วันนี้ มีข้อวิวาทะทางการเมือง เรื่องที่มาของนายกฯ เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ อาทิ
รุมจวกนายกฯคนนอก ถอยหลังทำชาติวิกฤติ(คม ชัด ลึก : 11 มี.ค. 50)
“สงค์” จะเอาให้ได้ นายกฯ คนนอก ( ข่าวสด : 11 มี.ค. 50)
พรรคการเมืองขู่คว่ำรัฐธรรมนูญ ต้านนายกฯ คนนอก (มติชน : 11 มี.ค. 50)
วันนี้ อีกเช่นกัน มีการเรียกร้องให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด ที่ประเทศไทยเคยมีมา
การกล่าวอ้างว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ เพราะนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง โดยอ้างทฤษฎีสัญญาประชาคม ที่นักการเมืองเลือกมาตีความว่า “เป็นสัญญาที่นักการเมืองให้ไว้แก่ประชาชน”ที่จริงแล้วผู้คิดค้นสัญญาประชาคม คือ ทอมัส ฮอบส์(Thomas Hobbes) นักปรัชญาชาวอังกฤษเชื่อว่า “อำนาจนั้นมาจากการตกลงมอบให้โดยประชาชนผู้ถูกปกครอง” จึงควรตีความชั้นต้นว่า ประชาชนมอบอำนาจให้โดยการเลือก ส.ส. และต้องตีความชั้นต่อมาว่า ส.ส. จะเลือกใครก็ได้ การเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นอำนาจของ ส.ส. และแนวคิดนั้นก็ถือปฏิบัติกันมาคือ ส.ส. เสียงข้างมากเลือกนายกรัฐมนตรีที่มักเป็นหัวหน้าพรรคเสียงข้างมาก การระบุให้ ส.ส.เลือกนายกรัฐมนตรีจาก ส.ส. ด้วยกันเอง จึงอาจเป็นการจำกัดอำนาจของ ส.ส. ที่ประชาชนมอบให้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. โดยอิงเข้าไปหาหลักการแบ่งอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย ที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา (นิติบัญญัติ) คณะรัฐมนตรี (บริหาร) และศาล (ยุติธรรม) และกำหนดให้นายกรัฐมนตรี และรมต. พ้นจาการเป็น ส.ส. เพื่อเป็นการถ่วงดุลย์อำนาจ แล้วเป็นอย่างไรครับ อำนาจบริหารก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญัติหรือไม่ ผู้ที่น่าจะมีคำตอบที่ดีที่สุดคือ ท่านเสนาะ เทียนทอง
ประเทศไทยเคยมีรัฐธรรมนูญทั้งที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. และไม่ได้กำหนดให้เป็น ส.ส. มาแล้วทั้ง 2 แบบ ไม่เช่นนั้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และนายอานันท์ ปัณยารชุณ คงไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือถ้าไม่มีปฏิรูปก็คงไม่มีนายกรัฐมนตรีชื่อ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เพราะท่านเหล่านี้คงจะไม่เล่นการเมืองอย่างแน่นอน
ลองหลับตานึกดู นึกชื่อนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยดูสิครับ ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จำกัดอยู่ที่นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เท่านั้น ก็จะมีอดีตนายกฯ, พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายบรรหาร ศิลปอาชา นายชวน หลีกภัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรืออนาคตนายกฯ เช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ ฯลฯ นักการเมืองอาชีพเป็นตัวเลือกในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วนเวียนอยู่อย่างนี้
ผมไม่ได้กล่าวหาว่าท่านที่กล่าวนามข้างต้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนะครับ แต่แทนที่จะจำกัดให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นได้เฉพาะ ส.ส. กับเปิดโอกาสให้คนไทยอื่นอีกหลายสิบล้านคนเป็นทางเลือกด้วยไม่ดีกว่าหรือครับ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยไว้ในมาตรา 30 วรรคแรก ว่า “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน”
การกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องเป็น ส.ส. เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของคนไทยที่ไม่ได้เป็น ส.ส. หรือไม่ ?
จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อยู่ที่เสียงส่วนใหญ่ของ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร มิใช่หรือ? ท่านนักการเมืองกลัวอะไร? ไม่ไว้ใจพรรคการเมืองด้วยกัน? หรือไม่ไว้ใจ ส.ส. ในพรรคเดียวกัน? หรือไม่ไว้ใจ ส.ส. ด้วยกัน? หรือไม่ไว้ใจแม้กระทั่งตัวเอง?
เรียน คุณวีร์
คิดได้ไงนายกคนนอก?
ขอตอบว่า เป็นเจตนาบริสุทธิ์ อยากเห็นรัฐธรรมนูญเปิดกว้าง มิใช่เจตนาให้คนนอกเป็นนายก แต่หมายความว่า ให้ทั้งส.ส. และคนนอก
และผมไม่ฝืนกระแสหรอกครับ
ตั่งแต่การอภิวัฒน์ ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบันการเมืองของไทยเรานั้นการพัฒนาก็แค่ตัวหนังสือเท่านั้น แต่ประชาชนไทยนั้นไม่ได้พัฒนาเลยเช่นในประเด็นที่โต้เทียงกันอยู่นี้ นายกนั้นจะสำคัญตรงไหน (มาจากการเลือกตั้งหรือไม่)ในเมื่อประชาชาติไทยยังไม่มีความรู้ในหลักประชาธิปไตยเลยคนไทยยังเห็นแก่เงินและความสุขส่วนตัวและอื่นๆไม่สนใจปัญหาของชาติ(โดยมาก) เราน่าจะพัฒนาตัวบุคลก่อนดีกว่าไหมครับ
กฏมีไว้เพื่อคนไม่เคารพคนอื่นและตัวเอง ถ้าคนเรารู้จักเคารพคนอื่นและตัวเอง และไม่เห็นแก่ตัว กฏไม่มีความหมาย
รัฐธรรมนูญไทยมีไว้เพื่อให้บ้านเมืองมีกรอบในการอยู่ร่วมกันตามหน้าที่ และหน้าที่นั้น ๆ คนก็ควรมีจิตสำนึกปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง หลักสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติถูกต้องของคน
การร่างรัฐธรรมนูญ ร่างมาเพื่อแก้ปัญหาให้คนบ้างคน หรือกลุ่มบางกลุ่ม ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศชาติได้แน่นอน
ก็ศาลสั่งฟ้องโกงเลือกตั้งมา ประชาธิปไตรตรงใหน