ฆตาสนชาดก
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๓. ฆตาสนชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๓๓)
ว่าด้วยภัยเกิดจากที่พึ่ง
(พญานกโพธิสัตว์เห็นเปลวเพลิงลุกโพลงจากน้ำ จึงชวนพวกนกไปอยู่ที่อื่นว่า)
[๑๓๓] ความเกษมสำราญมีอยู่บนหลังผิวน้ำใด บนหลังผิวน้ำนั้นมีศัตรูเกิดขึ้น ไฟลุกโพลงอยู่ท่ามกลางน้ำ วันนี้ จะอยู่บนต้นไม้ซึ่งเกิดที่พื้นดินไม่ได้อีก พวกเจ้าจงพากันบินไปยังทิศต่างๆ เถิด วันนี้ ที่พึ่งของพวกเรามีภัยเกิดขึ้นแล้ว
ฆตาสนชาดกที่ ๓ จบ
-------------------
คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา
ฆตาสนชาดก
ว่าด้วย ภัยเกิดจากที่พึ่ง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ภิกษุนั้นเรียนพระกรรมฐานจากสำนักของพระศาสดา แล้วไปสู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง อาศัยหมู่บ้านหมู่หนึ่งจำพรรษาในเสนาสนะป่า ในเดือนแรกนั้นเอง เมื่อเธอเข้าไปบิณฑบาต บรรณศาลาถูกไฟไหม้ เธอลำบากด้วยไม่มีที่อยู่ จึงบอกพวกอุปัฏฐาก คนเหล่านั้นพากันพูดว่า ไม่เป็นไรดอก พระคุณเจ้า พวกกระผมจักสร้างบรรณศาลาถวาย รอให้พวกกระผมไถนาเสียก่อน หว่านข้าวเสียก่อนเถิดขอรับ จนเวลา ๓ เดือนผ่านไป เธอไม่อาจบำเพ็ญพระกรรมฐานให้ถึงที่สุดได้ เพราะไม่มีเสนาสนะเป็นที่สบาย แม้เพียงนิมิตก็ให้เกิดขึ้นไม่ได้
พอออกพรรษา เธอจึงไปสู่พระเชตวันวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเธอ แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ กรรมฐานของเธอเป็นสัปปายะ หรือไม่เล่า? เธอจึงกราบทูลความไม่สะดวกจำเดิมแต่ต้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ในกาลก่อนโน้น แม้สัตว์เดียรัจฉานทั้งหลาย ก็ยังรู้จักสัปปายะ และอสัปปายะของตน พากันอยู่อาศัยในเวลาสบาย ในเวลาไม่สบายก็พากันทิ้งที่อยู่เสียไปในที่อื่น เหตุไร เธอจึงไม่รู้สัปปายะ และอสัปปายะของตนเล่า.
เธอกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนก บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว ถึงความงามเป็นเลิศ ได้เป็นพระยานก อาศัยต้นไม้ใหญ่ สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน สาขา และค่าคบ มีใบหนาแน่นอยู่ใกล้ฝั่งสระเกิดเอง ในแนวป่าตำบลหนึ่ง อยู่เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งบริวาร นกเป็นจำนวนมาก เมื่ออยู่ที่กิ่งอันยื่นไปเหนือน้ำของต้นไม้นั้น ก็พากันถ่ายคูถลงในน้ำ.
และในชาตสระนั่นเล่า ก็มีนาคราชผู้ดุร้ายอาศัยอยู่ นาคราชนั้นมีวิตกว่า นกเหล่านี้พากันขี้ลงในสระอันเกิดเอง อันเป็นที่อยู่ของเรา เห็นจะต้องให้ไฟลุกขึ้นจากน้ำเผาต้นไม้เสีย ให้พวกมันหนีไป พญานาคนั้นมีใจโกรธ ตอนกลางคืน เวลาที่พวกนกทั้งหมดมาประชุมกันนอนที่กิ่งไม้ทั้งหลาย ก็เริ่มทำให้น้ำเดือดพล่าน เหมือนกับยกเอาสระขึ้นตั้งบนเตาไฟฉะนั้น เป็นชั้นแรก ชั้นที่สองก็ทำให้ควันพุ่งขึ้น ชั้นที่สามทำให้เปลวไฟลุกขึ้นสูงชั่วลำตาล
พระโพธิสัตว์เห็นไฟลุกขึ้นจากน้ำ ก็กล่าวว่า ดูก่อนชาวเราฝูงนกทั้งหลาย ธรรมดาไฟติดขึ้นเขาก็พากันเอาน้ำดับ แต่บัดนี้ น้ำนั่นแหละกลับลุกเป็นไฟขึ้น พวกเราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ ต้องพากันไปที่อื่น
แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
"ความเกษมมีอยู่บนหลังน้ำใด บนหลังน้ำนั้นมีข้าศึกมารบกวน ไฟลุกโพลงอยู่กลางน้ำ วันนี้จะอยู่บนต้นไม้ เหนือแผ่นดินไม่ได้แล้ว พวกเจ้าจงพากันบินไปตามทิศทางกันเถิด วันนี้ที่พึ่งของพวกเราเป็นภัยเสียแล้ว" ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็พาฝูงนกที่เชื่อฟังคำบินไปในที่อื่น ฝูงนกที่ไม่เชื่อฟังคำของพระโพธิสัตว์ ต่างพากันเกาะอยู่ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ฝูงนกที่กระทำตามคำของพระโพธิสัตว์ ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนพระยานก ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
-----------------------------
ไม่มีความเห็น