วันก่อนพูดคุยกับผู้ร่วมอาชีพถึงมาตรฐานโรงพยาบาลยุคใหม่ ทำให้ฉุกคิดถึงเรื่องการให้บริการยาเคมีบำบัด ที่กลายเป็นบริการภาคบังคับมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะความนิยม
การพูดคุยนี้ ทำให้นึกถึงบทความเล็ก ๆ บทหนึ่ง ที่ผมหยิบยกแผ่นออกจากจากหนังสือพิมพ์โพสต์ TODAY ที่เคยเก็บไว้ในกองเอกสารรออ่าน เลยกลับไปคุ้ยดู
เป็นหน้าในของหนังสือพิมพ์ที่ตอนนั้นดูผ่าน ๆ เห็นมีเรื่องน่าสนใจ จึงหยิบขึ้นมาตั้งไว้กับกองเอกสาร ตอนหยิบขึ้นมา คิดเพียงว่าเอาไว้อ่านละเอียดวันหลัง อยู่หน้า A8 คงเป็นหน้าพิเศษ เพราะไม่มีเขียนวันที่ไว้ข้างล่าง ก็เลยบอกไม่ถุกว่าเป็นฉบับวันไหน แต่คาดว่าเป็นฉบับประมาณกลางตุลาคม 2549 (เดาจากเนื้อข่าวข้างเคียง บทบรรณาธิการวันนั้น เขียนว่า ห้ามเหล้า ที่ต้นเหตุ)
บทความดังกล่าว เขียนโดย ดร. ลีลาภรณ์ บัวสาย ในคอลัมน์ พลังปัญญา พูดถึงเรื่อง เคมีกับปัญหาความยากจน
ในคอลัมน์ดังกล่าว มีประเด็นชวนคิด ซึ่งผมขอสรุปย่อไว้สั้น ๆ ดังนี้
จากข้อมูลวิจัยค่าใช้จ่ายเพื่อการประกอบอาชีพ และด้านการเกษตร/เลี้ยงสัตว์ มีข้อมูลว่า ค่าใช้จ่ายปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงของครัวเรือน ข้อมุล 7 จังหวัด 2549 ตามจังหวัดต่าง ๆ คิดเป็นร้อยละเท่าไหร่ของค่าใช้จ่ายเพื่อการผลิต มีตัวเลขดังนี้
- อุตรดิตถ์ 24.00 %
- นครปฐม 27.41 %
- นครพนม 14.68 %
- กาฬสินธุิ์ 38.33 %
- ยโสธร 13.31 %
- อุบลราชธานี 35.74 %
- ตรัง 29.92 %
และผู้วิจัยวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง ค่าใช้จ่ายสารเคมีเพื่อการเกษตร กับ ค่ารักษาพยาบาลของครัวเรือน พบว่า ค่าสหสัมพันธ์สูงมากถึง 0.93 (จำนวนครัวเรือน 146,429 ครัวเรือน) สะท้อนให้เห็นว่า ยิ่งใช้สารเคมีมาก ยิ่งมีการเจ็บป่วยมาก
ต้นทุนที่สูงลิ่วนี้ บอกว่าใช้สารเคมีกันดุเดือดขนาดไหน ทั้งปุ๋ย และยาฆ่าแมลง
และยังสะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนที่ไม่ได้มีการวิเคราะห์ต้นทุนด้วย
จึงเห็นการเหลื่อมล้ำโครงสร้างต้นทุนในภาคการเกษตรอย่างมหาศาล อย่างนี้ (ซึ่งจะส่งผลถึงกำไรเลี้ยงตัวด้วยในที่สุด)
ต้นทุนสูงเกิน ไม่ขาดทุนก็แปลกแล้ว ที่หนักกว่านั้นคือ คนขาดทุนไม่ได้มีเพียงคนทำ แต่กระทบไปถึงต้นทุนสุขภาพคนอื่นด้วย (คนทำอาจบอกว่า ...'ของฟรี !')
ข้อมูลนี้ ช่วยให้เราเห็นภาพว่า การบริการเคมีบำบัด คงจะเฟื่องฟูต่อไปในเมืองไทย เพื่อตอบสนองกับการเป็นโรคยอดนิยมอันดับหนึ่งของประเทศ และคงไม่เปลี่ยนแนวโน้มกันง่ายนัก
ดูแล้วถอนใจครับ