ต่อจาก ฟีดแบ็ค ให้อย่างไรจึงได้ผล . . .
ความขัดแย้ง
การใช้เอ็นเนียแกรมผสมผสานกับหลักการให้ฟีดแบ็คยังช่วยในการจัดการความขัดแย้งได้ด้วย ความขัดแย้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในการทำงาน และก็เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเครียดมากที่สุดในการทำงาน คนส่วนมากไม่ชอบความขัดแย้งและไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันให้ดีได้อย่างไร พวกเขาจึงมักหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า หรือค่อยหันมาจัดการเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น นั่นอาจหมายความว่า ความขัดแย้งจะได้รับการเหลี่ยวแลก็ต่อเมื่อคนที่เกี่ยวข้องรู้สึกเดือดร้อนแล้วเท่านั้น
แม้ว่าจะมีหลายปัจจัยในองค์กรที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา แต่บุคลิกภาพมักจะมีส่วนสำคัญในการเกิดความขัดแย้งนี้และการแก้ไข ความเข้าใจในเรื่องเอ็นเนียแกรมสามารถทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่อไปนี้
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal" align="center">โมเดลความขัดแย้ง </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal" align="center">จากความเคืองสู่ความเดือด (Pinch-Crunch Conflict Model, Sherwood & Glidwell, 1973) </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal" align="center">แสดงให้เห็นลำดับขั้นของการเกิดความขัดแย้ง</p><p> </p><div style="text-align: center"></div><p> ในขั้นเริ่มต้น ถ้าทุกฝ่ายได้พูดคุยกันถึงความคาดหวังที่มีต่อกันและเรื่องที่ทำให้แต่ละฝ่ายรู้สึกเคือง (ซึ่งเป็นไปตามสไตล์เอ็นเนียแกรมของแต่ละคน) ก็จะช่วยป้องกันความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ตาม เรามักไม่ค่อยได้ทำสิ่งนี้ </p><p> ในระหว่างช่วงผ่อนผัน เรามักแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมา ความขัดแย้งจึงมักไม่ค่อยเกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มักจะมีเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเคือง คนส่วนใหญ่มักรู้สึกไม่สบายใจที่จะบอกว่าตนรู้สึกเคือง แต่การพูดอะไรออกมาหลังจากที่มีเรื่องที่ทำให้เราเคืองตั้งแต่แรกเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าไม่พูดอะไรออกมาเลย ความเคืองนั้นก็จะสะสมและก่อตัวเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่หรือเรียกว่าความเดือด </p><p> เมื่อเราเดือดดาลแล้ว เรายิ่งต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มิฉะนั้นอาจเกิดผลเสียร้ายแรงได้ เช่น เกิดการหลบหน้ากัน มีคนลาออก เกิดความอึดอัดในบรรยากาศการทำงานและส่งผลเสียต่องาน และเมื่อถึงเวลาที่เพิกเฉยต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ละฝ่ายก็จะเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการแก้ไขความขัดแย้งนั้น</p> กรณีศึกษาต่อไปนี้แสดงให้เห็นวิธีประยุกต์ใช้เอ็นเนียแกรมกับโมเดลความขัดแย้ง จากความเคืองสู่ความเดือด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกกับคู่กรณีของความขัดแย้งทั้งสองฝ่าย <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">คาร์ล คนสไตล์สี่ ได้พยายามติดต่อกับเพื่อนร่วมทำโครงการที่ชื่อบาร์ทเพื่อจะพูดคุยความคืบหน้าของงาน เขาเขียนอีเมล์ 3 ครั้งและฝากข้อความทางโทรศัพธ์ 2 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้การติดต่อกลับมาเลย หลังจาก 3 สัปดาห์ผ่านไป เขาก็ได้รับอีเมล์ฉบับนี้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal"><hr>คาร์ล</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">ขอโทษที่ตอบช้า แต่งานผมยุ่งมากจริงๆ แล้วจะติดต่อมาใหม่อาทิตย์หน้า</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">บาร์ท <hr></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">คาร์ลเดือดขึ้นมาทันที แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ บางคนอาจแค่รู้สึกหงุดหงิดที่บาร์ทตอบกลับมาช้ามาก บางคนอาจไม่ได้รู้สึกถึงความล่าช้านี้เลย และคงมีบางคนอาจรู้สึกกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับบาร์ทและโทรหาคนอื่นเพื่อสอบถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">แต่ความรู้สึกของคาร์ลมากกว่าเคือง เขารู้สึกเดือดทันทีเพราะความอ่อนไหวแบบสไตล์สี่ของเขาปะทุขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องเคืองใจสำหรับคนสไตล์สี่ทั้ง 3 เรื่องต่อไปนี้ จะอธิบายว่าทำไมคาร์ลจึงรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวกับพฤติกรรมของบาร์ท และทำไมมันถึงแปรเปลี่ยนเป็นความเดือดโดยทันที <hr></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">เรื่องที่มักทำให้คนสไตล์สี่เคือง</p><ul><li><h4 style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">ถูกมองข้ามหรือสบประมาท</h4></li></ul><blockquote><blockquote><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal">เมื่อบาร์ทไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย คาร์ลรู้สึกถูกปฏิเสธ ถูกมองข้าม เขาจึงรู้สึกว่าบาร์ทจงใจไม่ตอบกลับมาเพราะไม่ชอบเขา</p></blockquote></blockquote><ul><ul><li><h5> ต้องทำอะไรที่ขัดกับคุณค่าที่ตนยึดถือ </h5></li></ul></ul><blockquote><blockquote>
การที่บาร์ทไม่ติดต่อกลับมาโดยเร็วทำให้คาร์ลสรุปว่า บาร์ทเอาตัวเองเป็นใหญ่และเห็นแก่ตัว บาร์ทไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเขาคิดถึงและให้ความเคารพผู้อื่น คาร์ลจึงตัดสินว่า บาร์ทเป็นคนใช้ไม่ได้เลย
</blockquote></blockquote><ul><li><h5 style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal"> มีเรื่องที่ทำให้รู้สึกอิจฉา </h5></li></ul><blockquote><blockquote><blockquote> คาร์ลทึกทักเองว่า บาร์ทเห็นเขาเป็นคู่แข่ง บาร์ทเพิ่งจะได้รับการยกย่องจากบริษัทจากการทำโครงการชิ้นหนึ่ง แต่เขาไม่ได้พูดให้เครดิตกับคนที่ช่วยเหลือในโครงการนั้นอย่างเป็นทางการ คาร์ลจึงตัดสินบาร์ทว่า มีความทะเยอทะยานและหยิ่งยโส </blockquote></blockquote></blockquote> ความที่เป็นคนสไตล์สี่ คาร์ลจึงต้องการที่จะเชื่อมโยงกับผู้อื่น พยายามค้นหาสิ่งที่มีความหมาย จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ขาดหายไป และมักมองเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตโดยใช้ความรู้สึกส่วนตัว คนสไตล์สี่มักคิดไปเองว่า หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเขา เขาจึงแสดงปฎิกิริยาอย่างรวดเร็วกับเรื่องที่เขารู้สึกว่าถูกสบประมาทหรือมองข้าม <hr><p style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-indent: 36pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">การแสดงออกของคนสไตล์สี่เมื่อรู้สึกเคือง</p> แม้บาร์ทจะรู้สึกงงเมื่อรู้ถึงเรื่องที่ทำให้คาร์ลโกรธอย่างมาก แต่คนสไตล์สี่เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วก็มักจะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะ เขามักจะพูดโผงผางออกมาเลย หรือไม่ก็อาจจะเงียบอย่างมาก คาร์ลจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของตัวเองซี่งเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ ผุดขึ้นสลับไปมา เช่น เศร้า โกรธ เจ็บปวดรวดร้าว ทุกข์ใจ และกลัว คาร์ลพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า และบอกเล่าความรู้สึกของเขากับผู้อื่นเพื่อให้ได้ความเห็นใจ เพื่อหาคำอธิบายอื่นๆ ต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง <hr><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วิธีเข้าหาคนสไตล์สี่ที่เคือง</p> บาร์ทต้องการที่จะพูดคุยถึงปัญหาความขัดแย้งกับคาร์ลโดยตรง ซึ่งคาร์ลก็ตกลง เพราะในที่สุดแล้ว คนสไตล์สี่จะรู้สึกทนไม่ได้จนต้องแสดงความรู้สึกของเขาออกมา บาร์ทควรจะใช้แนวทางดังต่อไปนี้ <ul>
</ul><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">วิธีที่คาร์ลควรจัดการกับความเคืองของตน</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ที่จริง คาร์ลสามารถแก้ไขเรื่องราวเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องไปพูดกับบาร์ทเลย ตัวอย่างเช่น เขาสามารถคิดทบทวนเรื่องที่จะต้องรู้สึกเป็นคนพิเศษ และความอิจฉาเมื่อเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จ คาร์ลยังควรเรียนรู้ที่จะไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว แทนที่จะตีความว่า ที่บาร์ทไม่ตอบกลับมานั้นเป็นการปฏิเสธตัวเขาเป็นการส่วนตัว เขาควรถามบาร์ทถึงเหตผลที่ตอบกลับมาช้า</p> <h5 style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> คาร์ลสามารถสร้างความตระหนักรู้ในตนเองและรู้จักบริหารตนเองให้ดีขึ้นด้วยการถามตัวเองว่า </h5><h5 style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> “ปฏิกิริยาของเราต่อเหตุการณ์นี้ หรือต่อพฤติกรรมของผู้อื่นนั้น บอกอะไรเกี่ยวกับความเป็นคนสไตล์สี่ของเรา และบ่งบอกว่ามีจุดใดหรือไม่ที่เราสามารถปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นได้บ้าง" </h5><h4> เมื่อเกิดปฏิกิริยาของความโกรธขึ้น เราทุกคนสามารถใช้คำถามคล้ายคลึงกันนี้ให้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง <hr>
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Bringing Out the Best in Your OD Practice - How to Use the Enneagram System for Success,OD Practitioner – Journal of the Organization Development Network Vol. 37, No.2 2005 โดยได้รับอนุญาต
</span> </h4>Full article in English is available at the Articles page on www.enneagram.co.th <hr>
อ่านเนื้อหาเหล่านี้อย่างละเอียดครบถ้วน ของคนทุกสไตล์เอ็นเนียแกรม ได้ในหนังสือ ปั้นคนให้เก่งคน
</font></span><hr></span><p>ติดตามเรื่อง การสร้างทีมงานสมรรถสูงด้วยเอ็นเนียแกรมในบันทึกถัดไป </p><p>
</p>
ติดตามรับฟังเรื่อง ความขัดแย้งที่มักเกิดกับคนแต่ละสไตล์ตามความรู้เอ็นเนียแกรม ได้ในรายการ คืนนี้ที่ 100. 5 คืนวันอาทิตย์ที่ 6 พค เวลา 22.10 เป็นต้นไป
ได้ที่คลื่น FM 100.5 หรือ http://radio.mcot.net/1005.htm ดำเนินรายการโดยคุณอุ๊ ช่อผกา
เรื่องบางเรื่องมักทำให้คนเรารู้สึกเคืองหรือโกรธเหมือนๆ กัน เช่น ใครมาโกหกกับเรา ลักขโมยของเรา ฯลฯ แต่ก็จะมีเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราโกรธ แต่คนอื่นไม่โกรธ บางเรื่องทำให้บางคนโมโหเป็นไฟ แต่เรากลับรู้สึกเฉยๆ
แนวทางหนึ่งในการจัดการความขัดแย้งด้วยเอ็นเนียแกรมคือ ค้นหาว่า เรื่องอะไรบ้างที่มักทำให้คนแต่ละสไตล์เอ็นเนียแกรมรู้สึกเคืองหรือโกรธ
ตัวอย่างที่แสดงในบันทึกข้างต้นนี้ เป็นของคนสไตล์สี่หรือที่มีฉายาว่า คนโศกซึ้ง คนโรแมนติค ศิลปิน เป็นต้น พูดสั้นๆ คนสไตล์นี้คือคนที่มีโลกอารมณ์ส่วนตัวที่เข้มข้น ลุ่มลึก ละเอียดอ่อน เต็มอารมณ์หลายเฉด หลายสีสัน ทั้งสุข ทุกข์ สนุก โกรธ กล้า บ้าบิ่น อิจฉา แต่ที่อาจจะมีเยอะหน่อยคือความหม่นหมองหรือความเศร้านั่นเอง
เอ็นเนียแกรมอธิบายว่า คนโศกซึ้งมักรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า ข้างในตัวเองมีบางสิ่งผิดพลาดบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบ หรือน่าตำหนิ บางคนรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปจากชีวิต เขาไม่ได้มี ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่คนอื่นมีหรือเป็น แล้วเขาก็เพียรหาสิ่งนั้น พยายามให้เป็นสิ่งนั้น แต่เมื่อพบแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ และต้องแสวงหาต่อไปเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
ด้วยพื้นฐานบุคลิกแบบนี้ เรื่องที่มักทำให้คนสไตล์นี้เคืองก็จะเป็นเรื่องที่ตอกย้ำบาดแผลในใจเหล่านี้ เช่น ถูกมองข้าม ถูกละเลย ต่อมอิจฉาถูกกระตุ้น เป็นต้น
แนวทางการจัดการกับความขัดแย้งด้วยความรู้เอ็นเนียแกรม จึงเป็นคำตอบที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคนแต่ละสไตล์ จึงนำไปใช้ได้ผลอย่างมาก
เช่น ประเด็นเรื่องที่ทำให้เราโกรธนี้ ทำให้เราคิดได้ว่า ที่จริงมันเป็นเรื่องของเราแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น คือ เรื่องนี้ถ้าเกิดกับคนอื่น ไม่เห็นเขาโมโหเลย แล้วทำไมเราต้องโมโหด้วย ดังนั้น จะดีกว่าไหม ถ้าเรากล้าหันมารับผิดชอบตัวเอง คือ จัดการกับตัวเองแทนที่จะไปห้ามคนอื่นไม่ให้ทำเรื่องเหล่านั้น ซึ่งยากที่จะทำได้กับทุกคนได้ตลอดเวลา
เพื่อให้มองเห็นภาพของคนสไตล์สี่ได้ชัดเจนขึ้น ขอยกตัวอย่างคนดังในต่างประเทศที่เป็นคนสไตล์สี่ได้แก่ อีลิค แคพตัน จิม มอร์ริสัน เจมส์ ดีน แวนโกะ มาร์ธา แกรแฮม Mary Chapin Carpenter บ็อบ ดีแลน กวีเอกชาวเยอรมัน ริเก ดนตรีแบบ Pink Floyd อียอร์ ลาในเรื่องหมีพูที่หน้าตาเศร้าหมองอยู่เสมอ เป็นต้น