งั้นล่ะอดอ่านบันทึกนี้แน่ๆ
ตัวเองก็มีหลานชาย ๒ คน (แต่ว่าเป็นป้าไม่ได้เป็นน้า อิอิ) รู้สึกรักเขาแบบนี้เหมือนกัน นี่ขนาดไม่ได้เลี้ยงแบบที่อาจารย์เลี้ยงนะคะเนี่ย แค่ไปเจอเขาทุกเสาร์หรืออาทิตย์เท่านั้นเอง
เมื่อกี้อ่านมาถึงตอนท้ายบันทึกที่เวลาหลานกอดเราแล้วเข้าใจถึงความรู้สึกดีเลยค่ะ เด็กจะรับรู้ได้ค่ะว่าใครรักเขามาก แล้วเขาจะตอบสนองกลับด้วยความรักและการแสดงออกแบบนี้ ทำให้เรามีกำลังใจ รู้สึกอยากทำอะไรๆ ให้เขามากขึ้นไปอีก ดีจังเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ นะคะ ^ ^
อ.หมู ลิงค์บันทึกนี้มาให้ต้อมอ่าน และพอได้มีเวลานั่งอ่านเงียบ ๆ ก็รู้สึกได้ว่า อ. รักหลานน้อยมากมายเพียงไหน
อ.เคยอ่านหนังสือ "พระจันทร์เสี้ยว" ของท่านรพินทรนาถ ฐากูร ไหมคะ? ท่านป็นปราชญ์นักเขียนชาวอินเดีย อยากให้ลองหามาอ่านค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์กมลวัลย์
เมื่อคืนดิฉันอยู่ดึกไปหน่อยเลยตื่นสายไปนิด ตื่นปุ๊บก็รีบกระโจนไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร็วไว แล้ววิ่งจู๊ดไปเสียบกุญแจ สตาร์ทรถอย่างคล่องแคล่ว
.... แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้วันเสาร์....และเป็นวันปิดเทอม
.....สุดยอดอะค่ะ.... : )
ดิฉันเลยนั่งขำตัวเองอยู่พักนึง เพราะรู้สึกว่าได้เป็นครบทุกสถานภาพแล้ว ทั้งน้า อา ป้า และยาย
จะว่าไปแล้วนับตามศักดิ์ดิฉันก็มีหลานยายแล้วจริงๆ และดูตามเหตุการณ์เมื่อเช้า ดิฉันก็มีแววจะเป็นคุณยายเต็มขั้นได้อยู่ (โดยไม่ต้องรอให้หลานเลื่อนขั้นให้) อิอิ
ดีใจที่อาจารย์แวะมานะคะ การมีหลานนับเป็นลาภอันประเสริฐ : ) เด็กๆเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่น่ารักนัก ถึงเขาจะดื้อจะซนบ้าง ก็เป็นไปตามธรรมชาติ คุณป้าอย่างเราก็สนุกรื่นเริงไปกับธรรมชาติของเขา เขาก็คงรู้ว่าเรารัก
"แล้วเขาจะตอบสนองกลับด้วยความรักและการแสดงออกแบบนี้ ทำให้เรามีกำลังใจ รู้สึกอยากทำอะไรๆ ให้เขามากขึ้นไปอีก" ใช่อย่างที่อาจารย์บอกเลยค่ะ
ขอบพระคุณที่อาจารย์แวะมาและทำให้วันหยุด ^ ^ (จริงๆ)วันนี้ เป็นวันที่มีความหมายดีๆอีกวันนะคะ .....
พี่แอมป์!!!!!!
เอาก้อนอะไรมาวางไว้ในคอมัท มันตันมันตี้นจนดันน้ำตาออกมาด้วย
มาทำท่า "กระโดดจึ๋งๆๆ ตั๊กแกจิ้งจก หรือ เป่าปากบรึ๋ดๆๆๆๆจนดูหน้าคล้ายๆกบ" ให้น้องดูเดี๋ยวนี้น้าาาา : )
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ(อีกแล้ว)ค่ะ ความคิดเห็นก็ดี พี่แอมป์ตอบก็ดี ขอบคุณมากๆค่ะ
"เขียนอย่างที่ใจคิด" นี่มันมีพลังอย่างนี้นี่เอง : )
พี่แอมป์ครับ
ผมเข้ามาอ่านบันทึกนี้หลายรอบด้วยกันครับ ได้ซึมซับเอาความละเอียดอ่อนที่พี่ถ่ายทอดมา ได้อารมณ์กรุ่นรัก จนล้นออกมาทางบันทึกพี่ช่างถ่ายทอดได้ละมุมละไมดีแท้
ความรัก ความผูกพัน เป็นความงดงามนะครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่ใจกับใจเชื่อมกัน ความสุขระหว่างความสัมพันธ์ก็เพิ่มทวี
เด็กเหมือนผ้าขาว จิตใจที่ละเอียดบางครั้งเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ ดังนั้นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก จึงเป็นเหตุปัจจัยในการหล่อหลอมพวกเขาเสมอ
และเด็กทุกคนก็มีสิทธิ์ได้รับความรักความอบอุ่นเช่นนี้
ผมนึกไปถึงเด็กที่ด้อยโอกาส เด็กที่ถูกทอดทิ้งด้วยเหตุใดก็ตาม เขาจะต้องต่อสู้กับความโหดร้ายที่เขาประสบขนาดไหน
ผมสนใจงานด้านเด็กครับ หากมีโอกาสผมอยากจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ...ร่วมสร้างโลกที่สวยงามสำหรับพวกเขา หล่อหลอมพวกเขาเพื่อเป็นคนที่มีความสุข คนที่มีคุณภาพของสังคมเราต่อไปครับ
ขอบคุณพี่แอมป์มากครับ สำหรับบันทึกที่ดีบันทึกนี้
สวัสดีค่ะน้องต้อม
ขออนุญาตเรียกน้องต้อมและแทนตัวว่าพี่แอมป์เลยนะคะ พี่แวะไปบันทึกน้องต้อมหลายหนแล้ว โดยเฉพาะบันทึกคำสาปฟาโรห์ ชอบมากๆๆๆๆ แล้วก็ชอบ"หนังสือทำมือ" ของต้อมที่สุดเลยค่ะ แต่ยังไม่ได้ฝากรอยพิมพ์ไว้
พี่แอมป์เข้าไปบันทึกใคร เป็นได้เผลอพิมพ์ตอบยาวกว่าบันทึกเขาอยู่หลายหนจนอายเขาแล้วอะค่ะ : )
ขอบคุณที่น้องต้อมแวะมาเยี่ยมบันทึกนะคะ และขอบคุณมากสำหรับหนังสือแนะนำ พี่แอมป์เคยอ่านหนังสือ พระจันทร์เสี้ยว ตอนเรียนที่กรุงเทพฯ และชอบมากเลยค่ะ ดีใจจังที่น้องต้อมช่วยรื้อฟื้นความทรงจำ พี่ยังเสียใจอยู่เลยที่ไม่ได้ซื้อไว้
เดี๋ยวมีจังหวะต้องไปหามาไว้ข้างหมอนสักเล่ม อ่านก่อนนอนแล้วหลับฝันดี.....
ขอบคุณอีกทีที่น้องต้อมแวะมา และฝากขอบพระคุณไปถึงพี่หมูด้วยนะคะ ที่ลิงก์มาให้เราได้เจอกัน รู้สึกดีชะมัดอะค่ะ : )
สวัสดีด้วยความซาบซึ้งใจมากเลยค่ะ อ.มัท
บันทึกถึงหลานบันทึกนี้ทำให้พี่แอมป์กลายเป็นคนขี้แยไปได้ยังไงก็ไม่รู้.... ..
ฟังที่เบิร์ดพูดให้ข้อคิด (ได้อย่างนุ่มนวลน่ารัก)....พี่ก็น้ำตาไหล...... และแค่ อ.มัทขึ้นต้นพูดได้สองประโยค พี่แอมป์ก็น้ำตาร่วงอีกแล้ว....
พิมพ์ไปเช็ดน้ำตาป้อยๆไป เช็ดของพี่ที ...เช็ดให้น้องที.....
....โอ๋.... นิ่งนะจ๊ะคนดี.... : )
ขอกอดน้องสาวที่น่ารักของพี่แน่นๆสองทีเลยนะจ๊ะ ทำไมพี่โชคดียังงี้น้า
การที่ได้รู้จักคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อนและเห็นคุณค่าที่ลึกซึ้งของความรัก แล้วยังส่งความรักเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่นโดยไม่หวังอะไรตอบแทนด้วยนั้น พี่คิดว่าเป็นโชคดีที่สุดแล้วในโลกนี้......
ขอให้งานเสร็จไวๆแบบประทับใจโปรเฟสเซอร์เลยนะคะ อ.มัท : )
หนังสือ "พระจันทร์เสี้ยว" ของ ท่านรพินทรนาถ ฐากูร เป็นหนังสือเล่มโปรดอีกเล่มที่ต้อมแสนหวง หน้าปกเป็นสีน้ำเงิน มีรูปพระจันทร์เสี้ยวและดอกไม้ น่ารักดีค่ะ
ข้างในนั้นมีทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาษาไทย แปลโดย นายแพทย์วิทูร แสงสิงแก้ว
ภาษาที่ใช้ก็แสนจะง่ายงาม และถ่ายทอดถึงความคิดของเด็กได้โดนใจ
ของต้อมมีหนึ่งเล่ม แต่ได้มอบให้พี่สาวจากโลกไซเบอร์คนหนึ่งไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แล้วค่ะ เพราะหาซื้อเล่มนั้นจากที่ไหนไม่ได้เลย บอกพี่สาวคนนั้นไปว่า "ถ้าต้อมหาเล่มใหม่เจอ ต้อมจะเอามาแลกเล่มนี้คืนนะ" ^_^
สวัสดีสองครั้งในบันทึกเดียวกันเลยค่ะน้องเอก
วันนี้ญาติๆพี่แอมป์มาเต็มบ้าน พี่แอมป์วิ่งเข้าวิ่งออกหลายที และเน็ตก็เร้าใจดีมากค่ะ พี่บรรจงตอบความเห็นอย่างตื่นเต้นมาก เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกครั้งที่ลูกช้างคลิก.... : )
และรู้สึกขอบคุณน้องเอกชะมัดเลย เพราะเห็นรูปใหม่ของน้องเอกแท้ๆ ทำให้พี่แอมป์นึกได้อีกหนว่าเวลาตอบบันทึก อย่าลืมรูปเจ้าของความเห็นด้วย หลังจากที่ตอบท่านก่อนหน้าโดยลืมใส่รูปอีกแล้ว
เลยขออภัยท่านสุภาพสตรี ไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ : )
ตอนนี้พี่แอมป์หายตื่นเต้นแล้ว (คือว่าพี่ทำใจได้เร็ว) แต่เปลี่ยนเป็นรู้สึกดีใจมากแทน ที่ได้รู้ว่าน้องเอกสนใจงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก เลยไม่แปลกใจแล้วที่เด็กชายกาเบรียลตัวน้อยกล้าเข้าไปหยอกล้อและจี้เอวลุงเอกถึงในบ้าน
ขอบคุณมากๆที่น้องเอกแวะมาคุยกับพี่แอมป์อย่างอ่อนโยนเช่นเคย จิตใจที่อ่อนโยน อบอุ่น และนุ่มนวล สัมผัสความรักได้เช่นนี้ เด็กๆเขาสัมผัสได้นะคะ เด็กเล็กๆความรู้สึกไวกว่าผู้ใหญ่มากมายนัก
และพี่แอมป์ก็เชื่อว่าเมื่อถึงวันที่น้องเอกได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ด้วยหัวใจที่อ่อนโยนของน้องเอก ก็จะทำให้เด็กๆได้เห็นโลกที่สวยงามและ"ใจดี"มากๆอยู่ตรงหน้า
.....แบบที่กาเบรียลตัวน้อยมองเห็นนะคะ .... : )
สวัสดีค่ะน้องต้อม
น่านเลย.... พี่นั่งนึกตั้งนานว่าใครแปลน้า ใครแปลน้า... กำลังจะคลิกกุ๊กเกิ้ลพอดีเลย ขอบคุณมากๆที่มาเฉลยให้พี่หายสงสัยนะคะ
พี่จะลองไปหาซื้อดู ได้ผลอย่างไรจะมาเล่าสู่กันฟังนะคะ : )
พี่หมูจ๊ะ
แอมแปร์เต็มใจให้กอดแต่โดยดี และไม่ขัดขืนเอ๊ยไม่ขัดเขินเลยค่ะ
ขอให้หลับฝันดีนะคะพี่หมู : )
สวัสดีค่ะพี่แอมป์
อ่านแล้วซึ้งมากค่ะ เข้าใจคนหัวอกเดียวกันค่ะ (พวกมีหลานนะค่ะ) อยากบอกว่ารักหลานมาก ๆ เวลาเขาไม่สบาย นอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ แถมมานอนกับเราอีก (ไม่ยอมนอนกับพ่อแม่)
เมื่อวานเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ เลยค่ะ ไปงานเลี้ยงวันเกิดอ.แสวง รวยสูงเนินค่ะ เขาโทรมาตั้งแต่อ.แสวงยังไม่มา ร้องไห้สะอึกสะอื้น ว่าวันนี้ราณีไม่พาเขามานอนด้วย ไอ้เราก็ปลอบใจใหญ่เลย และบอกว่าจะไปงานเลี้ยง ก็ไม่ยอมเงียบ ก็เลยบอกว่าหลังกลับจากงานเงียบจะไปรับนะ ประมาณ 4 ทุ่มกว่า (แบบบอกส่ง ๆ เพื่อให้เด็กสบายใจนะค่ะ )เพราะหลานราณีตื่นตั้งแต่ ตี5 กว่า ไปตักบาตรกับราณีค่ะ เขายังไม่ได้นอนเลยค่ะ ไอ้เราก็คาดว่า 4 ทุ่ม เดี๋ยวเด็กก็หลับ อิอิ แต่ที่ไหนได้ ตอน 4ทุ่มกว่า พ่อโทรมาบอกว่าเด็กไม่ยอมนอน ทั้ง ๆ ที่ง่วงมาก ร้องไห้ ให้พ่อโทรมาหาให้ราณีไปรับมานอนด้วย โห งงเลย ก็เลยต้องไปรับมานอน เด็ก ๆ ดีใจใหญ่เลยค่ะ พอมาถึงบ้านแปรงฟัน ขึ้นที่นอนได้ก็หลับ ทั้ง 2 คนเลย อิอิ เฮ้ออุตส่าห์รอนะเนี่ย เด็กหนอเด็ก
เล่ามาเป็นตุเป็นตะ พี่แอมป์เบื่อที่จะอ่านไหมค่ะเนี่ย มีอีกหลายเรื่องค่ะเรื่องวีรกรรมหลาน ๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.ราณี ที่คิดถึงมาก
หลานๆสองคนที่เล่านี้ใช่สองสาวน้อยตาหวานในบันทึก"ทุบกระปุก" รึปล่าวคะ ? เห็นแล้วรักเลยอะค่ะ น่ารักชะมัด!
ชอบใจเรื่องหลานๆที่ อ.ราณี เล่าให้ฟังชะมัดเลยค่ะ ไม่รู้จักเจ้าตัวเล็กซะแล้ว : ) เด็กๆจำแม่นน่าดูนะคะ อ.ราณี เราสัญญาอะไรไว้ เขาจะทวงสัญญาอย่างเปิดเผย จริงใจ และตรงไปตรงมา
ถ้าเราลืม... ทีนี้เขาจะประท้วง..! อิๆๆๆๆ
ที่พี่แอมป์ฟังแล้วชื่นใจนัก คือที่ อ.ราณีบอกว่าหลานน้อยๆ "รอ" อ.ราณีเพราะ สัญญาว่าจะรับเขาไปนอนด้วย เรื่องเล่นตอนกลางวันนี่ สำหรับเด็ก จะเล่นที่ไหนเมื่อไหร่กับใครก็ได้ ....แต่เรื่องนอนตอนกลางคืนนี่ ต้องกับคนที่เขารักและไว้ใจจริงๆเท่านั้น.....
