บทสนทนาพระเซน-พระคาทอลิค การภาวนา-การต่อต้าน ตอนที่ 3


หนึ่งบทสนทนา ระหว่างหนึ่งพระเซน กับหนึ่งพระคาทอลิค ด้วยเรื่องราวแห่งสันติ ด้วยความหมายแห่งอหิงสา เพื่อก้าวพ้นความรุนแรงแห่งยุคสมัย

การภาวนาและการต่อต้าน

บทสนทนาช่วงที่ 3  

บทแปลความ ข้อความสนทนา ระหว่างหนึ่งอาจารย์เซน กับหนึ่งบาทหลวงคาทอลิค ด้วยเรื่องราวแห่งสันติ ด้วยความหมายแห่งอหิงสา เพื่อก้าวพ้นความรุนแรงแห่งยุคสมัย  

วิศิษฐ์ วังวิญญู

แปลคัดจากเรื่อง Contemplation and Resistance

ในนิตยสาร ชื่อ Win 

บทสนทนาช่วงที่ 3 

ข้างล่างนี้เป็นบันทึกคำสนทนาที่ปารีส ๔ มกราคม ๒๕๑๖ ระหว่างติช นัท ฮันห์ กับแดน เบอริแกน คนหนึ่งเป็นอาจารย์เซ็น อีกคนหนึ่งเป็นบาทหลวงคาทอลิค อันเป็นที่รู้จักกันดีในการเผารายชื่อผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร และเป็นผู้ไม่ยอมรายงานตัวต่อการจำคุกตรงตามหมายกำหนด          

ในเวลานั้น พอดีกับสหรัฐอเมริกากำลังฉลองคริสต์มาส อยู่ด้วยการทิ้งระเบิดคุกคามชาวเวียดนาม การหยุดยิงที่มีความหวังว่าจะคงไว้หลายเดือน กลับแตกกระจุยดุจเดียวกับโรงพยาบาลบาชมายในฮานอย แดนมาถึงปารีสได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดี หลังจากที่น้องชายของเขาได้รับการปลดปล่อยออกจากคุก และหลังจากการไปเป็นประจักษ์พยานต่อการก่อสงครามครั้งใหม่ ที่บันไดของโบสถ์นักบุญแฟททริกคาทีคัล ในนิวยอร์ค (คาร์ดินาล ไม่อยู่ไปเยี่ยมกองทัพทหาร)           ด้วยการเป็นกวี อันมีความผูกพันอยู่กับอหิงสาธรรม ท่านทั้งสองจึงได้รู้จักกันมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่การจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พูดคุยกันและหุงหาอาหารด้วยกัน ในเวลาวิกฤตเช่นนี้ ย่อมเป็นเวลาอันจะอำนวยให้เกิดความเข้าใจและความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ และคิดว่าการใช้เครื่องบันทึกเสียงคงจะไม่ทำลายบรรยากาศอันมีสุขุมรสเช่นนี้ไปเสีย          

ในบทสนทนานี้ มีหลายตอนที่ขาดหายไป ไม่ใช่ถ้อยคำ หากเป็นความสงบเงียบระหว่างเขาทั้งสอง ระหว่างการเอ่ยนำของแดน กับการตอบรับของนัทฮันห์ครั้งแรกเป็นความเงียบได้ ๑๐ นาที ความเงียบสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงแผ่ว ๆ ของเครื่องบันทึกเสียงได้ และความเงียบในส่วนอื่น ๆ ของการสนทนา ทำให้ท่านทั้งสองเป็น เควกเกอร์ หรือ แทปฟิสต์ หรือผู้อยู่ในสายของการไม่ยึดติดนิกายใดได้อย่างสมภาคภูมิ 

 .... .... .... .... .... 

บทสนทนา ช่วงที่ 3 

นัท ฮันห์ : งานในการปลุกประชาชนให้ตื่นนี้ เป็นงานที่สำคัญ เพราะความสิ้นหวังเป็นอกุศล บางครั้งก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ใกล้ความสิ้นหวังมาก แต่ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง เมื่อแรกที่เราได้ยินข่าวเรื่องการทิ้งระเบิดที่เวียดนาม การทำลายฮานอย และโรงพยาบาล บาช มาย และเรื่องในทำนองนี้ ซึ่งทำให้เราหมดกำลังใจ หลังจากมีความหวังไว้มาก แล้วมากลับกลายในทันทีทันใด คุณเกิดความรู้สึกใกล้กับความสิ้นหวังมาก ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้คุณร้องให้ และต้องการจะหันไปว่าอเมริกาด้วยความโกรธว่า "คุณเป็นคนป่าเถื่อน" แต่เป็นสิ่งดีละหรือ เป็นสิ่งดีละหรือที่จะพูดในเวลาโกรธ สิ่งนี้ไม่ใช่การกระทำที่จะก่อให้เกิดประโยชน์อันใดเลย แต่สิ่งที่เหมาะสมที่ที่สุดก็คือ การเขียนไปถึงเพื่อนที่นั่น บอกว่า "เรากำลังเป็นทุกข์ เราร้องไห้อยู่" นั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่าเราสามารถทำได้ในสถานการณ์เช่นนั้น สำคัญกว่าการร่วมกันลงนามประณามการทิ้งระเบิดด้วยซ้ำไป แต่สิ่งนี้ก็ควรกระทำด้วยเหมือนกัน แม้จะได้กระทำในสิ่งที่คล้าย ๆ กันนี้มาหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตาม แต่อย่างที่คุณพูด เราไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองหมดกำลังใจได้ การหมดกำลังใจเป็นการสูญเสียอย่างยิ่งในชีวิตของเราและในขบวนการของเรา ดังนั้นเราจึงยืนหยัดที่จะเป็นปฏิปักษ์กับมันและกระทำการของเราต่อไปนี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้น 

จิม : แดนได้ชี้ให้เห็นว่า คนอเมริกันหลายคนในขบวนการได้ประสบกับความรู้สึกใกล้ความสิ้นหวัง และบางครั้งสิ่งที่ช่วยให้เราได้พ้นจากความสิ้นหวัง ก็คือการนึกถึงสภาพของประชาชนชาวเวียดนาม ตัวผมเองหลายครั้งที่นึกทบทวนประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่ผมมีกับคุณ ผมได้รับความหวังจากความพยายามของชาวเวียดนาม ในความหมายของความพยายามของชาวเวียดนามทั้งมวล แต่คุณล่ะคุณได้ความหวังมาจากไหน? 

นัท ฮันห์ : ก่อนที่ผมจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ผมจะพูดบางสิ่งบางอย่างอันเกี่ยวกับเพื่อนร่วมประเทศชาวเวียดนามเหนือเสียก่อน พวกเขาพูดอยู่เสมอว่า เขาพร้อมที่จะต่อสู้ต่อไป แต่แน่นอนเขาย่อมรู้สึกเหมือนพวกเรา เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก เขาเป็นมนุษย์ เขาปรารถนาให้สงครามยุติโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นเดียวกับเรา แต่ฐานะของเขา เขาจะต้องพูดเหมือนอย่างที่เขาเคยพูดมา ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะแลเห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเขา (มนุษย์สมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับเรา)           การที่ผมบอกเด็กหนุ่มว่าผมไม่หมดกำลังใจก็เป็นปัญหาเดียวกัน แน่นอนเรามีความหวัง เรามีความหวังตลอดเวลา เพราะว่าขณะใดที่คุณสูญเสียความหวังไปจนหมดสิ้น คุณก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดามาก คุณตายไป ตายไปเดี๋ยวนั้น คุณอาจฆ่าตัวเองหรือไม่ฆ่าตัวเอง แต่คุณตายไปเดี๋ยวนั้น นี่ก็สิบปีมาแล้วที่ผมมีความหวังมาตลอดเวลาว่าสงครามจะยุติภายในสองสามเดือนข้างหน้า ผมไม่เคยคิดเลยว่าสงครามจะยืดเยื้อต่อไปอีกเกิน ๖ เดือน เพราะว่าความคิดเช่นนั้นจะฆ่าผม ในสถานการณ์ที่ทุกข์ทรมานเช่นนั้น คุณอาจจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการหยุดยิง และการเจรจาตกลงที่เป็นไปได้ และคุณก็เชื่อมั่นด้วยแรงและกำลังทั้งหมดที่คุณมีอยู่ คุณพร้อมที่จะเชื่อข่าวลือที่ไร้สาระที่สุดเกี่ยวกับสันติภาพ           ผมจำการสนทนาครั้งหนึ่งที่ว่า บางทีอาจจะไม่มีความหวัง มันเป็นมายา บางทีเรากำลังยึดมายาอยู่เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้ บางทีเราควรจะถกเถียงกันว่า มีธรรมชาติที่แตกต่างกันระหว่างความหวังกับมายาอยู่ไหม ? เราปรารถนาสันติภาพ เราอยู่ในมายาเช่นนั้นหรือ ? และคนเหล่านั้นที่ทำสงคราม บางทีเขาอาจจะอยู่ในมายาด้วยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะให้สงครามเช่นนั้นแก่เราได้อย่างไร เขาคงต้องคิดว่าเขากำลังทำความดีบางอย่างอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ และความเชื่อของพวกเขาก็เหนียวแน่นมาก แม้เราจะตะเบ็งเสียงมาเป็นเวลา ๑๐ ปีแล้ว ก็ยังไม่พอ เขาไม่สามารถที่จะฟัง ที่จะเข้าใจ ดังนั้นปัญหาเรื่องมายาจงเป็นปัญหาของเราอีกอย่างหนึ่ง 

แดน : บางทีอาจจะไม่ต้องถึงขั้นที่จะต้องลากเส้นแบ่งระหว่างความหวังและมายาออกจากกันให้ชัดเจนก็ได้ บางทีเราต้องการแบ่งอย่างกว้าง ๆ เท่านั้น สำหรับมายาแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถนำให้คนอุทิศตนอย่างกล้าหาญให้แก่ประชาชนในระยะเวลาอันยาวนานได้เลย ในขณะที่การคบคนคนหนึ่งที่มีความหวังในชีวิต สิ่ง ๆ นี้จะเป็นไปได้ มีคำถามหลายอย่างในจำพวกนี้ แต่ผมไม่อยากแยกแยะให้จะแจ้ง เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ผมมีมายาอยู่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต มายาที่ไร้สาระ แต่บางทีก็ผสมผเสกับบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่เลวทีเดียวนัก ผมเลยรู้สึกว่า ดีแล้ว ลองดู           ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ว่าพวกที่ประกาศตนว่ามีอำนาจเหนือพวกเรา ถูกครอบงำอยู่ด้วยมายาประเภทหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดความตาย และเป็นความตายอย่างสิ้นเชิง มายาเกี่ยวกับอำนาจ ตัวตน เลือด ความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือผู้อื่น เชื้อชาตินิยม และความรุนแรง ส่วนผสมของความชั่วร้ายที่ผลิตเครื่องจักรออกมา แต่นั่นไม่เกี่ยวกับผมและเพื่อนของผม           ให้ผมยกตัวอย่างมายาที่ผมปฏิเสธที่จะเลิก ผมชอบมันมาก กล่าวคือเมื่อผมอยู่ในคุก ผมมีมายาอยู่ (ก่อนที่ผมจะเข้าคุก และมีมากขึ้นเมื่อเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว) อย่างหนึ่งว่า นิกายของผม นิกายเยซูอิตกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีมาก โดยเฉพาะกับคนหนุ่ม ๆ ผมคิดว่าพวกเขามีความตระหนักและมีความรู้สึกอ่อนไหวในเรื่องสงครามมากขึ้น เมื่อผมออกจากคุก ผมพบว่าแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย และผมพบว่ามีสมาชิกอีกเป็นเรือนร้อยที่ยังไม่เปลี่ยน           อีกเรื่องก็คือ ความแตกต่างระหว่างการอยู่ในครอบครัวกับการอยู่นอกครอบครัว เมื่อคุณอยู่ข้างนอก คุณสามารถตัดสินครอบครัวของคุณอย่างหักหาญ และบางทีก็ถูกต้องแม่นยำดีด้วย ผมไม่ทราบ แต่เมื่อคุณอยู่ในครอบครัว คุณจะรู้สึกต่างกันออกไปมาก คุณคิดว่ามายายังดีกว่าการหย่าร้าง ผมมีความคิดอีกอย่างหนึ่งด้วยว่า คนเรามักจะถูกครอบงำด้วยคำถามที่ว่า เราต้องการอะไรมากเกินไป แท้ที่จริงมีเพียงคำถามที่ว่าคุณจะไปที่ไหนเท่านั้น และก็ไม่มีสถานที่สักกี่แห่งนัก ที่จะให้เข้ากับประเพณีและภูมิหลังของตนเองได้ 

นัท ฮันห์ : ผมเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะมีประสบการณ์เช่นเดียวกัน ถ้าคุณตัดตัวเองออกจากบางสิ่งบางอย่าง เช่น ประเพณีหรือชุมชน ความหวังในสิ่งต่าง ๆ ก็จะสูญสิ้นไปในทันทีทันใด ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาของคำแต่อย่างใด แต่มันก็เป็นปัญหาของชีวิต และปัญหาที่จะอยู่ได้ทั้งข้างในข้างนอกพร้อม ๆ กัน เป็นความคิดที่วิเศษมาก อ้อ ไม่ใช่เป็นความคิด หากเป็นการดำเนินชีวิตไปในหนทางที่จะคงความเป็นตนเองไว้ และยังสามารถเชื่อมความเป็นตนเองส่วนนี้เข้ากับความเป็นตนเองส่วนอื่น 

แดน : นี่เป็นรูปแบบชีวิตส่วนใหญ่ของเมอตันเลยทีเดียว ข้างใน ข้างนอก เป็นผลได้ที่มั่งคั่งสำหรับเขาและผู้อื่น เขาเคยพูดว่า เขาจะไม่เป็นบาทหลวงอีกเป็นอันขาด แต่บัดนี้เขาก็ได้เป็นบาทหลวงอยู่แล้ว เขายังคงเป็นบาทหลวงต่อไปแน่นอน 

จิม : เป็นการเล่นซ่อนหากับประเพณี 

นัท ฮันห์ : อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบาทหลวงหรือไม่เป็นบาทหลวง นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่มรรควิธีที่คุณเป็นบาทหลวง หรือมรรควิธีที่คุณไม่เป็นบาทหลวง ผมคิดว่าถ้าเรารับเหตุการณ์ด้วยวิธีเช่นนั้น เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้            ในเมืองจีนมีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งเสียม้าไป เขาเศร้าโศกและร่ำไห้ แต่สองสามวันต่อมา ม้าของเขากลับมาด้วยพร้อมม้าอีกตัวหนึ่ง ชายคนนี้เลยมีความสุขมาก การสูญเสียของเขากลายเป็นโชคดี แต่วันต่อมา ลูกชายของเขาลองม้าตัวใหม่ ตกม้าขาหักไปข้างหนึ่ง ทีนี้ก็ไม่ใช่โชคดีแล้ว แต่เป็นโชคร้าย ดังนั้นเขาจึงปล่อยม้าอีกตัวหนึ่งไป แล้วพาลูกชายไปโรงพยาบาล และพอใจกับสิ่งที่เขามีอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดกันว่า ถ้าท่านต้อนรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยจิตใจที่สงบ ท่านจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์อันนำมาซึ่งความสุข นั่นไม่ใช่ผม แต่เป็นชาวจีน (เสียงหัวร่อ)   

หมายเลขบันทึก: 99725เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2007 19:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 18:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท