ความจริง, คือวิธีการ (How), ในระบบชีวิตของชาวพุทธนั่นเอง จึงมีฐานะเป็น เทคโนโลยี และ ไม่ใช่ นวัตกรรม ตามความหมายที่กล่าวแล้วข้างต้น ตรงนี้คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญเพราะคนมักคิดแยกเอาธรรมะออกจากระบบทาง
พูดไปพูดมาท่านผู้รู้ทั้งหลายทั้งไทยและเทศต่างก็ยอมรับว่าคำสอนของพระพุทธองค์ล้วนเป็น
วิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้ทั้งสิ้น ฟังแล้วก็งง
แล้วไฉนธรรมะของพระพุทธองค์จึงจะเป็นยิ่งกว่าเทคโนโลยี
ลองพิจารนาเรื่องอริยสัจ ๔ เปรียบเทียบกับ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดูก็ได้
เพราะต่างก็เป็นวิธีคิดด้วยกัน ต่างแต่ว่าอริยสัจ ๔
เป็นของตะวันออก วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นของตะวันตก
และดูให้ดีๆอันไหน น่าจะเป็นหลัก
อันไหนค่อนไปทางเป็นคำอธิบาย
อริยสัจ ๔
|
วิธีการทางวิทยาศาสตร
|
ทุกข์
ต้องกำหนดร
|
ปัญหา
ต้องกำหนดให้ชัดเจน
|
สมุทัย
ต้องละ
|
สมมุติฐาน
ต้องกำหนดให้สอดคล้องกับปัญหา
|
นิโรธ
ต้องทำให้แจ้ง
|
รวบรวมข้อมูล ต้องทำให้ครบถ้วนถูกต้องเพียงพอ
|
มรรค
ต้องเจริญ (ทำให้เกิดขึ้น)
|
วิเคราะห์ข้อมูล ต้องถี่ถ้วนเชื่อถือได้
|
|
สรุป นำผลการศึกษาไปทดลองใช้
|
ตัวอย่างในภาพวิดีโอเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องอย่าเอาอย่าง
จะเห็นว่าอริยสัจ ๔ มี ๔ ขั้นตอนระบุชัดจากผล
(ทุกข์) - เหตุ (สมุทัย)
ผล (นิโรธ) - เหตุ (มรรค) สม
กับที่กล่าวว่าผลทั้งหลายเกิดมาแต่เหตุ
จะเกิดขึ้นลอยๆไม่ได้
ด้านวิธีการวิทยาศาสตร์ก็เริ่มจากเหตุ (ปัญหา -
ทุกข์)เหมือนกัน แต่พอมาถึงสมมุติฐาน (ผล)
ก็เป็นผลที่สมมุติขึ้น
เพียงเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเท่านั้น ขั้นที่สามคือ
การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนถูกต้องแลเพียงพอ
เพื่อนำไปสู่ขั้นที่ ๔ การวิเคราะห์ข้อมูล
ซึ่งทั้งสองขั้นนี้สำคัญมาก ถ้าได้ข้อมูลมาไม่ถูกต้อง
ไม่ครบถ้วนเพียงพอก็ดี
ใช้วิธีการวิเคราะห์ไม่ดีพอก็ดี การสรุปผลในขั้นที่
๕ ก็จะเชื่อถือไม่ได้ด้วย หรือเมื่อข้อมูลในขั้นที่
๓ เปลี่ยนแปลงไป
ผลการดำเนินการในขั้นที่ ๔ - ๕
ย่อมใช้ไม่ได้ด้วย และโดยธรรมชาติที่แท้จริงการเลื่อนไหล
คืบเคลื่อน การ
เปลี่ยนแปลง ของข้อมูลย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่
และดับไปตามกฎของไตรลักษณ์อยู่แล้ว
ฉะนั้นผลสรุปความรู้ในทางวิทยาศาสตร์
จึงมักจะถูกล้มล้างด้วยทฤษฎีใหม่ๆอยู่เสมอ
อริยสัจ ๔
บุคคลทั่วไปนำไปใช้ในกิจการต่างๆอย่างกว้างขวางมากมาย
ในวงการศึกษาและทางราชการใช้ในการเขียนโครงการ
ต่างๆมากที่สุด
โดยที่ผู้เขียนโครงการนั้นๆมักจะไม่รู้ว่ารูปแบบของโครงการที่ตนเขียนต้องเขียนตาม
แบบอริยสัจ ๔
เลยก็ได้ ฉะนั้นถ้าเอาโครงการทางการศึกษา
หรือโครงการของทางราชการมาวิเคราะห์ตามหลักอริยสัจ ๔
จะเห็นว่ามี
ข้อที่ไม่สมเหตุ - ผล
อยู่มาก
เพราะผู้เขียนโครงการไม่เข้าใจว่าตนต้องเขียนโครงการนั้นตามหลักของอริยสัจ
๔
ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง
ผู้เขียนโครงการเป็นเพียงเจ้าหน้าที่
ไม่ใช่ผู้บริหารเจ้าของงาน จึงเขียนโครงการ
ตามรูปแบบ ฝรั่งสอนมาอย่างไร
ก็ทำตามแบบเขาก็แล้วกัน โครงการมักจะสำเร็จด้วยดีเสมอ
เพียงแค่ผู้มีอำนาจอนุมัติ
โครงการเท่านั้น
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ใช้เพียงสามัญสำนึกในการทำงานที่คิดว่าเป็นงานของโครงการนั้นๆ
จุดที่บกพร่องมากที่สุดของโครงการของทางราชการเริ่มจากขั้นหลักการและเหตุผลเลยทีเดียว
แทนที่ขั้นนี้จะระบุ ทุกข์
หรือปัญหาและสมุทัย
หรือสาเหตุของทุกข์/ปัญหา ให้ถูกต้องชัดเจน
เป็นจริง เท่ากับความจริงแล้ว
ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เขียนโครงการจะยกเมฆ เพ้อฝันเอาเอง
ซึ่งไม่ใช่ความจริงที่จะต้องแก้ไขให้หมดไปแต่อย่างใด
ข้อบกพร่องข้อที่สองคือ
การกำหนดความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์
แท้ที่จริงขั้นนี้เป็นขั้น นิโรธ
เป็นผลที่ต้องการที่จำเป็นต้องกำหนดให้ชัดซึ่งตรงกับคำว่า
“ต้องทำให้แจ้ง” ว่าต้องการผลอะไร เท่าใด
มีมาตรฐานแค่ไหน ซึ่งผลนี้ต้องเท่าๆกับ
ทุกข์หรือปัญหา
ในขั้นหลักการและเหตุผลข้างต้นนั่นเอง
แต่โครงการของทางราชการมักจะกำหนดความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์มาก
มายหลายข้อ จนเกินเหตุ
พูดตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า “โม้”
เพื่อจูงใจให้ดูขลังไปอย่างนั้นเอง โดยลืมไปว่า
ความ
มุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์
นี้คือผลที่จะต้องได้มาจาก มรรค
หรือวิธีการที่จะให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ในข้อ
วิธี
ดำเนินการ นั่นเอง
เกี่ยวเนื่องเป็นเหตุเป็นผลที่พอดีกันอย่างเป็นลูกโซ่ตลอดสาย
พอมาถึงขั้นตอนนี้ โดยเฉพาะใน
งานวิจัยต่างๆ
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ สามารถนำมาใช้เสริม
วิธีอริยสัจ ๔
ให้ชัดเจนและเป็นระบบระเบียบที่เชื่อถือได้ยิ่งขึ้น
แต่ไม่ค่อยใช้กันเพราะมัวแต่ไปยึดมั่นถือมั่นว่า
“วิธีใครวิธีมัน” อย่างหนึ่ง
วิธีที่ตัวนับถือดีกว่าวิธีอื่นอย่างหนึ่ง
และสุดท้ายมักจะคิดว่าความคิดของตะวันตกเข้ากับความคิดทางตะวันออกไม่ได้
เป็นซะอย่างนี้ก็มี
อย่างไรก็ตามหลังจากขั้นตอนที่เรียกว่า “วิธีดำเนินการ”
เช่น ใช้สถานที่ที่ไหน ใช้เวลานานเท่าไร
ใช้งบประมาณอย่างไรเท่าใด วัดผลสำเร็จได้โดยวิธีใด
ใครรับผิดชอบ และผลที่คาดว่าจะได้รับจะเป็นอย่างไร
ตามรูปแบบของโครงการที่เคย
เขียนกันมา
ล้วนอยู่ในขั้นตอนของ “มรรคหรือวิธีดำเนินการ”
ทั้งนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาสกล่าวว่า
ถ้าคิดและปฎิบัติตาม “อริยสัจ ๔”
นี้ได้ถูกต้องจริงจัง
ก็รับประกันได้ว่าจะได้รับความสำเร็จอย่างแน่นอน
และเป็นวิธีการที่สมบูรณ์แบบที่สุด จนไม่มีผู้ใดไม่ยอมรับ
หรือโต้แย้งได้ จึงถือได้ว่า “อริยสัจ ๔”
เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำค่าอยู่คู่สังคมไทยมาแล้วอย่างช้านาน...