ธรรมชาติให้เครื่องป้องกันตัวแก่เจ้าตัวเล็กไว้อย่างดีเลยนะคะ สัญชาตญาณของเด็กนั้น "ไว" เหลือเกิน แล้วเขาก็จริงใจอย่างที่สุดด้วย ถ้าเราไม่ใช่คนที่คู่ควรที่จะนอนเคียงข้าง เขาก็จะร้องแงแงแง.. แง้แง้แง้... แล้วก็ จ๊ากจ๊ากจ๊าก...!!! ต่อเนื่องกันไปจนครบเวอร์ชั่น รับรองว่าคืนนั้นไม่ได้หลับไม่ได้นอน : )
ยินดีที่ อ.ราณีผ่านคืนนั้นมาโดยสวัสดิภาพนะคะ (อิอิ) ขอบคุณจริงๆค่ะที่แวะเอาเรื่องเล่าประทับใจของหลานน้อยๆที่น่ารักมาฝาก เรื่องของเด็กๆพี่แอมป์อ่านได้ไม่มีเบื่อเลยค่ะ
ได้อ่านวีรกรรมน่ารักๆของมดตัวน้อยตัวนิด อ่านแล้วชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะอะค่ะ..... : )
สวัสดีค่ะคุณ nunchapon
ยินดีที่คุณ nunchapon แวะมานะคะ และยิ่งรู้สึกชื่นใจที่คุณบอกว่า "มีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้น" ทำให้ดิฉันชื่นใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน
หลังจากที่ได้นั่งน้ำตาร่วงเป็นเทียนหยด เพราะอ่านความเห็นที่แสนจะจับใจของน้องสาวสองสาวข้างบน คือก่อนหน้านี้ดิฉันไม่ได้ร้องไห้เลย .....จนกระทั่งได้ฟังที่น้องบอกอย่างนุ่มนวลน่ารักเช่นนั้น......
ดิฉันเห็นอะไรอย่างหนึ่งจากชีวิตที่ผ่านมาค่ะคุณ nunchapon บางทีชีวิตครอบครัวอาจไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แต่ "ความรักและความเข้าใจในกันและกัน" ทำให้ความเป็นครอบครัวนั้น มีความหมายขึ้นมา
แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์พร้อม..... แต่ในความไม่สมบูรณ์พร้อมนั้นแหละ ทำให้เราเห็น "คุณค่าของสิ่งที่ขาดหายไป" นับเท่าทวีคูณ
ดิฉันนึกถึงที่ อ.ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ กล่าวไว้อย่างน่าประทับใจว่า "ทุกคนย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องในบางสถานการณ์ไม่มากก็น้อย" หากมองว่าชีวิตเล็กๆนั้นคือสิ่งสำคัญและมีค่าที่สุดในชีวิตเรา เราทุกคนย่อมมีส่วนบ้างไม่มากก็น้อยที่จะทำให้เป็นไป .....ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับที่เราจะทำให้เป็น....
และแน่นอนว่าอาจไม่เป็นไปเช่นที่เราอยากให้เป็นทั้งหมด แต่อย่างน้อย...ก็น่าจะดีกว่าปล่อยโอกาสในการดูแลชีวิตเล็กๆ(ที่ยังดูแลตัวเองไม่ได้นั้น)ให้หลุดมือไป และดิฉันก็ยังแน่ใจว่าในความเป็นครอบครัวไทยในวิถีไทยนั้น หากไม่ใช่ภาวะบีบคั้นคับข้องอย่างที่สุดแล้ว ไม่ใครก็ใครคนใดคนหนึ่ง... จะต้องเพียรพยายามพยุงยึดโยงและประคับประคองและดูแลเจ้าตัวจ้อยกันไปจนตลอดรอดฝั่ง.......
ดิฉันขอเอาใจช่วยเครือญาติทุกท่านที่กำลัง"ดูแลฟูมฟัก"ชีวิตเล็กๆเหล่านั้นนะคะ แม้ว่าท่านจะมิใช่ผู้นำเขามาสู่โลกนี้ แต่ท่านก็จะเป็นผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเขา...ในบางสถานการณ์ (ไม่มากก็น้อย)
และในการเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ก็ขอให้เป็นการสร้างคุณค่าและความหมายให้แก่ชีวิตเล็กๆที่สักวันจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เหมือนเรา..... ด้วยความรักและความเข้าใจ
เขาจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของความรัก และรู้จักให้ความรักต่อๆไป ด้วยความเข้าใจถึงคุณค่าและความหมายของความรักอย่างลึกซึ้ง แบบเดียวกับที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้....... : )
ขอบคุณคุณ nunchapon มากนะคะที่แวะมา ...ดิฉันเลยพูดอะไรต่อไปอีกยืดยาว... เพราะคำที่คุณพูดทำให้ดิฉันรู้สึกดีจังนะคะ : )
สวัสดีค่ะคุณแหวว
บ้านแอมแปร์ฝนตกหนักเหมือนเทน้ำลงมาตูมๆๆๆเลยค่ะ เน็ตก็เลยระส่ำระสายมาก แต่อยากจะตอบคุณแหววก่อนนอน.... กว่าจะคลิกได้เลยลุ้นน่าดูอะค่ะ
สงสัยแอมแปร์จะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ "รักหลานประดุจลูก" เป็นเรือนแสนค่ะคุณแหวว : ) เด็กเล็กๆน่ารักโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และเด็กเล็กๆที่เป็นหลานเรา เราก็ยิ่งรักเขามากขึ้นไปอีกโดยธรรมชาติ ....
เลยกลายเป็นความรักแบบดับเบิ้ล.....ตามธรรมชาติ ที่มีแสตนดาร์ดสูงเป็นพิเศษอะค่ะ อิอิ
ขอบคุณที่คุณแหววแวะมานะคะ (สงสัยว่าเราจะงานยุ่งพอๆกันเลย) อ่านบันทึกคุณแหววแล้วทำให้แอมแปร์มีกำลังใจในการหาวิธีจัดการกับภูมิแพ้ฟุดฟิดๆขึ้นมาทันที ขอให้คุณแหววและหนูอินมีสุขภาพแข็งแรงเช่นกันค่ะ .....หลับฝันดีนะคะคุณแหวว : )
มาทยอยตามอ่านบันทึกที่หลงตาไป(มีเยอะเลยค่ะเพราะผู้อาวุโสสายตาเสื่อมถอยตามอายุค่ะ) นี่ขนาดไม่มีหลาน และไม่ชอบเล่นกับเด็กเพราะไม่รู้จะเล่นอะไร ยังอ่านด้วยความรู้สึกประทับใจในความละเอียดอ่อน ละมุนละไม และแสนเอาใจนี่คุณน้ามีต่อคุณหลาน
น่าเสียดายที่ชีวิตในยุคนี้ทำให้ดวงใจน้อยๆของเด็กๆต้องเจ็บช้ำโดยที่พ่อแม่ต้องตัดใจยอมให้ลูกเจ็บทั้งๆที่รู้ และที่ไม่รู้ก็มีอีกมากด้วยไม่มีความละเอียดพอ ไม่มีเวลาโดนพันธการในชีวิตที่ทับถม จนต้องเลือกเอาแบบมีชีวิตรอดไปก่อน ความรู้สึกไว้ทีหลัง นี่มันชีวิตอย่างไรกันนี่
สวัสดีค่ะพี่แอมป์ที่น่ารัก
ราณีขอเสนอความเห็นนิดหนึ่งนะค่ะ เรื่องหมอน อยากให้พี่ได้ใส่รูปด้วยนะค่ะ นำรูปหลาน ๆ มาใส่ก็ได้ ไม่งั้น ราณีจะเอารูปตัวเองส่งไป ให้นะ อิอิ พี่แอมป์จ๋า
สวัสดีตอนหัวค่ำพร้อมกับความเย็นฉ่ำของสายฝนค่ะพี่นุช
ดีใจจังค่ะที่พี่นุชแวะมาเยี่ยม แอมแปร์รีบล็อกอินแต่หัวค่ำเพราะคืนนี้ต้องลุยงานอีกยาว ตามสโลแกน "เรายกออฟฟิศมาไว้ที่บ้าน งานจะตามเราไปทุกที่" : )
พี่นุชพูดได้ตรงตามภาวะที่เป็นจริงๆค่ะ.... ทุกวันนี้ดูเหมือนเรา "ต้องเลือกเอาแบบมีชีวิตรอดไปก่อน ความรู้สึกไว้ทีหลัง " นึกแล้วก็ห่วงหลานขึ้นมาเลยค่ะ เขาจะต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายนักกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็ได้แต่เอาใจช่วยเขา... และครอบครัวของเขาด้วย..... ชีวิตมิใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ
อย่างไรก็ตาม แอมแปร์นั่งยิ้มที่พี่นุชบอกว่าสายตาเสื่อมถอยตามอายุ คืออย่างนี้นะคะพี่นุช ถ้าอาวุโสแล้ว"งาม"ได้เท่าพี่นุชละก็ .....แอมแปร์ยินดีให้สายตาแอมแปร์ยาวกว่านี้อีกสองเท่าเลยอะค่ะ : )
สวัสดียามค่ำฉ่ำพิรุณค่ะ อ.ราณี
คืองี้นะคะ พี่นั่งหัวเราะฮ่าๆ(อย่างกุลสตรี) เพราะชอบใจไอเดียน้องสาวเรื่องหมอนอยู่พักนึงละ....
งั้นเดี๋ยวพี่แอมป์จะหาไฟล์รูปอย่าง อ.ราณีแนะนำนะคะ จะได้อารมณ์โรแมนติกคิกคาปู้เวลาดูหมอน (คือรุ่นพี่เนี่ยต้องคิกคาปู้ อ.ราณีทันป่าวคะ อิๆๆๆ) .....ขอบคุณมากจ้า.... : )
พี่แอมป์ครับ แวะไปหาแล้วไม่เจอครับ มาจองคิวตามสัญญานะครับ เรายกให้พี่แอมป์เป็นแม่ทูนหัวคับ พี่แอมป์ได้หลานสาวค้าบ ..! รับ skype นะค้าบพี่แอมป์ เพื่อหลานนะครับ ทุกคน ย้ำ ทุกคน คิดถึงพี่นะครับ
โอแจ๊คจ๊ะ.. พี่แอมป์ดีใจด้วยที่สุดในโลกเลยจ๊ะแจ๊ค.... : ) อยากเห็นหน้าหลานเร็วๆจะแย่แล้ว พี่จะร้องเพลงโยกเยกเอ้ยให้ฟังสามเที่ยวเลย : ) ขอบคุณมิ้นต์กับแจ๊คที่ยกตำแหน่งแม่ทูนหัวให้นะจ๊ะ ถึงวันนั้นพี่มิต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำหน้าที่เหรอจ๊ะเนี่ย ระหว่างนี้พี่ก็ดำรงตำแหน่งคุณป้ามหาสนุกรอคิวไปก่อน
สิ้นปีนี้พี่แอมป์คงได้รับปริญญา"สนุกดีบัณฑิต"อย่างแน่นอน อิอิอิ
ขอบคุณแจ๊คมากๆที่ตั้งใจแวะมาบอกด้วยตัวเองนะจ๊ะ พี่ซาบซึ้งจริงๆ ....ฝากเรียนว่าขอให้เดินทางกลับโดยปลอดภัย... เอ่อ...สำหรับ skype... ถ้าไว้คุยเฉพาะกับหลาน..พี่ก็ตกลงจ๊ะแจ๊ค
ปล.คิดถึงเช่นกันจ๊ะ ฝากขอบพระคุณทุกคนของแจ๊คด้วยนะจ๊ะ
สวัสดีค่ะ อ.รัตน์ชนก
สวัสดีด้วยความระลึกถึงยิ่งค่ะพี่บางทราย
แอมแปร์กำลังรอเรื่องเล่าจากดงหลวงอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะพี่บางทราย ตอน อ.แป๋ว ลิ้งก์บันทึกพี่มาให้คราวโน้นแอมแปร์ก็ดีใจมาก แต่หลังจากที่ได้คำนวณเวลาชีวิตแล้วก็จ๋อยไปพอประมาณ เพราะรู้ตัวว่าไปไม่ได้ทั้งที่อยากไปมาก อยากไปดูเรื่องดีๆที่พี่บางทรายเล่าให้เห็นกับตา อยากไปสัมผัสจิตวิญญาณของนักพัฒนา อยากไปฟังไปดูไปรู้ไปเห็นด้วยตัวเป็นๆสักครั้งในชีวิต
..... เฮ้อ..... แต่ก็นั่นแหละนะคะ ......
บางที...การทำงานแบบที่หาตัวตายตัวแทนไม่ได้ ก็ทำให้เราแทบจะตายหยังเขียดเหมือนกันอะค่ะพี่บางทราย แอมแปร์ไม่ได้บ่นเลยนะคะ ....... อันนี้แค่รำพึง อิอิอิ
ขอบพระคุณที่พี่บางทรายแวะมานะคะ แอมแปร์ตั้งใจตอบคอมเม้นท์พี่ก่อนเที่ยงคืน ก่อนที่รถม้าจะกลายเป็นฟักทอง : ) ชอบจังเลยที่พี่บอกว่า "ชอบจังบันทึกแห่งความรัก" เพราะแอมแปร์เขียนบันทึกนี้ด้วยความรักสุดหัวใจจริงๆ
ขอบพระคุณพี่บางทรายมากเช่นกันนะคะ แอมแปร์จะรออ่านเรื่องเล่าประทับใจของ"เฮฮาศาสตร์"จากดงหลวง และจะร่วมประทับใจไปกับ"สายใยสัมพันธ์"ที่นั่น ซึ่งสักวันจะเป็น "โครงสร้างที่ต่อทุนทางสังคมของเรา" อย่างที่พี่บางทรายว่า
ครอบครัวใหญ่ที่เริ่มต้นด้วย"ใจ" ก็เป็นรากแก้วของทุนทางสังคมได้เช่นกัน..... ใช่ไหมคะพี่บางทราย : )
สวัสดีค่ะน้องนารี
สวัสดีครับ ดอกไม้ทะเล
มาช้าไปหน่อยครับ แต่ก็ดีกว่าไม่มานะครับ ครอบครับอบอุ่น และรู้สึกอบอุ่นยิ่งขึ้นเมื่อตัวเราได้สิ่งที่ขาดๆไปแล้วแต่งเติมกลับมา
มาขออนุญาตินำข้อความดีๆไปรวมครับ ขอบคุณมากครับ http://gotoknow.org/blog/mrschuai/117622?page=9
สวัสดีค่ะเล่าฮูแพนด้าผู้มีวิสัยทัศน์ยาวไกล : )
ด้วยความยินดีและระลึกถึงยิ่งค่ะ คำว่า "ครอบครัวอบอุ่น" นี้มีค่าต่อ"หัวใจดวงน้อย"เหลือเกิน เล่าฮูสิทธิรักษ์ก็เป็นคุณพ่อที่อบอุ่นและห่วงใยลูกอย่างเหลือล้นนะคะ บันทึกที่คุณพ่อแสดงความห่วงใยต่อลูกสาว(ที่รักคุณพ่อมากเช่นกัน) ก็ยังเป็นที่ประทับใจอยู่เสมอ
แอมแปร์สวนไปสวนมากับเล่าฮูในบันทึกเบิร์ดก็หลายหน ยังไม่ได้ทักทายกันสักที ครานี้เล่าฮูมาเยือนถึงที่ จะมิให้ยินดี(จนออกนอกหน้า)กระไรได้ ...
ขอคารวะด้วยชาไผ่อุ่นๆสามจอกเลยค่ะ ... : )
อ่านแล้วซึ้งจังค่ะ..
แอ๊วก็มีหลานตัวน้อย 2 คนเหมือนกันค่ะ..
เราเนี่ย..เลี้ยงมาแต่เล็ก...จนตอนนี้ป.2แล้วค่ะ..ก็ยังคงติดกันเป็นตังเม..ไปไหนก็ไปด้วยกัน..ยังกะลูกเลย..ใครเห็นก็ว่าเป็นลูกแน่นอนเลยค่ะ..ชีวิตปกติก็ชอบเงียบๆนะคะ.แต่พอพี่ชายมีเจ้าตัวเล็กชีวิตที่เงียบสงบก็ครื้นเครง..วุ่นวายพิลึก..หาความเงียบมุมสงบแทบไม่มีแต่ก็บรรยากาศดีอีกแบบ..
เวลาตื่นมาก้เหมือนกะวัยเดียวกันนะคะ..แต่เวลาที่เค้าหลับอยู่ในรถแล้วนอนแนบอกเราเนี่ย...ก็ทำให้เราได้มารู้สึกว่า..จริงๆแล้วเค้าก็ยังเป็นเด็กเล็กๆที่ต้องพึ่งพิงและต้องการความอบอุ่น..และเราก็ไม่ใช่เด็กๆ(ลูกคนเล็กของครอบครัวอีกต่อไป) เราเป็นที่พึ่งพิงให้กับเค้าได้แล้ว..
ครอบครัวมีความสุขพัฒนาการของเด็กก็จะดี..ชีวีก็สดใสกันทั้งครอบครัวเลยค่ะ..
มีความสุขกับครอบครัว กะหลานๆนะคะ..สู้ๆค่ะ..เราหัวอกเดียวกันเลย555
สวัสดีค่ะครูแอ๊ว
พี่แอมป์อ่านที่ครูแอ๊วเขียนแล้วประทับใจจังเลยค่ะ หัวใจของครูแอ๊วอบอุ่นไปด้วยความรัก เป็นโชคดีของเด็กทุกคนที่อยู่ใกล้ครูแอ๊ว โดยเฉพาะหลานตัวน้อยสองคนที่ครูแอ๊วเลี้ยงมาแต่เล็ก
เด็กๆเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักน่าอัศจรรย์จริงๆนะจ๊ะ โดยเฉพาะสำหรับสุภาพสตรีอย่างเราๆ (คืออย่างน้อยๆเราสองคนก็น่าจะจัดเข้าข่ายสุภาพสตรีได้ โดยไม่มีใครเข้ามาคัดค้าน อิอิอิ)
การเลี้ยงดูเด็กเล็กๆด้วยความรัก น่าจะทำให้เกิดการพัฒนาวุฒิภาวะทางจิตใจไปได้อีกขั้นกระมังนะจ๊ะ ใจน่าจะละเอียดอ่อนขึ้น มีเมตตามากขึ้น และมีความเสียสละมากขึ้น เพราะเราต้องคิดถึงเจ้าตัวเล็กก่อนจะคิดถึงตัวเราเอง
พี่จึงชื่นชมผู้เป็นแม่ทุกคนนะจ๊ะ เราไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิดเรายังรักเขาขนาดนี้ แล้วผู้ที่อุ้มท้องมาเองเล่า จะรักเขาขนาดไหน ขณะเดียวกันพี่ก็ประทับใจในผู้ที่สามารถ"รัก" และสามารถ"เป็นที่พึ่ง" ของคนตัวเล็กๆได้โดยไม่ต้องเป็นผู้ให้กำเนิด .....อย่างที่ครูแอ๊วกำลังเป็นที่พึ่งพิงและเป็นความอบอุ่นของหลานน้อยๆในตอนนี้......
ขอบคุณที่ครูแอ๊วแวะมาพร้อมกับความรักอยู่เสมอ (เพราะสีชมพู...เป็นสีแห่งความรัก) .... หัวใจที่มีความรักและพร้อมที่จะเป็น"ผู้ให้"นั้น... ย่อมอบอุ่นเสมอนะคะ .... : )
หวัดดีจ๊ะหว้า
สวัสดีปีใหม่ 2551 ค่ะพี่แอมป์ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้พี่แอมป์ มีความสุข สมหวัง ในทุก ๆ ด้าน สุขภาพร่างกายแข็งแรง เลื่อนตำแหน่งบ่อย ๆ ด้วยค่ะ คิดถึงเสมอค่ะ ราณี
สวัสดีปีใหม่ค่ะ พี่หมูคนดี
ขอบพระคุณมากๆค่ะพี่หมู ที่แวะมาบันทึก หัวใจ ด ว ง น้ อ ย นี้อีกครั้ง แวะมาอ่านบันทึกนี้ทีไร แอมแปร์คิดถึงพี่หมูทุกที แล้วก็ประทับใจนักที่ใครๆก็เล่าว่าที่ดงหลวง ป้าหมูเป็นขวัญใจของหลานน้อยๆ... : )
เด็กๆสัมผัสความความอ่อนโยนในหัวใจได้เร็วนักนะคะพี่หมู พี่หมูมีความรักที่ไม่จำกัด และนี่กระมังคะที่ทำให้พี่หมูเป็นที่รัก "เพราะพี่หมูละเอียดอ่อนกับความรัก"...... แอมแปร์รักความรู้สึกอย่างนี้เหลือเกินค่ะพี่หมู เพราะในโลกที่สร้างความรักได้อย่างยากเย็นนี้ หากใครสักคนได้สัมผัส ความรักจากใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม อย่างที่พี่หมูมีให้ เขาจะรู้สึกได้ว่าโลกนี้มิใช่โลกที่แห้งแล้งและแข็งกระด้างเลย .... หากเขาหาคนคนนั้นเจอ.....
ขอบพระคุณสำหรับความรักและความอ่อนโยนที่พี่หมูมีอยู่เปี่ยมล้นในใจนะคะ และขอบพระคุณที่สุดสำหรับดอกปีบสีขาว หอม เย็น รับปีใหม่ ที่ทำให้หัวใจสดชื่นนัก
ขอให้พี่หมูมีความสุขมากๆ และพบแต่สิ่งดีๆ ตลอดปีใหม่นี้และตลอดไปนะคะ
แอมแปร์ค่ะ : )
สวัสดีปีใหม่ 2551 จ๊ะ น้องราณี
ขอบคุณน้องมากที่สุดเลยจ๊ะ สำหรับคำอวยพรปีใหม่ ที่เป็นมงคลแก่ชีวิต และบัวบานดอกนี้ที่งดงามนัก งดงามเหมือนใจของน้อง ที่มองโลกในแง่ดี และทำให้พี่ยิ้มให้กับโลกใบนี้ได้เสมอ และบางทีก็หัวเราะได้แบบยั้งไม่ทัน ทำให้การพูดคุยทุกครั้งอุดมไปด้วยความเบิกบานสราญใจ คาดว่าเมื่อได้พบตัวจริงกัน คงเริ่มด้วยการหัวเราะขำกันเองยกใหญ่ กว่าจะได้เริ่มต้นคุย แค่นึกก็ขำไปล่วงหน้าแล้วอะค่ะ : )
ในโอกาสปีใหม่ .....พี่แอมป์ขอให้พรอันเป็นมงคล จงส่งผลอันเป็นกุศลแก่น้องตลอดปีใหม่นี้ และตลอดไปเช่นกันนะจ๊ะ.... ขอบคุณมากๆอีกครั้งจ๊ะ
พี่แอมป์ค่ะ
สุขสันต์วันแห่งความรัก อบอุ่นด้วยกระไอรรักในครรอบครัวค่ะ
ด้วย รักแท้ แน่วแน่ ไม่แปรผัน
เย็นชื่นฉ่ำ สดชื่นกาย รื่นรมย์ใจ ค่ะ :)
สวัสดีค่ะมาชวนไปฟังเพลงค่ะ http://gotoknow.org/blog/bbooks/242110
สวัสดีแบบหวานๆแม้วาเลนไทน์จะผ่านไปแล้วจ๊ะลูกปู
ภาพที่เอามาฝากสวยหวานเหลือเกิน สมกับที่ลูกปูเป็นสาวน้อยโมแรนติกเอ๊ยโรแมนติกจริงๆ
ขออภัยอย่างสูงที่พี่แอมป์เข้ามาตอบช้ามากเพราะเป็นช่วงใกล้สอบปลายภาคจ๊ะ ขอบคุณลูกปูมากๆสำหรับดอกไม้แสนหวาน และคำอวยพรที่พี่ชอบที่สุด คำว่ารัก เป็นคำที่มีค่านักนะจ๊ะ และความรักของคนในครอบครัว พี่คิดว่ามีค่าที่สุดเลย
ขอบคุณลูกปูมากที่นำสิ่งมีค่ามาฝากในโอกาสหวานๆอย่างนี้นะจ๊ะ Happy belated Valentine เช่นกันจ๊ะลูกปู
....และพี่จะรอดูว่าใครเป็นคนโชคดีคนนั้น...
คนที่เหมาะสมและคู่ควรกับกับสาวน้อยโรแมนติกของพี่น่ะนะจ๊ะ : ) : ) : ) : )
สวัสดีค่ะคุณทิชา
ขออภัยอย่างสูงที่ตอบช้านะคะ ขอบพระคุณมากสำหรับเพลงไพเราะค่ะ : )
ดึกเกินไปมาก ๆ สำหรับคุณแม่คนดีที่หนึ่ง ผู้ซึ่งคุณลูกต้องคอยเตือนว่า "แม่อย่านอนดึกนัก แล้วก็อย่าลักไก่ไม่อาบน้ำ"..อุ๊บ ความลับหลุดอีกแล้ว
เดิมที น้องคิดว่าจะมีแต่คนเป็นแม่เท่านั้นที่จะ...
โอย เป็นอีกหลายนัก..
เพิ่งมาพบว่าเป็นกบ ก็ได้ อิ อิ
แถมไม่ใช่แม่ตัวจริงนะเออ...ซึ้งน่ะ
สวัสดีค่ะคุณหมอเล็ก
ขอบคุณที่แวะมาร่วมซึ้งนะคะ พี่แอมป์ก็ขำตัวเองตอนเป่าปากบรื๋ดๆเหมือนกันหงะ ไม่รู้ทำไปได้ยังไง แต่ดูไปๆมันเหมือนกบมากกว่าเขียดจริงๆ : )
.....ถ้าอยากดูผู้ใหญ่ตัวโตๆทำอะไรๆได้ทุกอย่างเพราะความรักสุดหัวใจละก็ ดูตอนเลี้ยงลูกนี่แหละ พี่ว่าครบทุกรสเลย
.....รสชาติของชีวิตที่อร่อยที่สุดก็น่าจะเป็นตอนที่ลูกยังเล็กๆนี่กระมังคะ : ) อะไรๆก็น่ารักไปหมด ความสุขของเราไปรวมอยู่ที่เขาหมดเลย
.....เอ่อ.. คือว่าพี่จินตนาการไปโดยไม่มีประสบการณ์ตรง อาศัยเลี้ยงหลานเป็นประสบการณ์อ้อมๆเอานะคะ
ชอบที่คุณหมอเล็กเล่านิทานเวอร์ชั่นอิมโพรไวส์ให้น้องภูฟังจังค่ะ แบบนี้แหละสนุก ยิ่งตอนลูกจำเวอร์ฯเดิมได้แล้วเถียงกับเรายิ่งหนุก เผลอๆไม่ต้องนอนกันพอดี : )
อ่า..แต่เรื่อง ม่าย อาบ น้าม นี่ เป็นความลับระหว่างสองเรานะคะ ตอนไปอยู่ที่หนาวๆ พี่แอมป์ก็ซักเอ๊ยอาบสองวันหนเหมือนกัน
เค้าเรียกว่า"ซักแห้ง" แบบว่าประหยัดน้ำตามนโยบายเชียวนะ ..ดีออก.. อิอิ