1. จดหมายน้อยจากชุมชน : มีอยู่หลายครั้งครับที่พวกเราประชุมกับชาวบ้านแล้วได้รับจดหมายน้อย ส่วนมากก็เป็นเรื่องเดือดร้อน เรื่องร้องเรียน สำหรับชาวบ้านนั้นไม่มีทางออกมานักหรอก เมื่อเราให้ความใกล้ชิดและเขาเห็นเราเป็นคนนอกที่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน น่าที่จะช่วยความเดือดร้อนได้ละมั๊ง.. บางเรื่องเราก็ส่งต่อไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ บางเรื่องก็แจ้งให้เจ้าตัวทราบข้อเท็จจริงตามความรู้ความสามารถของเรา แต่ก็มีบางเรื่องที่เป็นข้อมูลลับเพราะเป็นการระบุชื่อคนที่ทำผิดต่างๆ เช่น ค้าไม้เถื่อน ลักทรัพย์ทางราชการไปขาย ต่อต้านการทำประโยชน์อันเกี่ยวกับป่าชุมชน ปลอมบัตรเลือกตั้ง...ผู้ยื่นจดหมายน้อยมีประสงค์จะให้รับทราบและหาทางจัดการเรื่องนี้ด้วย???
2. คลื่นใต้น้ำที่อยู่เหนือบทบาทหน้าที่ของเรา: เรื่องนี้มีความหมายมากต่อการทำงานของเรา ในเมื่อชุมชนที่เราทำงานด้วยมีความขัดแย้งซ่อนอยู่ หากไม่ได้รับจดหมายน้อยเราก็ไม่รู้ระดับของความขัดแย้งนี้ ขณะที่เราต้องการสร้างความสามัคคี และกระตุ้นให้เกิดความเข้มแข็งทั้งระดับองค์กรและระดับชุมชน แต่การได้รับจดหมายน้อยลักษณะนี้มันทำให้เราตั้งคำถามมากขึ้น ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างต่อเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรจึงจะสลายความขัดแย้งนี้ให้หมดสิ้นไป ที่สำคัญการคิดหาทางออกนั้นอาจจะไม่ยากเท่าใด
แต่ในทางปฏิบัติคงไม่ใช่เรื่องที่จะเนรมิตในระยะเวลาอันสั้น และ/หรือเราจะเสียเวลาในการแก้ไขปัญหานี้หรือเปล่า บทบาทเราคงเป็นแค่เพียงผ่านเรื่องนี้ไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมากกว่า เราน่าที่จะรักษาสถานภาพมิให้เป็นคนตอกลิ่มของความขัดแย้งนี้ และหากทำได้ด้วยโอกาสหรือเงื่อนไขใดๆก็แล้วแต่ควรจะสร้างเสริมมิตรภาพด้วยกัน
3. วิเคราะห์: ด้วยทัศนะของผู้เขียนเองมีความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ดังนี้
4. ผลกระทบต่อระบบกลุ่มผู้ใช้น้ำ: แน่นอนครับเรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านพังแดง ต.พังแดง ซึ่งเรามีกิจกรรมใหญ่อยู่ที่นั่นคือ งานสูบน้ำเพื่อการชลประทานห้วยบางทราย ซึ่งใครหลายคนเฝ้ามองอยู่ว่าจะดำเนินการไปได้ไกลแค่ไหน กลุ่มองค์กรผู้ใช้น้ำจะเข้มแข็งแค่ไหน เมื่อมีประเด็นนี้เกิดขึ้น และคู่กรณีส่วนใหญ่เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ จึงยากที่จะใช้เงื่อนไขของเจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ทำการผลักดัน สร้างสรรค์ให้กลุ่มเข้มแข็งต่อไปได้มากที่สุดที่ควรจะเป็น เมื่อทั้งคู่กรณีเป็นระดับผู้นำทั้งนั้น นอกจากกลุ่มจะไม่เติบโตเข้มแข็งแล้ว อาจจะล้มลุกคลุกคลานอีกด้วย
5 ความคิดเห็น: มีผู้นำกลุ่มผู้ใช้น้ำอื่นๆอีกหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในคู่กรณี แต่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด ผู้ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการกลุ่มผู้ใช้น้ำ หรือผู้นำกลุ่มนั้น ไม่ค่อยมีความสามารถในการนำ หรือไม่เคยแสดงการนำอย่างที่คุณสมบัติผู้นำควรจะมี เช่น มีความคิดความอ่าน ความสามารถในการพูด ความสามารถในการนำประชุมได้ หรือพูดจาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ และสมาชิกฟัง ดูจะหายากจัง เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ เห็นมีผู้นำคนหนึ่งแสดงบทบาทออกมาดู “เข้าท่า” และน่าที่จะพัฒนาขึ้นไปได้อยู่ แต่การที่จะเข้าไปประสานความแตกแยกที่แฝงตัวอยู่นั้นดูจะยังไม่มี “บารมี”
พี่น้องไทโซ่ หายากที่จะมีบุคลิกผู้นำ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นลักษณะทั่วไปของชนเผ่านี้เอง ซ้ำยังมีบุคลิคลักษณะเป็นแบบ “วีรชนเอกชน” ยิ่งทำให้การเกิดการรวมตัวกันอย่างเป็นปึกแผ่นนั้นดูจะต้องใช้เทคนิคการพัฒนาคนมากกว่าชาวบ้านทั่วไป นั่นหมายความว่าจะต้องมีเจ้าหน้าที่โครงการที่เป็นผู้มีประสบการณ์ และความถนัดในงานพัฒนาคนอยู่ในทีมงานด้วย เรื่องราวแบบนี้ ลักษณะของชนเผ่าที่เป็นแบบนี้ ไม่มีช่องว่างในรายงานไตรมาสให้อธิบายเหตุผลเพื่อเป็นส่วนประกอบในการประเมินความก้าวหน้าของกลุ่มผู้ใช้น้ำ...
แต่ทั้งหมดคือเนื้อหาที่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการพัฒนาการมาก หรือน้อย ของกลุ่ม คนภายนอกมองไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่เคยถาม แต่จะดูเพียงการบรรลุตัวชี้วัดเท่านั้น แม้ว่าตัวชี้วัดจะเป็นเครื่องมือที่ก้าวหน้าของการประเมินผล แต่ยังไม่สมบูรณ์ จะให้สมบูรณ์ต้องพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวลด้วย และผู้เขียนคิดว่านี่คือความบกพร่องอันใหญ่หลวงของนักประเมินผล วันหลังจะหยิบเรื่องนี้มาพูด อภิปรายกันซะหน่อยก็ดีนะ..ผู้เขียนละคันมือจริงๆ..
ไม่มีความเห็น