โกสิยชาดก


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมาตุคามในพระนครสาวัตถีนางหนึ่ง

โกสิยชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. โกสิยชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๑๓๐)

ว่าด้วยนางพราหมณีชื่อโกสิยา

             (มาณพกล่าวเตือนนางพราหมณีว่า)

             [๑๓๐] นี่นางโกสิยา เธอจงกินยาให้สมกับที่อ้างว่าป่วย และจงพูดให้สมกับอาหารที่กินเข้าไป คำพูดกับอาหารที่เธอกินทั้ง ๒ อย่างไม่สมกันเลย

โกสิยชาดกที่ ๑๐ จบ

กุสนาฬิวรรคที่ ๑๓ จบ

---------------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เอกกนิบาตชาดก กุสนาฬิวรรค

๑๐. โกสิยชาดก ว่าด้วยถ้อยคำกับการกินไม่สมกัน

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภมาตุคามในพระนครสาวัตถีนางหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า นางเป็นพราหมณีของพราหมณ์อุบาสกผู้มีศรัทธาปสาทะผู้หนึ่ง เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้าลามก กลางคืนก็ประพฤตินอกใจ กลางวันก็ไม่ทำงานอะไร แสดงท่าทางอย่างคนไข้ นอนทอดถอนใจอยู่ไปมา.
               ครั้งนั้น พราหมณ์ถามนางว่า แม่มหาจำเริญ เธอไม่สบาย เป็นอะไรไปหรือ?
               นางตอบว่า ลมมันเสียดแทงดิฉัน.
               พราหมณ์ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ได้อะไรถึงจะเหมาะเล่า?
               นางตอบว่า ต้องได้รับยาคูภัตรและน้ำมันเป็นต้น ที่ประณีตๆ.
               พราหมณ์ก็ไปหาสิ่งที่นางต้องการนั้นๆ มาให้ กระทำกิจทุกอย่างเหมือนเป็นทาส.
               ฝ่ายนางพราหมณี เวลาพราหมณ์เข้าเรือนก็นอน เวลาพราหมณ์ออกไปก็หยอกล้อกับชายชู้.
               ฝ่ายพราหมณ์ดำริว่า กองลมที่เสียดแทงสรีระภรรยาของเรานี้ ดูท่าจะไม่มีที่สิ้นสุด. วันหนึ่ง จึงถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ไปสู่พระเชตวันวิหาร บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               เมื่อมีพระดำรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ เพราะเหตุไร ท่านจึงมิค่อยได้มา?
               พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นัยว่า กองลมเสียดแทงสรีระนางพราหมณีของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องแสวงหาเนยใส น้ำมันเป็นต้น และโภชนะที่ประณีตๆ ให้นาง ร่างกายของนางก็ดูอ้วนท้วน ผ่องใส มีผิวพรรณดี แต่โรคลมดูไม่มีท่าจะสิ้นสุดได้เลย ข้าพระองค์ต้องปรนนิบัตินางอยู่เรื่อยๆ จึงไม่ได้โอกาสมาวิหารนี้ พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาทรงทราบความเลวของนางพราหมณีแล้ว จึงตรัสว่า พราหมณ์ เมื่อมาตุคามนอนเสียอย่างนี้ โรคก็ไม่สงบ ต้องปรุงยาอย่างนี้แล อย่างนี้ให้ จึงจะสมควร. แม้ในครั้งก่อน บัณฑิตก็เคยบอกท่านแล้ว แต่ท่านกำหนดจดจำไม่ได้เอง เพราะมีเหตุที่ภพมากำบังไว้เสีย. พราหมณ์กราบทูลอาราธนา.
               จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล เรียนศิลปะทุกประการในเมืองตักกสิลา แล้วได้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในพระนครพาราณสี. ขัตติยกุมารในราชธานีทั้งร้อยเอ็ด และพราหมณกุมาร พากันมาเรียนศิลปะในสำนักของท่านผู้เดียวมากมาย.
               ครั้งนั้น มีพราหมณ์ชาวชนบทผู้หนึ่งเรียนไตรเพทและวิทยฐานะ ๑๘ ประการ ในสำนักของพระโพธิสัตว์แล้ว ตั้งหลักฐานอยู่ในพระนครพาราณสีนั่นเอง มาที่สำนักของพระโพธิสัตว์ วันละสอง-สามครั้งทุกวัน. นางพราหมณีของเขา เป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หยาบช้า ลามก. เรื่องทั้งปวงตั้งแต่นี้ไป ก็เช่นเดียวกับเรื่องปัจจุบันนั่นแล.
               ฝ่ายพระโพธิสัตว์ เมื่อพราหมณ์นั้นบอกว่า ด้วยเหตุนี้ กระผมจึงไม่มีโอกาส เพื่อจะไปรับโอวาท ดังนี้ ก็ทราบว่า นางมาณวิกานั้น นอนหลอกพราหมณ์นี้เสียแล้ว คิดว่า เราต้องบอกยาที่เหมาะสมให้แก่นาง แล้วกล่าวว่า พ่อคุณ ต่อแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ให้เนยใส และน้ำนมสดแก่นางเป็นอันขาด แต่จงโขลกใบไม้ ๕ อย่างและผล ๓ อย่างเป็นต้น ใส่ในมูตรโค แล้วแช่ไว้ในภาชนะทองแดงใหม่ๆ ให้กลิ่นโลหะมันจับ แล้วถือเชือก หวายหรือไม้เรียว กล่าวว่า ยานี้เหมาะแก่โรคของเจ้า เจ้าจงกินยานี้ หรือไม่เช่นนั้น ก็ลุกขึ้นทำการงานให้สมควรแก่ภัตรที่เจ้าบริโภค. แล้วต้องกล่าวคาถานี้ ถ้านางไม่ยอมดื่มยา ก็ต้องเอาเชือกหรือหวาย หรือไม้เรียว หวดนางลงไปอย่างไม่ต้องนับ แล้วจิกผม กระชากมาถองด้วยศอก นางจักลุกขึ้นทำงาน ในทันใดนั่นเอง.
               เขารับคำว่า ดีจริง ขอรับ. แล้วทำยาตามข้อที่บอกแล้ว นั่นแหละ.
               กล่าวว่า แม่มหาจำเริญ เชิญดื่มยานี้เถิด.
               นางถามว่า ยานี้ใครบอกท่านเล่า เจ้าคะ?
               ตอบว่า อาจารย์บอกให้ แม่มหาจำเริญ.
               นางกล่าวว่า เอามันไปเสียเถิด ฉันไม่ดื่ม.
               มาณพกล่าวว่า เจ้าจักดื่มตามใจชอบของตนไม่ได้ แล้วคว้าเชือก กล่าวว่า เจ้าจงดื่มยาที่เหมาะแก่โรคของตน หรือมิฉะนั้น ก็จงทำงานให้สมควรแก่ภัตรที่บริโภค.
               แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า
               “ ดูก่อนนางผู้โกสิยะ เจ้าจงกินยาให้สมกับที่อ้างว่าป่วย หรือจงทำงานให้สมกับอาหารที่บริโภค เพราะถ้อยคำกับการกินของเจ้าทั้งสองอย่าง ไม่สมกันเลย ” ดังนี้.
               เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ธิดาแห่งโกสิยพราหมณ์คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่อาจารย์ช่วยขวนขวายแล้ว เราไม่อาจลวงเขาอย่างนี้ต่อไปได้ ต้องลุกขึ้นทำการงาน ดังนี้แล้ว ก็ลุกขึ้นประกอบกิจตามหน้าที่ ทั้งยังเป็นหญิงมีศีล งดเว้นจากการทำความชั่ว ด้วยความยำเกรงในอาจารย์ว่า ความที่เราเป็นหญิงประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อาจารย์รู้หมดแล้ว ต่อแต่นี้ไป เราไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้อีก.
               แม้นางพราหมณีนั้นก็ไม่กล้าทำอนาจารซ้ำอีกด้วยความเคารพในพระศาสดาว่า ได้ยินว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้เรื่องของเราแล้ว.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
               คู่สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้มาเป็น คู่สามีภรรยา ในบัดนี้
               ส่วนอาจารย์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาโกสิยชาดกที่ ๑๐.               
               จบ กุสนาฬิวรรคที่ ๑๓.               
               -----------------------------------------------------            

 

หมายเลขบันทึก: 717340เขียนเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2024 05:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2024 05:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท