บทสนทนาพระเซน-พระคาทอลิค การภาวนา-การต่อต้าน ตอนที่ 2


หนึ่งบทสนทนา ระหว่างหนึ่งพระเซน กับหนึ่งพระคาทอลิค ด้วยเรื่องราวแห่งสันติ ด้วยความหมายแห่งอหิงสา เพื่อก้าวพ้นความรุนแรงแห่งยุคสมัย

การภาวนาและการต่อต้าน

บทสนทนาช่วงที่ 2  

บทแปลความ ข้อความสนทนา ระหว่างหนึ่งอาจารย์เซน กับหนึ่งบาทหลวงคาทอลิค ด้วยเรื่องราวแห่งสันติ ด้วยความหมายแห่งอหิงสา เพื่อก้าวพ้นความรุนแรงแห่งยุคสมัย  

วิศิษฐ์ วังวิญญู

แปลคัดจากเรื่อง Contemplation and Resistance

ในนิตยสาร ชื่อ Win 

บทสนทนาช่วงที่ 2 

ข้างล่างนี้เป็นบันทึกคำสนทนาที่ปารีส ๔ มกราคม ๒๕๑๖ ระหว่างติช นัท ฮันห์ กับแดน เบอริแกน คนหนึ่งเป็นอาจารย์เซ็น อีกคนหนึ่งเป็นบาทหลวงคาทอลิค อันเป็นที่รู้จักกันดีในการเผารายชื่อผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร และเป็นผู้ไม่ยอมรายงานตัวต่อการจำคุกตรงตามหมายกำหนด          

ในเวลานั้น พอดีกับสหรัฐอเมริกากำลังฉลองคริสต์มาส อยู่ด้วยการทิ้งระเบิดคุกคามชาวเวียดนาม การหยุดยิงที่มีความหวังว่าจะคงไว้หลายเดือน กลับแตกกระจุยดุจเดียวกับโรงพยาบาลบาชมายในฮานอย แดนมาถึงปารีสได้ไม่ถึงสองอาทิตย์ดี หลังจากที่น้องชายของเขาได้รับการปลดปล่อยออกจากคุก และหลังจากการไปเป็นประจักษ์พยานต่อการก่อสงครามครั้งใหม่ ที่บันไดของโบสถ์นักบุญแฟททริกคาทีคัล ในนิวยอร์ค (คาร์ดินาล ไม่อยู่ไปเยี่ยมกองทัพทหาร)           ด้วยการเป็นกวี อันมีความผูกพันอยู่กับอหิงสาธรรม ท่านทั้งสองจึงได้รู้จักกันมาเป็นเวลานานพอสมควร แต่การจะได้มาอยู่ใกล้ชิดกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พูดคุยกันและหุงหาอาหารด้วยกัน ในเวลาวิกฤตเช่นนี้ ย่อมเป็นเวลาอันจะอำนวยให้เกิดความเข้าใจและความใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ และคิดว่าการใช้เครื่องบันทึกเสียงคงจะไม่ทำลายบรรยากาศอันมีสุขุมรสเช่นนี้ไปเสีย          

ในบทสนทนานี้ มีหลายตอนที่ขาดหายไป ไม่ใช่ถ้อยคำ หากเป็นความสงบเงียบระหว่างเขาทั้งสอง ระหว่างการเอ่ยนำของแดน กับการตอบรับของนัทฮันห์ครั้งแรกเป็นความเงียบได้ ๑๐ นาที ความเงียบสนิท จนกระทั่งได้ยินเสียงแผ่ว ๆ ของเครื่องบันทึกเสียงได้ และความเงียบในส่วนอื่น ๆ ของการสนทนา ทำให้ท่านทั้งสองเป็น เควกเกอร์ หรือ แทปฟิสต์ หรือผู้อยู่ในสายของการไม่ยึดติดนิกายใดได้อย่างสมภาคภูมิ 

 .... .... .... .... .... 

บทสนทนา ช่วงที่ 2 

แดน : ผมเคยคิดว่าการเขียนบทกวีและอ่านบทกวีในคุกร่วมกันเป็นการต่อต้านอย่างหนึ่ง พวกเขาพยายามทำให้ทุกคนไม่มีทางที่จะรู้สึกว่า สิ่งต่าง ๆ ธรรมชาติและตัวเองดีไปได้เลย แปลกมาก แต่เราหาทางที่จะแสดงให้เห็นความจริงว่า คนเราเจริญพัฒนาขึ้นในคุกได้ ในวันอาทิตย์เราจะชุมนุมกันอ่านบทกวี ที่เราได้เขียนขึ้นหรือได้อ่านพบในตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา คนคุกส่วนมากไม่เข้าใจว่า "ใครจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร" "ทำไมพวกเขาถึงได้โง่นัก" เพราะว่าทุกคนเศร้าและหม่นหมอง พิไรรำพัน วนเวียนอยู่ในถ้ำแห่งความเศร้าส่วนตัวเล็ก ๆ มากเกินไป และเราอยู่ที่นี่ กำลังอ่านบทกวี เป็นการพูดได้อย่างลึกซึ้งว่า เราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาเข้าใจ และเราไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขากำลังพยายามทำให้เราเป็น เรากำลังเดินไปในทางของเรา เรามีชุมชนของเรา เรามีบางสิ่งบางอย่างเหลืออยู่ที่จะให้ซึ่งกันและกัน และมีทางตั้งร้อยทางที่จะประกาศให้สิ่งนี้เป็นที่รู้กันได้ แต่เมื่อผมออกจากคุกมาแล้ว ผมเห็นว่าสิ่งที่สำคัญก็คือ เราจะต้องรู้ว่าการต่อสู้ยังคงจะต้องมีอยู่ เพราะชีวิตข้างนอกเป็นชีวิตที่เหี่ยวแห้งด้วยเช่นกัน ไม่มีกวีรส หรือการมอบของขวัญอันใดให้แก่ผู้อื่น และสิ่งนี้จะไม่มีวันสิ้นสุด ดังนั้นการมองดูเมฆจึงเป็นการต่อต้านอีกทางหนึ่ง 

นัท ฮันห์ : เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อนชาวเวียดนามของเราพูดคุยกันถึงเรื่องความตายของ ติช ทัน วัน อธิการของกลุ่มหนุ่มสาวเพื่อบริการสังคมในเวียดนาม ซึ่งถูกฆ่าตายในระหว่างปฏิบัติการ คุณรู้ไหมว่าเพื่อนของผมเขามีความเห็นในเรื่องที่ว่า ติช ทัน วัน ตายแล้วจะเป็นอย่างไรต่างกันออกไป คนหนึ่งก็พูดว่า "ก็เขาได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นเวลานาน และได้กระทำการอย่างดีที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของเขาต่อมนุษย์ผู้อื่น ดังนั้นผมจึงหวังว่าเขาจะได้ไปอยู่ในดินแดนของพระพุทธเจ้าและมีดอกไม้" ผมคิดว่านั่นก็เป็นภาพพจน์ที่สวยดี แต่เพื่อนอีกคนหนึ่งไม่เห็นด้วย เขาพูดว่า "ผมไม่คิดว่า ติช ทัน วัน จะมีความสุขอยู่กับการนั่งบนดอกบัวใกล้พระพุทธเจ้า ผมคิดว่าเขาจะกลับมาที่นี่ ดินแดนแห่งนี้ เพื่อที่จะได้ทำงานต่อไป"           ในศาสนาพุทธ เราพูดกันถึงการกลับชาติมาเกิด แต่ข้อคิดเห็นอันนี้เป็นลักษณะกวีนิพนธ์มากกว่าเทววิทยา เพื่อนอีกคนกล่าวว่า ติช ทัน วัน ไม่เป็นแต่เพียงหนึ่ง เขาไม่ใช่หนึ่ง และไม่ใช่จำนวนหลาย ไม่ใช่หนึ่ง หรือสองหรือสาม เขาจะกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้ แต่ไม่ใช่อยู่ในรูปของบุคคลคนหนึ่ง เขาอาจจะกลับมาในร่างของต้นไม้ ซึ่งขึ้นมาท่ามกลางเนื้อดินที่ถูกทำลาย โดยไม่ยี่หระกับพิษอันเกิดจากสารเคมี เขาอาจจะเป็นนก เขาอาจจะปรากฎอยู่ที่นี่ ระหว่างพวกเราในขณะนี้           ดังนี้แหละที่การพูดคุยถึงเรื่องการกลับมาของ ติช ทัน วัน ดำเนินต่อเนื่องไป จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก            ผมเป็นครูของ ติช ทัน วัน เมื่อเขายังอายุน้อย เด็กหนุ่มที่เคยเป็นนักเรียนของผมหลายคนได้สูญเสียชีวิตในสงครามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่ผมยังอยู่ที่นี่มีชีวิตอยู่ พวกเขาตายในขณะที่มีอายุ ๒๐,๒๕,๒๘ และผมอายุได้ ๔๖ ผมยังอยู่ที่นี่มีชีวิตอยู่ดูคล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลสำหรับผม           วันหนึ่งผมนั่งรถใต้ดินไปทำงานในปารีส ผมเอามือสัมผัสที่นั่งของรถไต้ดินโดยเร็ว เพื่อดูว่ามันเป็นของจริง ผมทำไปโดยไม่รู้ตัว ผมสัมผัสและลูบคลำมัน เพื่อจะให้แน่ใจว่ามันแข็ง และเป็นของจริง และมันก็แข็ง และรู้ว่าเป็นไม้ ใช้ได้ แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นของจริง ผมว่าในขณะนั้นผมไม่มีชีวิตอยู่ เพราะผมไม่ได้รับรู้ความจริง พอตกกลางคืนผมหวนกลับมาคิดเรื่องนี้อีก และจำได้ว่าในตอนเช้า ผมได้ดูรูปจากหนังสือพิมพ์ เฮราลด์ ทริบูน เด็กหนุ่มเวียดนามนอนตายอยู่เคียงข้างกัน เด็กหนุ่มเวียดนามจากทั้งสองค่าย มีอายุราว ๑๕-๑๖ ปี และรูปถ่ายแสดงให้เห็นว่าพวกเขานอนอยู่อย่างสงบเงียบ ใกล้ชิดกันไม่มีการทะเลาะ ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีเสียงรบกวน เงียบกริบ นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น และถามตัวเองว่า เด็กหนุ่มเหล่านี้เคยเห็นหรือยังว่าชีวิตนั้นเป็นอย่างไร เขามีความสามารถที่จะรู้ความจริงได้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่นั่น ในชีวิตนี้ ความรู้สึกได้ว่ามีชีวิตอยู่หรือไม่ ผมคิดถึงตัวเอง หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าสูญเสียตัวเองไปในชีวิต ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่จริง ๆ แต่แล้วผมก็มีโอกาส (ด้วยการนั่งสมาธิ) ที่จะเข้าใจถึงสิ่งเหล่านี้           คนเหล่านี้จะรู้ได้อย่างไรว่า เขาเคยมีชีวิตอยู่ครั้งหนึ่งเมื่ออายุได้ ๑๔ หรือ ๑๕ ปี นั่นชักนำให้ผมลองสัมผัสที่นั่งในรถใต้ดิน           ผมสารภาพว่า ถ้าผมคิดเกี่ยวกับเวียดนามมากเกินไ ป ผมจะตายไป ผมทนไม่ได้ ผมหมายความว่า ผมไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่เผชิญความจริงตลอด ๒๔ ชั่วโมงได้ 

แดน : นี่คือพวกเรา แม้จะมีระดับต่างกันไป ก่อนที่ผมจะมาปารีส เราเสียเพื่อนไปคนหนึ่งชื่อ แรบบี เฮสเชล ผู้ร่วมด้วยกับเรามาตั้งแต่ต้น เขากำลังจะไปพบผมและฟิลิป เรื่องเกี่ยวกับการเดินทางไปหาสันตปาปาเพื่อถามคำถามเรื่องสงคราม ชั่วโมงหนึ่งก่อนหน้าที่เราจะได้พบกัน ลูกสาวของเขาโทรศัพท์มาและบอกว่า พวกเขาพึ่งพบว่าพ่อของเขาถึงแก่กรรมเสียแล้ว ผมรีบไปที่นั่นและพบว่าเขานอนหลับอยู่ที่นั่นด้วยอาการสงบ ผมคิดว่าการตายของเขาเป็นการตายที่สูงส่ง เพราะว่าความหมายทางจิตใจของการตายของเขาก็คือ การตายของนักรบแห่งสันติสุข ไม่ใช่การตายของนักรบแห่งสงคราม และเพราะเขาตายเพราะความทุกข์ทรมานทางใจ เขาตายเพราะความเศร้าโศกอย่างใหญ่หลวง ซึ่งผมคิดว่าก็จะมีแต่เฉพาะชาวยิวที่เคร่งศาสนาเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้ จะต้องเป็นคนที่สวดและมีความเชื่ออย่างลึกซึ้ง เมื่อผมออกจากคุกมาตอนนั้น เราได้มีการแลกเปลี่ยนศรัทธาในสันติสุขเป็นพิเศษ งานครั้งสุดท้ายของเราคือการต้อนรับการออกจากคุกของฟิลิป เขาเดินทางเป็นระยะทางไกล แม้ว่าเขาจะป่วยมาก ผมคิดว่าคงจะมีคนน้อยคนในประเทศนี้ ที่จะมีอภิสิทธิ์ด้วยการตายในฐานะผู้ทำงานเพื่อสันติสุข มีวิธีตายที่ร้ายกว่าการตายแบบของเขาเป็นอันมาก เพราะผมคิดว่า เขาคงเป็นคนหนึ่งที่รู้ว่า (ดังที่คุณพูดว่า) การมีชีวิตอยู่คืออะไร เป็นเรื่องกลับกันที่แปลกมาก ผมคิดว่า เขารู้ดีว่าการมีชีวิตอยู่คืออะไร ด้วยการตายของเขา เขาตายด้วยความรู้สึกแห่งชีวิต และนั่นเป็นการต่อต้านด้วย 

นัท ฮันห์ : สิ่งหนึ่งที่ผมคิดอยู่มากก็คือประสิทธิภาพของการกระทำของอหิงสธรรม บางทีน่าจะมีการศึกษาปัญหาที่ว่า การกระทำเพียงหนึ่งเดียว สามารถมามีผลก็ต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ๒,๐๐๐ ปี ได้อย่างไร ในเวลาที่พระเยซูมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครสามารถทำนายผลที่จะมีตามมาในศตวรรษษที่ ๒๐ ได้เลย คนหลายคนกล่าวโทษเขา และเข้าใจเขาผิดในเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควร (ในเรื่องประสิทธิภาพ) ที่จะมีการมองในแง่มุมต่าง ๆ ด้วยการศึกษา ด้วยการปฏิบัติสมาธิ และด้วยวิธีการอื่น ๆ เพื่อจะแสดงต่อเพื่อนของเราว่า การกระทำของเราจะให้ผลเสมอ สำหรับตัวผม ผมมีความเชื่อว่าจะไม่มีการกระทำอันใดที่จะไม่เกิดผลในอนาคตเลยแม้แต่อันเดียว และเห็นเช่นเดียวกันใน "ชีวิตอหิงสา" (ผมเกือบจะใช้คำว่าขบวนการ แต่คำว่าขบวนการเล็กกว่าชีวิต) หลายครั้งในชีวิตอหิงสาของเรา ผมเสียกำลังใจ ผมต้องสารภาพ แต่เมื่อผลของการกระทำของบุคคลปรากฏชัดขึ้น ผมมีกำลังใจขึ้นมาอีก ผมคิดว่าพวกเราทุกคนมีประสบการณ์เช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชื่อว่า ถ้าพวกเราแต่ละคนมีความเชื่อเช่นนี้ (ว่าการกระทำอันใดก็ตาม ในทิศทางที่ถูกต้อง และมีรากฐานอยู่บนความเป็นมนุษย์จะต้องเกิดผล) ผมคิดว่าเราจะมีความอดทน ความมั่นคง และการยืนหยัดที่จะเดินทางต่อไปในชีวิตอหิงสา (ขบวนการอหิงสาของเรา)           เป็นการง่ายที่จะพูด แต่ไม่ง่ายเลยที่จะปฏิบัติ และเราต้องการ (ต้องการมากทีเดียว) แรงสนับสนุนจากเพื่อนของเรา แม้แต่จะมีคนเดียวก็ตามในยามยาก เวลาคนหนุ่มเขามาถามเราว่า เรามีความหวังกับสันติวิธีนี้แค่ไหน คุณไม่สามารถบอกกับเขาได้ว่า คุณหมดกำลังใจเสียแล้วโดยสิ้นเชิง นั่นจะเป็นการฆ่าเขา ดังนั้นคุณจะต้องพูดอย่างกับว่าคุณโกหกเขา คุณพูดว่า "อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ผมเองยังไม่หมดกำลังใจเลย" นั่นเป็นการโกหกแน่ ๆ เป็นการโกหกโดยแท้ แต่คุณถูกบีบโดยสถานการณ์ให้พูดเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อเขามีความผูกพันกับคุณในฐานะเพื่อนสนิทหรือผู้ใหญ่ที่เขาเคารพรัก 

แดน : คำถามอันหนึ่งทุกวันนี้ในสหรัฐอเมริกา ในระหว่างคนดี ๆ ด้วยกันก็คือ "เราจะสามารถทำอะไรได้ เราจะไปที่ไหน เราจะเลือกสรรสิ่งต่าง ๆ อย่างไร เราะเคลื่อนที่ไปได้อย่างไร" คำถามที่ไม่ถามกันจะเป็นคำถามเรื่องความกดดัน และการหมดกำลังใจ และบางครั้งคุณไม่สามารถพูดอะไรเลย ด้วยการตอบคำถาม คุณไม่สามารถพูดว่า เราควรทำสิ่งนี้ เราไม่ควรทำสิ่งนั้น นั่นไม่ใช่คำถาม เพราะไม่ช่วยเราให้ไปไหนได้เลย เราได้เคยลองแบบนี้กันแล้ว ผมพบว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวของชาวเวียดนามให้ฟัง คนหนึ่งพูดขึ้นว่า "เอาละ ผมไม่รู้ว่าใครจะทำอะไรได้บ้าง ผมมานี่ไม่ได้มาแนะนำวิธีการ แต่ผมอยากจะเสนอว่า ตราบใดที่ชาวเวียดนามยังดำเนินงานต่อไป เราก็จะดำเนินงานต่อไป ถ้าพวกเขาทนทุกข์ทรมาน พวกเราก็จะสามารถทนทุกข์ทรมานด้วยเล็กน้อย (ซึ่งไม่สามารถเทียบกับความทุกข์ทรมานของพวกเขาได้เลย และในวิถีทางเช่นนั้น คุณอาจจะมีทัศนคติที่ดีขึ้นก็ได้) เพื่อประชาชน"           คุณรู้ไหมว่านี่เป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังน้อยอยู่มาก มันเป็นสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้ไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ผมมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เป็นสิ่งสำคัญที่จะให้คนเราได้ผ่านสถานการณ์ที่ร้ายกาจบางประการ เช่นการถูกจำคุกหรือสิ่งอื่นใดก็ได้ (เขาจะได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เขาสามารถทนได้) และความยุ่งยากเล็กน้อยข้างหน้าเป็นสิ่งที่เขาสามารถทนได้ เราจะต้องแสดงความมั่นคงของจิตใจที่คุณพูดถึงให้เห็น และบางทีอาจจะต้องหักหาญเอากับบางคนโดยพูดว่า "คุณไม่เคยคิดเลยบ้างหรือว่า ความสิ่นหวังของคุณนั้น เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น เป็นสิ่งที่กันเราออกจากการปฏิบัติงานจริง ๆ พวกเราบางคนไม่มีเวลาสำหรับมัน และระเบียบวินัยของเราห้ามไว้"           คนมักจะไม่ค่อยพอใจ แต่ผมคิดว่าสำหรับพวกเราแล้ว (นี่ไม่ใช่การพูดให้แก่ชาวเวียดนามเลยแม้แต่น้อย) มันจะเป็นการตามใจตัวเองมากเกินไปที่จะมัวมาพูดแต่ความสิ้นหวัง คนที่ผ่านมามากแล้วจะไม่พูดเช่นนั้น จะมีแต่คนที่พึ่งผ่านมาได้นิดหน่อยเท่านั้นที่จะพูด ตามปรกติแล้วคนที่เคยผ่านอะไรบางสิ่งบางอย่างในสหรัฐอเมริกาแล้ว มักจะไปได้ดีซึ่งไม่ใช่จะพูดว่าประเทศของคุณไม่มีเวลาวิกฤตกาลเลย แต่เป็นการวิเคราะห์เรื่องของคนที่ไม่เคยได้ตระหนักถึงสันติสุขและสภาวะบ้านเมืองที่ปรกติสุข เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เขาคิดว่าการสิ้นสุดของสงครามก็คือการได้มาในสิ่งที่เขาเคยมีอยู่ และความหมายของสงครามก็มีค่าแต่เฉพาะการมาขัดจังหวะต่อความเป็นอยู่ดี และความสะดวกสบายที่เคยได้รับเท่านั้น ไม่ใช่การที่ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานและจะต้องตาย แต่เป็นการมาขัดจังหวะชีวิตสุขสบายที่มีอยู่เดิม           บางสิ่งบางอย่างมาขัดจังหวะชีวิตที่สุขสบายของเขา ความสำเร็จของเขา และความสะดวกสบายที่ไม่เคยโดนขัดจังหวะมาก่อน การที่จะช่วยให้พวกเขาได้รู้ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น จะต้องใช้เวลานาน เช่นเดียวกับประชาชนนับพันที่ผ่านเราไปในถนนสายที่ ๕ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว นับเป็นการกระทำความยุ่งยากให้แก่พวกเขา ในการที่เราไปยืนอยู่ที่บันไดโบสถ์ของนักบุญแพททริก คาทีดัล แบกป้ายที่เขียนไว้ว่า "มันเป็นอาชญากรรมที่จะนิ่งเงียบในเวลาเช่นนี้" สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่มาขัดจังหวะการไปหาซื้อของ ความฝันของเขา มายาภาพเกี่ยวกับชีวิตของเขา ความสุขสบายของพวกเขา และเรื่องอื่น ๆ คุณสามารถเห็นได้ว่า ความโกรธของเขาไม่ได้อยู่ที่สงคราม แต่อยู่ที่พวกเราที่ยืนอยู่ที่นั่น           แต่เราคิดว่าการยืนอยู่ที่นั่นเป็นการกระทำอันเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่คุณทำ คุณทำบางสิ่งบางอย่างแล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนในการกระทำนั้น ๆ  

หมายเลขบันทึก: 99723เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2007 19:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 21:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท