ไม่รู้จะสอนอย่างไร


ต้นไม้
วันที่อาจารย์ออกเจาะใจ(ดิฉันไม่ได้ดู)วันศุกร์มีแต่คนพูดถึงแต่อาจารย์เล่าเห็นภาพเลยค่ะ!ดิฉันหาข้อมูลที่อาจารย์ไปบรรยายย้อนหลังที่ระยอง และอีกหลายหัวข้อ ดิฉันเริ่มเห็นทางสว่างหลังจากที่ทุกข์ใจมาเป็นปี ดิฉันมีลูกชายอายุ15ปีเรียนอยู่ม.3 เขาเปลี่ยนไปมากหลังจากกลับจากซัมเมอร์ที่ ปักกิ่งเขาพูด" เขาจะไม่มีศาสนาเพราะศาสนาทำให้คนล้าหลัง"ไม่ยอมไหว้พระ ชวนไปใส่บาตรเขาจะถามว่าใส่ไปทำไม ผีไม่มีในโลกบาปบุญไม่มีจริงตายแล้วก็สูญ แค่เราเป็นคนดีก็พอแล้ว ดิฉันเปิดธรรมะเขาบอกว่าไร้สาระ เขาอยากคุยกับพระที่เก่งๆเรื่องศาสนา เคยพาเขาไปทำบุญที่รร.ปริยัติ ไปคุยกับพระอาจาย์ตอนกลับเขาบ่นว่าไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เดือนสิงหานี้เขาต้องไปเรียนโคโลราโด10เดือน ไม่รู้ว่าจะได้อะไรกลับมาอีก ดิฉันกลุ้มใจมากค่ะในความคิดที่ไม่เหมือนเด็กคนอื่นหวังว่าสัก วันเขาคงคิดได้เอง สอนยกตัวอย่าสารพัดไม่สำเร็จค่ะ เขาเคยบอกว่าเขาคงเป็นบัวเหล่าที่4


ความเห็น (3)

ไม่มีความเห็น


คำตอบ (1)

คนไร้กรอบ
เขียนเมื่อ

โทษที ไม่ได้ดูว่า ต้อง คลิก ตอบ



ความเห็น (3)

I did not have faith in Buddhism or any religion when I was a teenager. Then I saw bad monks taking money, smoking, drinking alcohol and some monks were even having affairs with women. I saw people went to 'buja' (worship) statues, artefacts (that that they made with their own hands) and asked for favour from the Buddha, gods and spirits. I did not see many people really practising 'siila' (even many monks didn't). It was the time when when I tried to make sense of what the world was about. Then I only saw things in extreme -- back and white -- what I liked and what I did not like.

The world has not changed much but I had changed. I can see 'sankhaara' living and making their own destiny according to their faith. I had come to see 'ritual" and 'ceremony' as devices to bring people in society together -- to do the same thing, to eat the same food, and to share the same dukkha. Today, I hardly go to any monastery (วัด) but I do say I am a buddhist, because I am 'now awake' and I can see things not just in their extremes but more in the middle.

I think your son had opened his eyes and he is seeing things that he does not like. When he has trained his eyes to see things in more details, he will become a man with a 'real faith'. I think, friends (กัลยามิตร) who make him feel 'comfortable' and allow him to explore his own world would help more than a 'nagging mother'. First, make peace with yourself, next make peace with your son, then show him the way.

สวัสดีคุณต้นไม้

  • เออ...อยากฟังคนไร้กรอบตอบเหมือนกัน เลยตามมา แต่ไม่ได้ฟัง คิดว่าอาจารย์คงยังไม่ได้เข้ามา
  • ฟังจากที่เล่ามา คิดว่า สิ่งที่ลูกชายของท่านเป็นอยู่ไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก เขากำลังเรียนรู้ จะรู้มาก รู้น้อย รู้ผิด รู้ถูกแค่ไหน ก็อยู่ที่พื้นภูมิของเขา
  • ข้อที่จะเกิดความเสียหายก็คือ การพยายามยัดเยียด สิ่งที่เราเชื่อให้เขาเชื่อตามโดยที่เราไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุมีผล สมเหตุสมผล มากพอที่จะให้เขายอมรับ
  • ในความเห็นของครูดี เห็นว่าลูกของท่านมีสมอง และกำลังใช้สมองคิดเรื่องต่าง ๆที่เขารับรู้ 
  • ในกรณีนี้ ครูดีเห็นว่าเขายังมองไม่ชัด และแยกแยะไม่ออก ระหว่างศาสนา กับศาสนบริษัท ซึ่งคนโดยทั่วๆไปก็เป็นเช่นนี้
  • ศาสนบริษัท อาจจะนำเสนอให้เห็นศาสนา ถูกต้อง ผิดเพี้ยน มากน้อยอย่างไร เพียงใด ก็ได้ ตามแต่พื้นภูมิของศาสนบริษัทนั้น ๆ อย่างไรก็ตามต้องมองเห็นว่า ทั้งสองอย่างไม่ใช่เรื่องเดียวกัน  ความไม่เหมาะสมของความประพฤติและการแสดงธรรมของศาสนบริษัทที่เราอาจไม่สามารถยอมรับได้ในหลักการ ก็ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมายพอที่จะเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
  • ในปัจจุบันผู้รู้ท่านว่า ไม่มีใครที่ไม่มีศาสนา  แม้ที่ฝรั่งบางคนกล่าวว่า พระเจ้าตายไปแล้ว ก็จะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำหน้าที่เช่นเดียวกับศาสนาอยู่ในใจเขา เช่น อาจจะได้แก่ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น
  • จริง ๆลูกชายของท่านได้ได้สมาทานสุดยอดแห่งศาสนาเข้าไว้แล้วจากคำพูดของเขาที่ว่า"แค่เราเป็นคนดีก็พอแล้ว" ส่วนเรื่องอื่น ๆดูจะแข็งกล่าวไป ก็จะต้องอาศัยการเรียนรู้ ความรู้ ความจริง และคำอธิบายที่มันฟังขึ้น ช่วยให้เขาไม่แสดงออกอย่างคนมีปัญญาเกินสติ
  • คนใกล้ตัวอย่างคุณแม่นั่นแหละ ช่วยได้มาก ขอคุณแม่อย่าเป็นศาสนบริษัทที่ล้าหลังในสายตาของเขาก็แล้วกัน
  • จริง ๆแล้ว คำตอบของSr ข้างบนนั้นชัดเจนที่สุด

                                                                                                     ครูดี

ผมว่า คงมีพวกเรา หลายคนที่ โดน "ศาสนารังแกฉัน" จน คาใจ เป็นปมคาใจมามาก

ผมเอง ก็โดนมาเยอะเช่นกัน

จนได้ มาศึกษา กับ คุรุ ครูบาอาจารย์ ที่ถูกต้อง ที่ท่านเหล่านั้น ได้ผ่าน "ข้อจำกัด" ต่างๆ มาได้แล้ว ทำจริง รู้จริง ไม่ใช่ อ่านก่อนแล้วเอามาสอน ไม่ใช่ปริยัติ ฯลฯ

ผม ฝึกๆๆๆๆ ทำซ้ำ หรือ Repeat sensing , stop thinking บ่อยๆ ด้วยความเพียร ฯลฯ จนได้มารู้จัก วิถีแห่งพุทธ มรรคาแห่งพุทธ

และ ณ วันนี้ ปมด้านศาสนาก็หมดไป

ตอนนี้ ก็ ไม่ได้ รังเกียจศาสนา ไม่ได้ต่อว่า หาก จะต้อง มี กฏ กติกา ฯลฯ มากมาย อุปมา บทบัญญัติ ต่างๆ คือ เชือกรัดไม้อ่อน เปลือกไข่ป้องกันลูกไก่ ฯลฯ เมื่อ เรา เติบโต ทางจิตใจ เราก็ จะไม่ใช้มัน แต่ ก็ ไม่ลืมพระคุณของมัน

ไม้อ่อนๆ กล้าไม้ ยังทานแรงลมไมไว้ ก็ต้อง มี หลัก มีค้ำยัน มีเชือกรัด

แต่ เราชอบ รัดแรงๆ รัดด้วยความหวังดีที่เข็มขัดขัดสั้น ผลคือ เยาวชนมากมาย เกลียดศาสนา

พ่อแม่มากมาย ที่ไม่ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาจิตใจ ไม่ได้ ผ่าน "ขีดจำกัด"ของตนเอง จนค้นพบตนเองอย่างถ่องแท้ แต่ ด้วย ความกลัว ก็เลย รัดลูกเสียแน่น จน "คาใจ" จนหลายคน วิ่งหนีศาสนาไปไกลสุดกู่

นึกถึง พ่อแม่ ด้วยความหวังดีที่เข็มขัดสั้น กลัวลูกเล่นเกมส์ตอนปิดเทอม จึง เอาลูกเข้าบวชเณร แล้ว ไปบวช วัดที่มาแนว "ทหาร" กฏเกณฑ์มากมาย หมีสุดๆ เณร กระโดดกำแพง หนีฝ่าวงล้อมพี่เลี้ยง ฯลฯ และ เกิดปมคาใจ

คนเคร่งศาสนาแต่ไม่มีมรรคาแห่งพุทธ จะขาดเมตตา จะขาดศิลปะในการสอน อ้างในนามแห่งความดี ติดดี เพ่งโทษ พิพากษาคนอื่น ฯลฯ ได้ทำให้ เยาวชนไทย มากมาย ทอดทิ้งศาสนา ไปมากมาย

หาก จะสอนลูกหลาน เรื่อง หนทางพุทธ ผมว่า พ่อแม่ ควร ค้นพบ ความจริงในตนเอง ควรมีสติ และ มี ศาสตร์ "learn how to learn" เสียก่อนจะดีกว่านะ

จิตใจที่มืดดำ เครียด เกร็ง ฯลฯ ของพ่อแม่ ที่พยายาม "เพ่งโทษ" ใช้ ในนามแห่งความดี ในนามแห่งพ่อแม่ ในนามแห่งความหวังดี (บนฐานของความกลัว) ฉัน ขอ ประนามลูกว่า "แกไม่สนใจศาสนา" "แก ไม่เข้าวัด" ฯลฯ

ครอบครัว ที่ไม่ Dialogue ไม่ใช้ Collective conversation ก็จะเกิดเรื่อง คาใจ เคืองใจ เอา ศาสนาไปทำร้ายซึ่งกันและกัน อย่างที่เราเห็น ในสังคมไทยได้เรื่อยๆ บ่อยๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท