"ครู"
ในสายตาประชาชนทั่วไปนั้น ดูเหมือนว่าจะต้องเป็นผู้ที่ทำได้ทุกอย่าง
ตั้งแต่ซ่อมไฟฟ้า จักรยานยนต์ เขียนป้าย ติดต่อตำรวจเมื่อถูกจับ
รวมถึงการเป็นพิธีกรงานแต่งงาน บวชนาค โกนจุก งานศพ และอื่น ๆ
อีกมากมาย
ก่อนอื่น
ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า"พร้อม"หรือไม่
พร้อมในที่นี้หมายถึง บุคลิกภาพ การแต่งกาย ความรู้พื้นฐานทางภาษาไทย
เน้นด้านวจีวิภาค วากยสัมพันธ์ เป็นสำคัญ
เพราะการดำเนินรายการแต่ละประเภทจะใช้คำพูดแตกต่างกันไป
งานบวชต้องศึกษาอานิสงฆ์ งานแต่งงานต้องศึกษาความเป็นมงคล
งานศพต้องศึกษาเรื่องธรรมะ สัจจะธรรม
งานฝึกอบรมควรต้องรู้ทันเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา สังคม
พัฒนาการด้านต่าง ๆ
เพราะหากผู้เป็นพิธีกรสามารถแยกแยะสภาพของงาน
การใช้วจีคำพูดได้เหมาะสมแล้ว งานที่รับมอบหมายก็จะราบรื่น
ข้อสำคัญการพูดทุกครั้งควรหลีกเลี่ยงคำต่อไปนี้ "เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา"
"ขอขอบพระคุณด้วย" "ขอขบคุณด้วย" "เอ้อ อื้อ
อ้า ฯลฯ" และควรพูดให้เป็นจังหวะจะโคน
ไม่เร็วปรื๋อฟังไม่รู้เรื่อง เกิดความรำคาญสำหรับผู้ฟัง
ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นเพียงพื้นฐานเท่านั้น
เพราะการมีความมั่นใจและประสบการณ์เท่านั้นที่จะฟันฟ่าอุปสรรคในการเป็นนักพูดที่ดีได้
คนเราส่วนใหญ่จะดูความพร้อมของคนอื่น ส่วนตัวเองไม่ค่อยมองว่าพร้อมหรือไม่ เรามักมองเห็นความชั่วของคนอื่น มองเห็นเฉพาะความดีของตนเอง มันเลยเกิดความดีของตนมักจะใหญ่กว่าคนอื่น มันเลยเกิดปัญหาตอนเดือนกันยา เราจะทำอย่างไรดี อย่างท่านโสฬส ไม่ข้องแวะอะไรแล้วในเรื่องอย่างว่า ท่านก็มีความพร้อมได้เต็มที่
คงต้องดูความพร้อมของเราครับ...
ถ้ามั่นใจก็รับเลย ถือว่าได้รับเกียรติแต่ต้องเตรียมตัวดี ๆ นะครับ ไม่งั้นเสียชื่อ...
แต่ถ้าไม่พร้อมปฏิเสธจะดีกว่า เพราะเสี่ยงที่จะทำงานเขาล่ม และที่สำคัญพลาดมาเราจะเสียความเชื่อมั่นครับ...
ไม่เคยเป็นพิธีกรงานบวช แต่โดนบังคับให้เป็น ปฏิเสธไม่ได้งานของเจ้านาย ขอความกรูณาชี้แนะและให้ตัวอย่างคำพูดในพิธีการงานบวชด้วยค่ะ