คราวก่อนได้เล่าไว้ถึงที่บ้านร่าหมาด และทีมชุมพรที่เดินทางไปพักค้างที่เขตห้ามล่าทุ่งทะเล ต.เกาะกลาง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ทางเจ้าหน้าและ บังหยัด เล้าให้พวกเราฟังว่า " เดิมเขตห้ามล่า หรือเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า และ พันธ์พืช ... เกือบจะเป็นของนายทุนและนักการเมืองที่ละโมบโลบมากกับทรัพยากรของชาติแล้ว หากพี่น้องชาวบ้านร่าหมาด / บ้านขุนสมุทร และชาวกาะกลางไม่รวมตัวอย่างเอาจริงเอาจังในการคัดค้าน และต่อสู้เพื่อปกปักษ์รักษาทรัพยากรธรรมชาติผืนนี้ไว้ให้เป็นแหล่งเพาะและขยายพันธ์ทั้งสัตว์น้ำและสัตว์บก รวมทั้งพันธ์ท้องถิ่น .... การต่อสู้สักระยะหนึ่ง จนกระทั่งเมื่อคราวสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต ( พระราชินี ) เสด็จประภาสทางใต้ ตัวแทนชุมชนได้ถวายฏีกา .... จนพระองค์ท่าน มีรับสั่งให้ประกาศเป็นเขตอนุรักษ์พันธ์สัตว์ พร้อมกับการจัดตั้งหน่วบงานดูแลรักษาพื้นที่ประมาณเกือบ 7,000 ไร่ เป็นทั้งป่าพรุชายเลน ป่าบกเนินทราย และเนินเขาชาบฝั่ง .... จึงทำให้นายทุนไม่กล้าเข้ามาบุกรุก "
พี่น้องชาวร่าหมาดและคนในท้องถิ่นแถบนี้ได้พึ่งพาอาศัยผืนป่าแห่งนี้เป็นแหล่งอาหาร และสร้างรายได้ ยกตัวอย่าง เช่น การเก็บเห็ดเหม็ด ปี ๆ หนึ่งมีมูลค่าหลายแสนบาท ( เห็ดเหม็ด เป็นเห็ดที่ขึ้นแถบต้นเสม็ด เป็นที่นิยมของคนปักษ์ใต้ โดยการลวกแล้วจิ้มกับน้ำพริก และสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานทั้งตากแห้งหรือลวกน้ำเก็บไว้ / เห็ดที่ลวกแล้วราคาขายขีดละประมาณ 20 - 30 บาท ) ...... และยังมีพันธ์และพันธ์สัตว์อีกหลายชนิดที่มีคุณค่าเอนกอนันต์ ...... สังเกตเห็นบริเวณถนนเข้าไปเขตห้ามล่า ฯ มีการปลูกต้นเตยไว้หลายไร่ ......แฟนบังหยัดว่า... แม่บ้านที่เขาทำเตยปาหนันเขาตคิดเห็นว่าหากเราสานเตยโดยการตัดอย่างเดียวสักวันหนึ่งคงจะหมด ดังนั้นกลุ่มแม่บ้านร่าหมาด จึงกลับมาปลูกต้นเตยไว้ โดยจะรักษาไว้สำหรับตัดมาทำสื่อ สาดในอนาคตสักสิบปี ไม่ต้องเข้าไปตัดในป่าอนุรักษ์.................... ผมและคณะฟังแล้วอึ้ง ๆๆๆ .... ช่างเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เสียยิ่งกว่าผู้มีอำนาจบางคน ....จึงเป็นข้อสรุปว่า ชาวบ้านตาดำ ๆ นั้นเขาไม่ใช่ผู้กอบโกยทรัพยากร แต่เขาทำเพียงเพื่อพออยู่พอกินเท่านั้น และยังรักษาไว้ใช้ในอนาคต เพราะเขาคิดว่า นั่นคือ ทรัพยากรของพวกเขาทุกคน
พวกเราออกเดินทางจากร่าหมาดเพื่อไปข้ามฟากไปเกาะลันตาน้อยที่ ท่าหัวหิน โดยการใช้แพขนานยนต์ .... ประมาณ 20 นาที ก็ไปที่ท่าหัวแหลม แล้วลงจากแพขี่รถยนต์ไปบนถนนลาดยางในเกาะลันตาน้อย มีบ้านเรือนของพี่น้องมุสลิมอยู่เป็นหย่อม ๆ สลับกับป่าที่ร่มรื่นและเนินเขา มองไกล ๆ จะเห็นผืนทะเลสีฟ้าใส สลับกับหมู่เกาะน้อยใหญ่ พวกเราเพลิดเพลินกับการฟากฟ้าและผืนน้ำแห่งอันดามัน สักพักหนึ่งก็ไปข้ามแพขนานยนต์อีกครั้งเพื่อไปที่ท่าศาลาดาน เกาะลันตาใหญ่ อันเป็นตัวอำเภอลันตา
เมื่อขี่รถขึ้นฝั่งศาลาดาน จะมีสามแยก พวกเราเลี้ยวขวาเข้าไปยังตลาด ( หากเลี้ยวซ้ายจะเป็นฝั่งที่มีชุมชนอาศัย ซึ่งเป็นด้านตะวันออกของเกาะ) ทางด้านซ้ายมือจะมีสำนักปฏิบัติธรรม เลยไปนิดหนึ่งก็ถึงทางแยกตรงหน้าโรงเรียนศาลาดาน เราเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ซึ่งเป็นเส้นทางรอบเกาะด้านฝั่งตะวันตก สองฟากฝั่งถนนเต็มไปด้วยรีสอร์ทและบังกะโล ร้านอาหาร ร้านค้า บาร์เบียร์ ตลอดระยะทางสิบกว่ากิโลเมตรที่ทอดขนานไปกับชายหาด สังเกต เห็นพี่น้องชาวไทยทั้งมุสลิมและพุทธบ้างบางส่วน อยู่แทรกเป็นจุด ๆ กับร้านรวงที่รับแขกชาวฝรั่ง ( เหมือนสีขาวแทรกในสีดำ หรือ สีดำแทรกในสีขาว ) ช่างเป็นความแตกต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกัน..................... อย่างไรไม่รู้
สักพักหนึ่งก่อนข้ามภูเขาไปฝั่งตะวันออกของเกาะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของตัวอำเภอ และ ชุมชนเก่าแก่ พร้อมด้วยพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นที่หมายของพวกเรา ...... ก็แวะเดินชมตลาดนัดเปิดท้ายขายของ ซึ่งพ่อค้า แม่ค้าส่วนใหญ่เป็นคนจากแผ่นดินใหญ่ นำพืชผัก ผลไม้ อาหาร เสื้อผ้า ฯลฯ จากแผ่นดินใหญ่ไปขาย ( ราคานั้นไม่ต้องพูดถึง บวกค่าข้ามน้ำข้ามทะเลไว้เรียบร้อยแล้ว ) พี่น้องจากชุมพรก็ไช่ย่อยสำหรับการเป็นนักช๊อป สักพักหนึ่งก็เดินหิ้วของมาเป็นทิวแถวขึ้นรถกะบะ... " ใหน ๆ มาถึงเกาะลันตาที่แล้วไม่ได้ซื้อ ก็ไม่มาถึงเกาะ " ( เป็นอาการปกติสำหรับนักศึกษาดูงานบ้านเรา ) ..... และแล้วพวกเราก็ข้ามมาอีกฝั่งของเกาะ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ชายไทยจีนที่นับถือพุทธ ที่อยู่ร่วมกับไทยมุสลิมอย่าง อยู่เย็นเป็นสุข อย่างไร ?
แล้วค่อยมาเล่าตอนต่อไป.....
ไม่มีความเห็น