คิดอยู่ว่าจะเล่าเรื่อง วิวัฒนาการ การบริการ สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในบริบท ของโรงพยาบาลชุมชนที่ผมอยู่ แถวอีสาน อย่างไรดี ก็คงเล่าไปเรื่อย ๆ ตามสไตล์ คิดว่าจะดีกว่า
ทุกวันนี้มีเรื่องราวในอดีต ที่ต้องมาทบทวนบ่อย ๆ รู้สึกว่าเรื่องอดีตมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่าผ่านประสพการณ์มานานพอสมควร ( คล้าย ๆ กับแก่ลงทุกวันนั่นแหละครับ แต่ ฟังดูดีกว่า )
ตอนผมอยู่ รพ.บุณฑริกเมื่อ ปี 2533 เป็น โรงพยาบาลขนาด 10 เตียง อยู่ชายแดนลาวเลยครับ ช่วงนั้น ผู้ป่วย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ยัง รักษารวม ๆ กับคนไข้ธรรมดา เราไม่มีหลักการ แนวปฏิบัติอย่างไรเลย เจาะเลือดตรวจ FBS จากเส้นเลือดใหญ่ ( ไม่มีเครื่องเจาะน้ำตาลเหมือนทุกวันนี้ ) ยาที่รักษา คือ chlopropamide , glibenclamide แม้แต่ metformin ก็ไม่ได้ใช้ครับ อย่าไปพูดถึง insulin เลย ครับ ยาความดันมีแต่ Hctz propanolol methyldopa เท่านั้น ACEI ยังใหม่มาก ๆ เลยครับ หรือว่ายังไม่มีก็ไม่รู้ ไม่มีการตรวจ creatinine lipidprofile เพราะ lab เราตรวจได้เท่านั้น จริง ๆ เป็น dibetic nephropathy เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เลย กิน glibenclamide ไปเรื่อย ๆ
ไม่มี cvd screening อย่าง การตรวจเท้า ตรวจไต ตรวจตา แต่ก็น่าสังเกตุว่าผมไม่เคยเห็นแผลที่เท้าที่รุนแรง ของ ผู้ป่วยเบาหวาน ที่บุณฑริกเลย คงเป็นเพราะ เราไม่ได้สนใจหรือ focus มากกว่า หรือไม่ก็คงมีน้อยจริง ๆด้วย โรคเบาหวานจึงดูเป็นโรค ธรรมดา ๆ โรคหนึ่ง เหมือนโรคกระเพาะ ไข้หวัด มีแต่ต้องมา บ่อยกว่า โรคกระเพาะ ( เอแต่ก็ไม่แน่ โรคกระเพาะบางทีก็มาบ่อยกว่าเบาหวานนะครับ ) และต้องเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลทุกครั้ง โรคมาเลเรีย พยาธิใบไม้ในตับ อุจจาระร่วง ดูจะเป็นปัญหาของที่นี่มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะเท่าที่ผมจำได้ เราไม่เคยต้องรายงาน หรือถกปัญหา โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ในระดับอำเภอ ระดับจังหวัดเลย มีแต่ มาเลเรีย อุจจาระร่วง พยาธิใบไม้ในตับ
การบันทึกข้อมูลก็บันทึกใน OPD card ไม่มี personal book ไม่มีการเก็บข้อมูลพิเศษ ใด ๆ เลยครับ
ฟังดูแล้ว ทำไม่มันช่างล้าหลังสิ้นดี นะครับ
ขณะเดียวกัน ปี 2534 เป็นปีแรกที่มี ผู้ป่วย Aids คนแรกที่ผมได้เจอ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร เราความรู้เราช่าง น้อยจริง ๆ AIDS เป็นเรื่องใหม่มาก
เครื่อง computer เครื่องแรกที่ผมใช้เขียนโปรแกรม basic เป็น จอเขียว ๆ ไม่มีความสามารถทาง graphic ใด ๆ เลย internet เป็นเหมือนเพียงความฝัน ( นี่พูดจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่นนะครับ )
นี่คือ สภาพ โรงพยาบาล 10 เตียง บริบทตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมพยายามนึกว่า เอ เราทำไมไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา และก็บอกได้เต็มปากเลยว่า โรงพยาบาลชุมชนสมัยนั้น ( แถว ๆนี้ ) ก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละครับ
ผมเลยต้องมาทบทวนว่าทำไม ตอนนี้เราต้องทำงานหนักกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ มากขึ้นทุกวัน และมากขึ้นเรื่อย ๆ ซับซ้อน ขึ้นเรื่อย ๆ ต่างกับสมัยก่อนมาก ๆๆๆ
1. คงเป็นเพราะ สภาพสังคม เทคโนโลยี่ ที่เปลี่ยนไป ครับ ตอนนี้เราคงเดือดร้อน ถ้าไม่มีโทรศัพท์มือถือ แต่ตอนนั้น ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่รู้จักเลย โลกเปลี่ยนไปเร็วจริง ๆ ( จนเหมียวน้องเภสัชห้องยา บอกว่า มีแต่เด็กแรกเกิดเท่านั้นแหละค่ะ ที่ไม่มีมือถือ ดูพูดเข้า )
2. และก็คงเหมือน AIDS นั่นและครับ มันยืนยันนะครับว่า สมัยก่อนและสังคมชนบท เราไม่คุ้นเคยกับโรค เหล่านี้จริง ๆ เราป่วย ตายจากโรคติดเชื้อ มากกว่า ผมอยู่บุณฑริก มีเด็กมาด้วยอาการมีน้ำมูก ไม่มีไข้ ดูดี ๆ นีแหละครับ เจาะเจอ ,มาเลเรีย PF เฉยเลยเสียดายไม่สามารถเก็บข้อมูลใด ๆ ไว้ได้เลย
วันนี้ สังคม พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม ที่บุณฑริก และของเราเองเปลี่ยนไปมากครับ น่าจะจริงโรคเหล่านี้ก็คืบคลานมาพร้อมกับความเจริญทางวัตถุ การรักษา เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด โรคเอดส์ ก็ไปไกลมาก ๆ ค่าใช้จ่ายก็ไปไกลมาก ๆ เหมือนกัน การฟ้องร้อง ก็เกิดขึ้นมาก การเอื้ออาทรกันน้อยลงด้วยครับ
3. วันนี้ เราสามารถจัดระบบบริการ มีเครือข่ายใน pcu ที่เข้มแข็งขึ้น เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลบุณฑริกสมัยที่ผมอยู่แล้ว pcu ปัจจุบันยังดีกว่าโรงพยาบาลสมัยก่อนมากครับ ( ในอนาคต pcu ทั่วประเทศก็คงก้าวหน้าไปมากครับ เมื่อเทียบกับบุณฑริกเมื่อ 17 ปีก่อน )
เราสามารถ ทำเกือบทุกอย่างที่เราอยากทำได้ ,มียาใช้ที่เหมาะสม มี lab ที่จะสามารถสนับสนุนการดูแลได้ มีมาตรฐานอ้างอิงที่ดี เทคโนโลยี่ และมาตรฐาน ไม่ใช่ข้อจำกัดของเราอีกต่อไป เรา สามารถ screen cvd เท้า ไต( microalbuminuria ) แม้กระทั่ง diabetic retinopathy ที่ผมจนปัญญามานาน วันนี้ เราสามารถตวจ screenได้ ทั้งจังหวัดอุบล เลยด้วยซ้ำ ( เรามี digital fundoscopy ใช้เอง ตรวจทั้งจังหวัด ในรูปเครือข่าย ตอนนี้ screen ได้สัก 30 % เห็นจะได้ บางที่เราตรวจ ที่ pcu ด้วย เหลือแต่ปัญหาเรื่องการรักษา ก็คงค่อย ๆ ทำกันไป )
( คำว่าเรา น่าจะเป็นทั่วประเทศนะครับ ไม่ใช่เฉพาะที่วาริน ฯ หรืออุบลฯ ผมว่าสักวันก็จะเหมือน computer โทรศัพท์มือถือ นั่นแหละครับ มีใช้กันทุกบ้าน ทุกโรงพยาบาล จนเป็นเรื่องธรรมดา )
สิ่งที่ต้อง ขบคิด เพียงแต่ เราอาจต้องพัฒนา ระบบบริการให้ดี และเหมาะสม ตามบริบท จริง ๆ ทั้งของคนไข้ และครอบครัว ระบบบริการที่สามารถงอกเงยต่อได้ รวมทั้งมีการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์มากกว่า
อาจารย์ วัลลา ตันตโยทัย เล่าไว้ ถูกใจผมมาก ใน นวตกรรการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน ว่า" ควรคิดนวัตกรรมการ จัดบริการเพื่อการดูแลที่ดีกว่าและ สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากกว่า เพราะผู้ป่วยเบาหวานมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ใช้ต่อผู้ป่วยแต่ละรายจะยิ่งน้อยลงและควรนึกถึงการเอื้ออำนาจให้ผู้ป่วยสามารถทำได้ “มากกว่าการดูแลตนเอง” ให้ผู้ป่วยเบาหวานและครอบครัวมีปากมีเสียงไม่ใช่เพียงเพื่อสุขภาพของตนเอง แต่ เพื่อสุขภาพของชุมชนของเขาด้วย" |
ที่น่าสนใจ คือเราเดินทางจากจุดที่ผมเล่า เมื่อ 17 ปีก่อน มาถึงวันนี้ ได้อย่างไร มีอะไรเปลี่ยนแปลง สำเร็จ ล้มเหลว เกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทาง มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้อย่างไรเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเก็บรวบรวมไว้มาก |
บังเอิญโชคดีมาก ๆ ครับที่ ผม คือหนึ่งในไม่กี่คน ที่ได้อยู่ร่วมเดิน
ทาง ในช่วงรอยต่อวิวัฒนาการ ได้รู้ได้เห็น เรื่องราวมาตลอด จนถึงนาทีนี้ ก็ยังทำงาน เรื่องนี้ ดูแลระบบบริการด้านนี้
พออ่านเรื่อง การจัดการความรู้ ของอาจารย์ประพนธ์ ผมเลยอยากพยายาม แคะ คุ้ย tacid knowledge เรื่องนี้ ออกมา น่าจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง ก็เลยถือโอกาส คอย ๆ บันทึกใน blog นี้ ครับ
4. การเรียนรู้ที่สำคัญ ของผม สำหรับเรื่องนี้ คือ Succes not destination but journey . ครับ วันนี้ไม่ว่าเราจะพัฒนาระบบบริการได้ดีแค่ไหน เราก็ยังมีระยะเดินทางอีกไกล ไกลไปเรื่อย ๆ มีโอกาสพัฒนาได้อีกมาก ต้องเรียนรู้อีกมาก อีก 17 ปีข้างหน้า เราไม่ได้รักษาเบาหวาน ความดันโลหิตแบบทุกวันนี้ แน่ ๆ ครับ
ไม่มีความเห็น