1.ประวัติการก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิล
คำว่า “คอนสแตนติโนเปิล” มาจากคำว่า “คอนสแตนติน” ซึ่งเป็นชื่อของจักรพรรดิผู้ก่อตั้งกรุงแห่งนี้ และคำว่า “โอเปิล” ซึ่งแปลว่า “เมือง หรือนคร” ดังนั้นคอนสแตนติโนเปิลจึงหมายถึง“นครหรือกรุงคอนสแตนติน”นั้นเอง กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไบแซนไทน์หรืออาณาจักรโรมันตะวันออก ซึ่งสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินบุตรของคอนสแตนตินัสแห่งโรมัน[1] ก่อนหน่าที่เมืองหลวงอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์จะย้ายมาอยู่ ณ กรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่งนี้ อาณาจักรไบแซนไทน์มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรมา ต่อมาหลังจากที่จักรพรรดิคอนสแตนตินขึ้นครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 306-307 ก็เริ่มมองหาทำเลใหม่ที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนสถานที่ตั้งเมืองหลวง อันสือเนื่องมาจากความแตกแยกภายในซึ่งเป็นเหตุทำให้ทั่วราชอาณาจักรไบแซนไทน์ เกิดความทรุดโทรมและหายนะเป็นอย่างมาก ความหายนะดังกล่าวทำให้อาณาจักรไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกไม่มีเสถียรภาพและเกิดความระส่ำระสายและบ่งย้ำเตือนถึงความพินาศย่อยยับในเวลาอันใกล้ และแล้วจักรพรรดิคอนสแตนตินก็พบกับเมืองใหม่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเป็นเมืองหลวงซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองหลวงระหว่างเอเชียกับยุโรป ดังนั้นในปี ค.ศ. 324 จักรพรรดิคอนสแตนตินจึงได้ยกทัพไปยึดเมืองดังกล่าว และได้ทำการบูรณะซ่อมแซมและปรับปรุงเมืองใหม่ ด้วยการสร้างกำแพงและป้อมปราการต่างๆ ในปี 324 การซ่อมแซมและบูรณะในครั้งนี้ใช้เวลาถึง 6 ปี และได้จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โต หลังจากที่การก่อสร้างและซ่อมแซมให้แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 11 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 330 และงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้กินเวลาถึง 40 วันด้วยกัน[2] หลังจากนั้นจักรพรรดิคอนสแตนตินก็ทำการย้ายเมืองหลวงจากกรุงโรมา มาอยู่ที่เมืองใหม่แห่งนี้และได้ตั้งชื่อใหม่ว่า “คอนสแตนติโนเปิล” ตามชื่อของจักรพรรดิ
นับตั้งแต่นั้นมากรุงคอนสแตนติโนเปิลแห่งนั้นก็กลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ตลอดมา.[3]
2.ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และความสำคัญ
กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่สวยงามอย่างยิ่งอย่างไม่มีที่เทียบได้ ตั้งอยู่ในเขตทวีปเอเชียและทวีปยุโรปมาบรรจบกันและถูกล้อมรอบด้วยมหาสมุทรทั้งสามทิศ ซึ่งตั้งอยู่เป็นรูปสามเหลี่ยม โดยด้านทิศตะวันออกติดกับช่องแคบบอสฟอรัส (BOSFORUS) ทิศตะวันตกเฉียงใต้ติดกับทะเลมารมารา (MARMARA SEA) และทิสตะวันตกเฉียงเหนือติดกับท่าเรือที่ทอดยาวคล้ายรูปคันธนู ชื่อก้อรนุน ซะฮะบีย์ (GORDEN HORN) ซึ่งถือว่าเป็นท่าเรือที่ยาวและปลอดภัยที่สุดท่าเรือหนึ่งของโลก ส่วนทิศที่สามซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกติดกับยุโรป โดยมีกำแพงใหญ่อันแข็งแก่งสองชั้นกั้นไว้อย่างหนาแน่นมีความยาวถึง 4 ไมล์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ชายฝั่งทะเลมารมาราทอดยาวไปจนถึงชายฝั่งของท่าเรือก้อรนุน ซะฮะบีย์ กรุงคอนสแตนติโนเปิลไม่เพียงแต่มีสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่งดงามเท่านั้น มันยังมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วย และมีสภาพอากาศที่อบอุ่นอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งสภาพทางอากาศจะไม่ร้อนจัดในช่วงฤดูร้อนและจะไม่หนาวจัดอีกเช่นกันในช่วงฤดูหนาว[4] และสือเนื่องจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลมีเขตแดนที่บรรจบกับทะเลถึงสองฟาก จึงทำให้กรุงคอนสแตนติโนเปิลกลายเป็นเมืองท่าที่เป็นเส้นทางค้าขายที่สำคัญยิ่ง เพราะสินค้าทุกอย่างที่เดินทางมากับเรือที่มาจากจีน อินเดีย และอาหรับล้วนแต่ต้องผ่านและจอดเทียบท่าเรือกรุงคอนสแตนติโนเปิลหรือท่าเรือก้อรนุน ซะฮะบีย์ทั้งสิ้นก่อนที่จะเดินทางมุ่งไปยังยุโรปต่อไป
กรุงคอนสแตนติโนเปิลไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางการค้าขายเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่ใหญ่โตในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนทั้งหมด ซึ่งได้ทำการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระดาษปาปิรัส สิ่งทอต่างๆ และผลิตภัณฑ์กระจก ยิ่งกว่านั้นกรุงคอนสแตนติโนเปิลยังมีนโยบายเฉพาะด้านเศรษฐกิจหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการผูกขาดด้านการผลิตและซื้อขายเหรียญกษาปณ์[5]
3.ความสำคัญด้านยุทธศาสตร์
เนื่องจากสภาพที่ตั้งของกรุงสแตนติโนเปิลอยู่ในทำเลที่เต็มไปด้วยการป้องกันด้านยุทธศาสตร์ที่ยากแก่การรุกรานและโจมตี จึงทำให้กรุงแห่งนี้เป็นที่หมายปองของบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายเพื่อที่จะยึดเอากรุงแห่งนี้ไว้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารหรือเมืองหลวงของตนนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน. เกี่ยวกับความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของกรุงคอนสแตนติโนเปิลนี้จอมทัพนโปเลียนโบนาปาร์ตกล่าวว่า : “ หากแม้นว่าโลกนี้ทั้งโลกมีเพียงอาณาจักรเดียว แน่นอนอย่างยิ่งว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นเมืองหลวง ”[6] นโปเลียนยังได้กล่าวในบันทึกส่วนตัวของท่านซึ่งได้เขียนในขณะที่ท่านถูกเนรเทศอยู่ที่เกาะสันติลานาว่า:“เขาได้ใช้ความพยายามหลายต่อหลายครั้งเพื่อทำความตกลงกับรัสเซียในเรื่องการแบ่งปันเมืองอาณานิคมของอาณาจักรออตโตมาน แต่ทุกครั้งที่กล่าวถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิลก็จะเกิดปัญหาการโต้แย้งขึ้นมาทันที จนกระทั่งไม่สามารถทำการตกลงกันได้ เพราะรัสเซียพยายามจะผลักดันให้แบ่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลให้กับเขา ส่วนนโปเลียนเห็นว่า “กรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่ดีเยี่ยม ซึ่งมันเปรียบเสมือนกุญแจโลก หากใครได้ครอบครองมันแล้วก็เท่ากับว่าเขาได้ครอบครองโลกนี้ทั้งโลกเลยทีเดียว”[7]
สะลาม
อยากเสนอให้ระบุชื่อเต็มของเจ้าของหนังสือที่อ้างอิงด้วยครับ และชื่อหนังสือด้วย เพราะจะเป็นการสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการจะอ้างอิงหรือทำการศึกษาต่อไป อย่างเช่น อัลบักรีย์, หลุยส์ เป็นต้น ผู้อ่านไม่ทราบว่าเป็นใคร และเขาเขียนในหนังสืออะไร ?
นะครับ ผมคิดว่าผู้อ่านหลายๆคนจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของผม
เห็นด้วยกับคุณabu asybal
ทำไมนโปเลียนไม่ใช้กองทัพฝลั่งเศสยึดจักรวรรดิออตโตมันเองเลยล่ะครับ ตอนนั้นฝลั่งเศสก็ครองประเทศในยุโรปเยอะมากเลย ไม่เห็นจะต้องไปพึ่งจักรวรรดิรัสเซียเลยแถมตอนนั้นจักรวรรดิออตโตมันก็อ่อนแอมากพร้อมที่จะล่มสลายทุกเมื่อ