สาเกตชาดก


ใจจดจ่ออยู่ในผู้ใด แม้จิตเลื่อมใสในผู้ใด บุคคลพึงคุ้นเคยสนิทสนม แม้ในผู้นั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน

สาเกตชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๘. สาเกตชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๖๘)

ว่าด้วยพระพุทธเจ้าครั้งเสวยพระชาติเป็นบุตรพราหมณ์ชาวเมืองสาเกต

             (พระศาสดาทรงเล่าเรื่องที่พระองค์ทรงเติบโตในมือของพราหมณ์และพราหมณี ๓,๐๐๐ ชาติ ตรัสพระคาถานี้ว่า)

             [๖๘] บุคคลมีจิตเลื่อมใสและมีใจฝังแน่นอยู่ในบุคคลใด บุคคลพึงสนิทสนมคุ้นเคยในบุคคลนั้น แม้ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบเห็นกันเลย

สาเกตชาดกที่ ๘ จบ

----------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

เอกกนิบาตชาดก อิตถีวรรค

๘. สาเกตชาดก ว่าด้วยวางใจคนที่ชอบใจ

               พระศาสดาทรงอาศัยเมืองสาเกต ประทับ ณ พระวิหารอัญชนวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ เสด็จเข้าเมืองสาเกตเพื่อบิณฑบาต. พราหมณ์แก่ชาวเมืองสาเกตุผู้หนึ่งกำลังเดินไปนอกพระนคร เห็นพระทศพล ระหว่างประตู ก็หมอบลงแทบพระยุคลบาท ยึดข้อพระบาททั้งคู่ไว้แน่น พลางกราบทูลว่า พ่อมหาจำเริญ ธรรมดาว่าบุตรต้องปรนนิบัติ มารดาบิดาในยามแก่มิใช่หรือ เหตุไร พ่อจึงไม่แสดงตนแก่เรา ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เราเห็นพ่อก่อนแล้ว แต่พ่อจงมาพบกับมารดา แล้วพาพระศาสดาไปเรือนของตน.
               พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนของพราหมณ์ ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดไว้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์.
               ฝ่ายพราหมณีได้ข่าวว่า บัดนี้ บุตรของเรามาแล้ว ก็มาหมอบแทบบาทยุคลของพระบรมศาสดา แล้วร่ำไห้ว่า พ่อคุณทูลหัว พ่อไปไหนเสียนานถึงปานนี้ ธรรมดาบุตรต้องบำรุง มารดาบิดายามแก่มิใช่หรือ แล้วบอกให้บุตรธิดา พากันมาไหว้ด้วยคำว่า พวกเจ้าจงไหว้พี่ชายเสีย.
               พราหมณ์ทั้งสองผัวเมียดีใจ ถวายมหาทาน.
               พระศาสดา ครั้นเสวยเสร็จแล้ว ก็ตรัสชราสูตร แก่พราหมณ์แม้ทั้งสองเหล่านั้น.
               ในเวลาจบพระสูตร คนแม้ทั้งสองก็ตั้งอยู่ในพระอนาคามิผล.
               พระศาสดาเสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จไปพระวิหารอัญชนวันตามเดิม.
               พวกภิกษุนั่งประชุมกันในโรงธรรม สนทนากันขึ้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พราหมณ์ก็รู้อยู่ว่า พระบิดาของพระตถาคตคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดาคือพระนางมหามายา. ทั้งๆ ที่รู้อยู่ ก็ยังบอกพระตถาคต กับนางพราหมณีว่าบุตรของเรา. ถึงพระศาสดาก็ทรงรับ.
               ข้อนี้ เป็นเพราะเหตุไรหนอ?
               พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์ แม้ทั้งสองเรียกบุตรของตน นั่นแหละว่าบุตร.
               แล้วทรงนำอดีตนิทาน มาตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นี้ ในอดีตกาลได้เป็นบิดาของเราตลอด ๕๐๐ ชาติ เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นปู่ของเรา ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสาย. แม้นางพราหมณีนี้เล่าก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสายเลยดุจกัน. เราเจริญแล้วในมือของพราหมณ์ ๑๕๐๐ ชาติ จำเริญแล้วในมือของนางพราหมณี ๑๕๐๐ ชาติอย่างนี้ เป็นอันทรงตรัสถึงชาติในอดีต ๓๐๐๐ ชาติ.
               ครั้นตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-
               ใจจดจ่ออยู่ในผู้ใด แม้จิตเลื่อมใสในผู้ใด บุคคลพึงคุ้นเคยสนิทสนม แม้ในผู้นั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน ดังนี้.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาอย่างนี้แล้ว ทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
               พราหมณ์และพราหมณีในครั้งนั้น ได้มาเป็น พราหมณ์และนางพราหมณีคู่นี้ นั่นแล
               ฝ่ายบุตรได้แก่ เราตถาคต นั่นเอง ฉะนี้แล.

               ------------------------------------------------               

 

หมายเลขบันทึก: 716727เขียนเมื่อ 10 ธันวาคม 2023 04:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม 2023 04:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท