ทุติยปลายิตชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๑๐. ทุติยปลายิตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๒๓๐)
ว่าด้วยการขับไล่ศัตรูแบบสายฟ้าแลบเรื่องที่ ๒
(พระเจ้าคันธาระได้ตรัสสรรเสริญกองทัพของพระองค์ว่า)
[๑๕๙] ธงสำหรับรถของเรามากมายมีจำนวนมิใช่น้อย ถึงพลพาหนะก็กำหนดนับไม่ได้ ยากที่ศัตรูใดๆ จะครอบงำย่ำยีได้ ดุจสมุทรสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามพ้นได้ อนึ่ง กองทัพของเรานี้ก็ยากที่กองทัพอื่นจะครอบงำย่ำยีได้ ดุจภูเขาอันลมไม่สามารถจะพัดให้หวั่นไหวได้ วันนี้ เรานั้นมีกำลังเห็นปานนี้ ยากที่พระราชาเช่นท่านจะครอบงำย่ำยีได้
(พระราชากรุงพาราณสีโพธิสัตว์ทรงขู่ขวัญพระเจ้าคันธาระว่า)
[๑๖๐] ท่านอย่าพูดพร่ำเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนพาลไปเลย เพราะว่าพระราชาเช่นท่านไม่สามารถจะยึดเอาราชสมบัติได้ เพราะท่านถูกความเร่าร้อน แผดเผาอยู่เสมอ ดังนั้น จึงข่มขี่ครอบงำพระราชาเช่นเราไม่ได้ ท่านนั้นประดุจเข้าไปใกล้คชสารตกมันที่เที่ยวพล่านไปเพียงตัวเดียว ซึ่งจักบดขยี้ท่านให้แหลกลานเหมือนเหยียบย่ำพงอ้อให้เป็นจุรณไป
ทุติยปลายิตชาดกที่ ๑๐ จบ
กาสาววรรคที่ ๘ จบ
--------------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ทุติยปลายิชาดก
ว่าด้วย คนถูกความเร่าร้อนเผาจนไม่อาจสู้ข้าศึกได้
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภปลายิปริพาชก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
แต่ในเรื่องนี้ปริพาชกนั้นเข้าไปยังพระเชตวันมหาวิหาร.
ขณะนั้น พระศาสดาแวดล้อมด้วยมหาชน ประทับนั่งบนธรรมาสน์อันประดับประดาแล้ว แสดงธรรมดุจลูกสีหะแผดเสียงสีหนาทอยู่เหนือพื้นมโนสิลา. ปริพาชกเห็นพระรูปของพระทศพลมีส่วนสัดงามดังรูปพรหม พระพักตร์มีสิริฉายดังจันทร์เพ็ญ และพระนลาฏดังแผ่นทองคำ กล่าวว่าใครจักอาจเอาชนะบุรุษผู้อุดมมีรูปอย่างนี้ ได้หันกลับไม่ยอมเข้าหมู่บริษัทหนีไป. มหาชนไล่ตามปริพาชกแล้ว กลับมากราบทูลความเป็นไปนั้นแด่พระศาสดา.
พระศาสดาตรัสว่า ปริพาชกนั้นเห็นพระพักตร์มีฉวีวรรณดังทองคำของเราหนีไปแล้วในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้ในกาลก่อนก็ได้หนีไปแล้วเหมือนกัน ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี พระเจ้าคันธารราชพระองค์หนึ่งเสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองตักกสิลา. พระเจ้าคันธารราชนั้นดำริว่าจะไปตีกรุงพาราณสี พรั่งพร้อมด้วยจตุรงคเสนา ยกทัพมาล้อมกรุงพาราณสีไว้ ประทับยืนใกล้ประตูนคร ทอดพระเนตรดูพลพาหนะของพระองค์ คิดว่าใครจะอาจเอาชนะพลพาหนะมีประมาณเท่านี้ได้. ได้กล่าวคาถาแรกสรรเสริญกองทัพของพระองค์ว่า :-
ธงสำหรับรถของเรามีมากมาย พลพาหนะของเราก็นับไม่ถ้วน แสนยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้าสู้รบได้ ดุจสาครยากที่ฝูงกาจะบินข้ามให้ถึงฝั่งได้ฉะนั้น
อนึ่ง กองพลของเรานี้ยากที่กองพลอื่นจะหาญเข้าตีหักได้ ดุจภูเขาอันลมไม่อาจให้ไหวได้ฉะนั้น วันนี้เราประกอบด้วยกองพลเท่านี้ อันกองพลเช่นนั้นยากที่ศัตรูจะหาญหักเข้ารุกรานได้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงแสดงพระพักตร์ของพระองค์ อันทรงสิริดุจจันทร์เพ็ญแก่พระเจ้าคันธารราชนั้น ทรงขู่ขวัญว่า พระราชาผู้เป็นพาล อย่าพร่ำเพ้อไปเลย บัดนี้เราจักบดขยี้พลพาหนะของท่านเสีย ให้เหมือนช้างซับมันเหยียบย่ำพงอ้อ ฉะนั้น
ได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ท่านอย่าพูดเพ้อถึงความที่ตนเป็นคนโง่เขลาไปเลย คนเช่นท่านจะเรียกว่าผู้สามารถมิได้ ท่านถูกความเร่าร้อน คือราคะ โทสะ โมหะ และมานะเผารนอยู่เสมอ ไม่อาจจะกำจัดเราได้เลย จะต้องหนีเราไป กองพลของเราจักย่ำยีท่านหมดทั้งกองพล ดุจช้างเมามันขยี้ไม้อ้อด้วยเท้าฉะนั้น.
ฝ่ายพระเจ้าคันธารราชได้สดับคำของพระโพธิสัตว์ตรัสขู่ขวัญฉะนี้แล้ว ทอดพระเนตรดู ทรงเห็นพระนลาฎเช่นกับแผ่นทองคำ กลัวจะถูกจับ พระองค์จึงหันกลับหนีคืนสู่นครของพระองค์.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
พระเจ้าคันธารราชในครั้งนั้น ได้เป็นปริพาชกในครั้งนี้.
ส่วนพระเจ้าพาราณสี คือ เราตถาคต นี้แล.
จบ อรรถกถาทุติยปลายิชาดกที่ ๑๐
------------------------------
ไม่มีความเห็น