อังคุลิมาลเถรคาถา


ท่านสมณะ ท่านยังเดินอยู่ แต่กลับกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และกล่าวหาเราซึ่งหยุดแล้วว่า ไม่หยุด

อังคุลิมาลเถรคาถา

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา

พลตรี มารวย ส่งทานินทร์

๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖

๘. อังคุลิมาลเถรคาถา

ภาษิตของพระองคุลิมาลเถระ

             (พระองคุลิมาลเถระ ครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยภาษิตว่า)

             [๘๖๖] ท่านสมณะ ท่านยังเดินอยู่ แต่กลับกล่าวว่า เราหยุดแล้ว และกล่าวหาเราซึ่งหยุดแล้วว่า ไม่หยุด ท่านสมณะ เราขอถามท่านถึงความข้อนี้ที่ว่า ท่านหยุดแล้ว แต่เราซิ ไม่หยุด อย่างไรกัน

             (พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบองคุลิมาลโจรนั้นด้วยพระคาถาว่า)

             [๘๖๗] องคุลิมาล เราได้ละทิ้งโทษทัณฑ์ในสัตว์ทั้งมวลอยู่ทุกเมื่อ ส่วนท่านซิไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านชื่อว่ายังไม่หยุด

             (องคุลิมาลโจร กราบทูลว่า)

             [๘๖๘] เป็นเวลานานหนอที่พระองค์ซึ่งเป็นสมณะ ที่ชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลกบูชา ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาสู่ป่าใหญ่เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ ข้าพระองค์นั้น ได้สดับพระพุทธภาษิต ซึ่งประกอบด้วยธรรมของพระองค์จะเลิกละบาปตั้งพัน

             (พระสังคีติกาจารย์ ได้รจนา ๒ ภาษิตเหล่านี้ว่า)

             [๘๖๙] ครั้นองคุลิมาลโจรกราบทูลแล้ว ก็ได้โยนดาบและอาวุธทิ้งเหวซึ่งทั้งกว้างและลึก ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทพระสุคต ได้ทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้า ณ ที่นั้นนั่นเอง

             [๘๗๐] ทันใดนั้นเอง พระพุทธเจ้า ทรงมีพระกรุณา ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นศาสดาของชาวโลกพร้อมทั้งเทวโลก ได้ตรัสกับองคุลิมาลโจรนั้นว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ องคุลิมาลโจรนั้น ก็ได้เป็นภิกษุ

             (พระองคุลิมาลเถระเกิดปีติโสมนัส จึงได้กล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า)

             [๘๗๑] ผู้ใด ประมาทแล้วในกาลก่อน ภายหลัง ไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว ดุจดวงจันทร์พ้นจากเมฆ

             [๘๗๒] บาปกรรมที่ทำไว้ ผู้ใดปิดกั้นเสียได้ ด้วยกุศล ผู้นั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว ดุจดวงจันทร์พ้นจากเมฆ

             [๘๗๓] ภิกษุใดแลยังหนุ่มแน่น ย่อมประกอบขวนขวายในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้น ย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว ดุจดวงจันทร์พ้นจากเมฆ

             [๘๗๔] พวกคนที่เป็นข้าศึกกับเรา ขอเชิญสดับธรรมกถา ขอเชิญปฏิบัติในพระพุทธศาสนาขอเชิญคบค้าสมาคมกับคนที่เป็นสัตบุรุษซึ่งยึดมั่นแต่ธรรมเท่านั้น

             [๘๗๕] ขอเชิญสดับธรรมของท่านที่กล่าวสรรเสริญความอดทน ชอบสรรเสริญความไม่โกรธได้ตามกาล และขอเชิญปฏิบัติตามธรรมที่ได้สดับแล้วนั้น

             [๘๗๖] ผู้เป็นข้าศึกกับเรานั้นแล อย่าพึงเบียดเบียนเรา หรือสัตว์ไรๆ อื่นเลย พึงถึงความสงบอย่างเยี่ยม และพึงรักษาคุ้มครองสัตว์ทั้งมวลเหมือนอาจารย์คุ้มครองศิษย์

             [๘๗๗] พวกคนไขน้ำก็ทำหน้าที่ไขน้ำ พวกช่างทำศรก็ดัดลูกศร พวกช่างไม้ก็ถากไม้ พวกบัณฑิตก็ฝึกตน

             [๘๗๘] คนฝึกช้างและคนฝึกม้าบางพวก มีท่อนไม้ ขอและแส้จึงจะฝึกได้ เราพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้คงที่ ซึ่งไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ต้องใช้ศัสตรา ทรงฝึกได้เลย

             [๘๗๙] แต่ก่อนเรามีชื่อว่า อหิงสกะ แต่ยังเบียดเบียนอยู่ วันนี้ เรามีชื่อที่เป็นจริง ไม่เบียดเบียนใครๆ เลย

             [๘๘๐] แต่ก่อน เราได้เป็นโจรลือชื่อทั่วไปว่า องคุลิมาล ถูกห้วงน้ำใหญ่พัดพาไป จนได้มาถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง

             [๘๘๑] ครั้งก่อน เรามีมือเปื้อนเลือดลือชื่อทั่วไปว่า องคุลิมาล ดูเอาเถิด สรณคมน์ (การถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง) เราถอนตัณหาที่นำไปสู่ภพได้แล้ว

             [๘๘๒] เราได้ทำกรรมอันเป็นเหตุให้ไปทุคติเช่นนั้นไว้มาก จึงต้องรับผลกรรม บัดนี้ย่อมฉันโภชนะอย่างไม่เป็นหนี้

             [๘๘๓] เหล่าชนพาลที่มีปัญญาทราม ย่อมประกอบความประมาทอยู่เนืองๆ ส่วนผู้ที่มีปัญญาย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ ดุจบุคคลรักษาทรัพย์อันประเสริฐที่สุดไว้

             [๘๘๔] บุคคล อย่าพึงขวนขวายความประมาท อย่าขวนขวายหาความสนิทสนมด้วยความยินดีในกาม เพราะผู้ที่ไม่ประมาทเพ่งพินิจอยู่ ย่อมประสบความสุขอย่างยิ่ง

             [๘๘๕] การที่เรามาสำนักพระศาสดาเป็นการดีแล้ว มิใช่ไม่ดี การที่เราคิดจะบวชในสำนักพระศาสดานี้ก็มิใช่เป็นการคิดไม่ดี นั่นเป็นการเข้าถึงธรรมอย่างประเสริฐ ในพระธรรมที่พระศาสดาทรงจำแนกไว้ดีแล้ว

             [๘๘๖] การที่เรามายังสำนักพระผู้มีพระภาค เป็นการมาดีแล้วไม่ไร้ประโยชน์ การที่เราคิดจะบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคนี้ เป็นความคิดไม่เลวเลย เราได้บรรลุวิชชา ๓ ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว

             [๘๘๗] แต่ก่อน เราอยู่ตามป่า ตามโคนไม้ ตามภูเขา ตามถ้ำ ทุกหนแห่ง อย่างมีใจหวาดระแวง

             [๘๘๘] พอพระศาสดาทรงอนุเคราะห์แล้ว ไม่ต้องตกอยู่ในบ่วงมือมาร จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นสุข

             [๘๘๙] เมื่อก่อน เรามีเชื้อชาติเป็นพราหมณ์ มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิบริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย วันนี้ เรานั้นเป็นโอรสของพระสุคตศาสดาผู้เป็นพระธรรมราชา

             [๘๙๐] ปราศจากตัณหา ไม่ยึดมั่น คุ้มครองทวาร สำรวมดีแล้ว ตัดรากเหง้าแห่งทุกข์ได้แล้ว ความสิ้นอาสวะเราบรรลุแล้ว

             [๘๙๑] เราปรนนิบัติพระศาสดา ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปลงภาระที่หนักเสียได้ ถอนตัณหาที่นำไปสู่ภพได้ขาดแล้ว

----------------------------

คำอธิบายนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต

๘. องคุลิมาลเถรคาถา

               อรรถกถาองคุลิมาลเถรคาถาที่ ๘               

               
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งวิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นบุตรพราหมณ์นามว่าภัคควะ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าโกศลในเมืองสาวัตถี.
               ในวันที่ท่านเกิด อาวุธนานาชนิดทั่วทั้งพระนครลุกโพลง และพระแสงมงคลของพระราชา ซึ่งวางอยู่บนตั่งที่บรรทมก็ลุกโพลงด้วย พระราชาทรงเห็นดังนั้นทรงกลัวหวาดเสียว บรรทมไม่หลับ.
               ในเวลานั้น ปุโรหิตตรวจดูดาวนักษัตร จึงได้กระทำการตกลงว่า มีทารกเกิดแล้วในโจโรฤกษ์ ฤกษ์โจร. เมื่อราตรีสว่าง ท่านปุโรหิตเข้าไปเฝ้าพระราชา ทูลถามถึงความบรรทมสบาย.
               พระราชาตรัสว่า จะนอนสบายมาแต่ไหน อาจารย์ ตอนกลางคืน พระแสงมงคลของฉันลุกโพลง ข้อนั้นจักมีผลเป็นอย่างไรหนอ.
               ปุโรหิตกราบทูลว่า อย่าทรงกลัวเลย พระเจ้าข้า ทารกเกิดในเรือนของข้าพระองค์, ด้วยอานุภาพของทารกนั้น แม้อาวุธนานาชนิด ทั่วทั้งพระนครก็ลุกโพลง. พระราชาตรัสถามว่า จักเป็นอย่างไรล่ะ อาจารย์. ปุโรหิตทูลว่า ทารกจักเป็นโจร พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า จักเป็นโจรเที่ยวไปคนเดียว หรือว่าเป็นหัวหน้าคณะ. ปุโรหิตทูลว่า เป็นโจรเที่ยวไปผู้เดียว พระเจ้าข้า, จักให้พวกข้าพระองค์ฆ่าเขาไหมพระเจ้าข้า.
               พระราชาตรัสว่า ถ้าเป็นโจรเที่ยวไปคนเดียวไซร้ พวกท่านจงเลี้ยงเขาไว้ก่อน.
               เมื่อจะตั้งชื่อเขา เพราะเหตุที่เขาเมื่อจะเกิด ได้เกิดมาเบียดเบียนพระหฤทัยของพระราชา เพราะฉะนั้น จึงตั้งชื่อว่าหิงสกะ ภายหลังจึงเรียกชื่อว่าอหิงสกะ เหมือนที่พูดกันว่า เห็นแล้วก็พูดเสียว่าไม่เห็นฉะนั้น.
               อหิงสกะนั้นเติบโตแล้ว ทรงกำลังเท่าช้างสาร ๗ เชือก เพราะกำลังแห่งบุรพกรรม.
               อหิงสกะนั้นมีบุรพกรรมดังนี้ :-
               ในคราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า เขาบังเกิดเป็นชาวนา ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งเปียกน้ำฝน มีจีวรชุ่ม ถูกความหนาวเบียดเบียน เข้าไปยังพื้นที่นาของตน เกิดความโสมนัสว่า บุญเขตปรากฏแก่เราแล้ว จึงได้ก่อไฟถวาย.
               ด้วยกำลังแห่งกรรมนั้น เขาจึงเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยกำลังแรงและกำลังเชาวน์ ในที่ที่เกิดแล้วๆ ในอัตภาพสุดท้ายนี้จึงทรงกำลังเท่าช้างสาร ๗ เชือก.
               อหิงสกะนั้นไปเมืองตักกสิลา เป็นธัมมันเตวาสิก (คือศิษย์ชนิดทำการงานให้อาจารย์) ในสำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เรียนศิลปะ ปฏิบัติพราหมณ์ผู้อาจารย์ และภรรยาของอาจารย์โดยเคารพ. ด้วยเหตุนั้น นางพราหมณีนั้นจึงได้ทำการสงเคราะห์เขาด้วยอาหารเป็นต้นที่มีอยู่ในเรือน.
               พวกมาณพอื่นๆ อดทนไม่ได้ซึ่งการสงเคราะห์นั้น จึงได้ทำให้แตกกับอาจารย์.
               พราหมณ์ไม่เชื่อคำของมาณพเหล่านั้น ๒-๓ วาระ มาภายหลังเชื่อ คิดว่ามาณพมีกำลังมาก ใครๆ ไม่อาจฆ่าได้ เราจักฆ่าเขาด้วยอุบาย จึงกล่าวกะมาณพผู้เรียนจบศิลปะแล้ว มาลาเพื่อจะไปเมืองของตนว่า พ่ออหิงสกะ ธรรมดาศิษย์ผู้เรียนจบศิลปะแล้ว จะต้องให้ของคำนับครูแก่อาจารย์ เจ้าจงให้ของคำนับครูนั้นแก่เรา.
               อหิงสกะกล่าวว่า ดีแล้วท่านอาจารย์ ผมจักให้อะไร.
               พราหมณ์กล่าวว่า เจ้าจงนำเอานิ้วมือขวาของพวกมนุษย์มา ๑,๐๐๐ นิ้ว. ได้ยินว่า พราหมณ์ได้มีความประสงค์ต่อเขาดังนี้ว่า เมื่อฆ่าคนจำนวนมาก คนๆ หนึ่งจักฆ่าเขาได้โดยแท้.
               อหิงสกะได้ฟังดังนั้น จึงมุ่งหน้าว่า ตนไม่มีความกรุณาที่สะสมไว้นาน ผูกสอดอาวุธ ๕ อย่าง เข้าไปยังป่าชาลินวัน ในแคว้นของพระเจ้าโกศล อยู่ในระหว่างเขาใกล้หนทางใหญ่ ยืนยอดเขาเห็นพวกมนุษย์ผู้เดินไปตามทาง จึงรีบไป (ฆ่าตัด) เอานิ้วมือมาห้อยไว้ที่ยอดไม้.
               แร้งบ้าง กาบ้างกินนิ้วมือเหล่านั้นที่หล่นลงบนพื้นดินก็เปื่อยเน่าไป. เมื่อนิ้วมือไม่ครบจำนวนอย่างนี้ จึงเอาด้ายร้อยนิ้วมือที่ได้แล้วๆ กระทำให้เป็นพวงแล้วสะพายไหล่ เหมือนคล้องสายยัชโญปวีตฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมา เขาจึงได้มีสมัญญาว่า องคุลิมาล.
               เมื่อเขาฆ่าพวกมนุษย์อยู่อย่างนี้ หนทางก็ไม่มีคนใช้เดินทาง. เขาไม่ได้มนุษย์ในหนทาง จึงไปยังอุปจารบ้าน แอบฆ่ามนุษย์ที่มาแล้วๆ เอานิ้วมือไป. มนุษย์ทั้งหลายรู้เข้าก็พากันหลีกออกไปจากบ้าน บ้านทั้งหลายก็ร้าง นิคมและชนบทก็เหมือนกัน. ประเทศนั้นได้ถูกเขาทำให้อยู่กันไม่ได้ด้วยประการฉะนี้. องคุลิมาลได้รวบรวมนิ้วมือได้พันนิ้ว หย่อนอยู่หนึ่งนิ้ว.
               ลำดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้กราบทูลถึงอันตรายเพราะโจรนั้นแด่พระเจ้าโกศล. พระราชาจึงรับสั่งให้เที่ยวตีกลองไปในพระนครแต่เช้าตรู่ว่า พวกเรารีบจับองคุลิมาลโจร, พลนิกายจงมา.
               นางพราหมณีชื่อว่ามันตานีผู้เป็นมารดาขององคุลิมาล กล่าวกะบิดาขององคุลิมาลนั้นว่า ข่าวว่าบุตรของท่านเป็นโจรกระทำดังนี้ๆ ท่านจงไปเกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าทำเช่นนี้ แล้วพามา พระราชาจะพึงฆ่าเขาโดยประการอื่น. พราหมณ์กล่าวว่า เราไม่ต้องการบุตรเช่นนั้น พระราชาจงทรงกระทำตามพอพระทัยเถิด.
               ลำดับนั้น พราหมณีมีความรักบุตร จึงถือเอาเสบียงทางแล้วเดินทางไปด้วยหวังใจว่า เราจักยังบุตรของเราให้ยินยอมแล้วพามา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พราหมณีนี้จะไปด้วยหวังว่าจักนำองคุลิมาลมา ถ้านางจักไป องคุลิมาลก็จักฆ่ามารดาเสียด้วยคิดว่าจะให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว. ก็องคุลิมาลนั้นเป็นปัจฉิมภวิกสัตว์ ถ้าเราจักไม่ไปไซร้ ความเสื่อมใหญ่จักได้มีแล้ว จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัต ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ทรงดำเนินไปด้วยพระบาทสิ้นหนทาง ๓๐ โยชน์ เฉพาะเจาะจงองคุลิมาล ในระหว่างทาง แม้คนเลี้ยงโคเป็นต้นห้ามปรามก็เสด็จเข้าถึงป่าชาลินวัน.
               ก็ขณะนั้น พอดีเขาได้เห็นมารดาของเขา ครั้นเขาเห็นมารดาแต่ไกล จึงเงื้อดาบวิ่งเข้าไปหมายใจว่า แม้มารดาเราก็จักฆ่า ทำนิ้วที่หย่อนให้ครบเต็มพันในวันนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระองค์ในระหว่างคนทั้งสองนั้น. องคุลิมาลได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงคิดว่า เราจะประโยชน์อะไรด้วยการฆ่ามารดาแล้วถือเอานิ้วมือ มารดาเราจงมีชีวิตอยู่เถิด ถ้ากระไรเราพึงปลงชีวิตพระสมณะนี้แล้วถือเอานิ้วมือ จึงเงื้อดาบติดตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลังๆ.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอิทธาภิสังขารโดยประการที่องคุลิมาลแม้จะวิ่งจนสุดแรง ก็ไม่อาจทันพระองค์ทั้งที่พระองค์เสด็จไปโดยพระอิริยาบถปกติได้. เขาถอยความเร็วลง หายใจครืดๆ เหงื่อไหลออกจากรักแร้ทั้งสองข้าง ไม่อาจแม้จะยกเท้าขึ้น จึงยืนเหมือนตอไม้ กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า หยุดเถิด หยุดเถิด สมณะ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เสด็จดำเนินอยู่ จึงตรัสว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล เธอแหละจงหยุด.
               เขาคิดว่า พระสมณศากยบุตรเหล่านี้แลมีปกติพูดคำสัจจริง สมณะนี้ทั้งๆ ที่เดินไปก็พูดว่า เราหยุดแล้ว องคุลิมาล เธอนั่นแหละจงหยุด. ก็เราเป็นผู้หยุดแล้ว สมณะนี้มีความประสงค์อย่างไรแล เราจักถามให้รู้ความประสงค์นั้น จึงได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
                 ดูก่อนสมณะ ท่านสิกำลังเดินอยู่ กลับกล่าวว่าเราหยุดแล้ว ส่วนข้าพเจ้าหยุดแล้ว ท่านกลับกล่าวว่าไม่หยุด ดูก่อนสมณะ ข้าพเจ้าขอถามความนี้กะท่าน ท่านกำลังเดินอยู่ เพราะเหตุไร จึงกล่าวว่าหยุดแล้ว ส่วนข้าพเจ้าสิ หยุดแล้ว ท่านกลับกล่าวว่าไม่หยุด.
               เมื่อองคุลิมาลกล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสกะเขาด้วยพระคาถาว่า
               ดูก่อนองคุลิมาล เราวางอาชญาในสัตว์ทั้งปวงเสียแล้ว ส่วนท่านสิ ยังไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลายฉะนั้น เราจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ส่วนท่านชื่อว่ายังไม่หยุด.
               ลำดับนั้น องคุลิมาลเกิดความปิติโสมนัสว่า พระสมณะนี้คือพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เพราะเคยได้ฟังเกียรติศัพท์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกาศคุณตามความเป็นจริง ผู้ทรงทำชาวโลกทั้งสิ้นให้เอิบอาบอยู่ ดุจน้ำมันเอิบอาบอยู่บนพื้นน้ำฉะนั้น และเพราะเหตุสมบัติและญาณถึงความแก่กล้าแล้ว จึงคิดว่าการบันลือสีหนาทใหญ่นี้ การกระหึ่มใหญ่นี้จักไม่มีแก่ผู้อื่น การกระหึ่มนี้เห็นจะเป็นของพระสมณโคดม เราเป็นผู้อันพระสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ทรงเห็นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาที่นี้เพื่อกระทำการสงเคราะห์เรา จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า
                  พระองค์เป็นสมณะที่ชาวโลกกับทั้งเทวโลกบูชาด้วยเครื่องบูชามากมาย ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพิ่งจะเสด็จมาถึงป่าใหญ่ เพื่อโปรดข้าพระองค์โดยกาลนานหนอ ข้าพระองค์ได้สดับพระคาถาซึ่งประกอบด้วยเหตุผลของพระองค์แล้ว จักละเลิกบาปกรรมตั้งพันเสีย.
               ก็ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เพื่อจะแสดงประการที่ตนปฏิบัติ และประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์.
               พระสังคีติกาจารย์จึงได้ตั้งคาถา ๒ คาถานี้ว่า
               ครั้นองคุลิมาลโจรกราบทูลดังนี้แล้ว ก็โยนดาบและอาวุธทั้งหมดทิ้งลงในหนองน้ำ บ่อน้ำและเหว ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระสุคตเจ้า แล้วทูลขอบรรพชากะพระพุทธเจ้า ณ ที่นั้นเอง ทันใดนั้นแล พระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบไปด้วยพระกรุณา ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เป็นศาสดาของโลกกับทั้งเทวโลก ได้ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ ความเป็นภิกษุได้มีแก่องคุลิมาลโจรนั้นในขณะนั้นทีเดียว.
               เมื่อองคุลิมาลโจรนั้นทูลขอบรรพชาอย่างนี้ พระศาสดาทรงตรวจดูกรรมในก่อนของเขา ทรงเห็นเหตุสมบัติแห่งความเป็นเอหิภิกษุ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาออกไปแล้วตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
               ก็พระวาจานั้นนั่นแล ได้เป็นบรรพชาและอุปสมบทขององคุลิมาลนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสกะองคุลิมาลนั้นว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ความเป็นภิกษุได้มีแก่องคุลิมาลนั้น ในขณะนั้นทีเดียว.
               พระเถระได้การบรรพชาและอุปสมบท โดยความเป็นเอหิภิกขุอย่างนี้แล้ว กระทำวิปัสสนากรรมได้บรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ เกิดความปิติโสมนัส จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาโดยอุทานว่า
               ผู้ใดประมาทแล้วในตอนต้น ภายหลังเขาไม่ประมาท ผู้นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น. บาปกรรมที่ทำไว้แล้วอันผู้ใดปิดกั้นไว้ด้วยกุศล ผู้นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
               ภิกษุใดแล แม้จะยังหนุ่มประกอบความขวนขวายในพระพุทธศาสนา ภิกษุนั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
               เนื้อความแห่งคำที่เป็นคาถานั้นว่า
               บุคคลใดจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ในกาลก่อนแต่การคบหากับกัลยาณมิตร ประมาทแล้วโดยการเกี่ยวข้องกับมิตรชั่ว หรือโดยภาวะที่ตนไม่มีการพิจารณา คือถึงความประมาทในสัมมาปฏิบัติ ภายหลังความแยบคายผุดขึ้น เพราะการเกี่ยวข้องกับกัลยาณมิตร ชื่อว่าย่อมไม่ประมาท คือปฏิบัติชอบอยู่ หมั่นประกอบเนืองๆ ซึ่งสมถะและวิปัสสนา ย่อมบรรลุวิชชา ๓ อภิญญา ๖ บุคคลนั้นย่อมทำโลกมีขันธโลกเป็นต้นนี้ให้สว่างไสวด้วยวิชชาและอภิญญาที่ตนบรรลุ เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกเป็นต้น ทำโอกาสโลกให้สว่างอยู่ฉะนั้น.
               กรรมชั่วที่บุคคลใดทำไว้แล้ว คือสั่งสมไว้แล้ว ย่อมปิดคือกั้นด้วยการปิดกั้นทวารในอันที่จะยังวิบากให้เกิดขึ้น เพราะภาวะที่โลกุตรกุศลอันกระทำกรรมให้สิ้นไป นำเอาภาวะที่ไม่ควรแก่วิบากมาให้.
               จริงอยู่ พระเถระนั้นสามารถครอบงำอันตรายจากลมและแดดที่เกิดขึ้น แล้วกระทำความเพียรเป็นเครื่องประกอบ. ย่อมประกอบความขวนขวายในพระพุทธศาสนา คือเป็นผู้ประกอบความขวนขวายในสิกขา ๓.
               อธิบายว่า ยังสิกขา ๓ ให้ถึงพร้อมโดยความเคารพ.
               พระเถระเกิดปิติโสมนัสอย่างนี้ อยู่ด้วยวิมุตติสุข ในกาลใดเข้าไปบิณฑบาตในนคร ในกาลนั้น ก้อนดินแม้คนอื่นขว้างมา ก็ตกลงที่ร่างกายของพระเถระ ท่อนไม้แม้ที่คนอื่นปามา ก็ตกลงที่ร่างกายของพระเถระนั้นเหมือนกัน.
               พระเถระนั้นมีบาตรแตก เข้าไปยังพระวิหารเข้าเฝ้าพระศาสดา.
               พระศาสดาทรงโอวาทพระเถระว่า เธอจงอดกลั้นเถิดพราหมณ์ เธอจงอดกลั้นเถิดพราหมณ์ เธอจงเสวยวิบากของกรรมที่จะทำให้ไหม้ในนรกหลายพันปีนั้น เฉพาะในปัจจุบันเถิดพราหมณ์.
               ลำดับนั้น พระเถระจึงเข้าไปตั้งเมตตาจิตในสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เจาะจง แล้วได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ว่า
              ก็ผู้เป็นข้าศึกต่อเรา จงฟังธรรมกถาที่เราได้ฟังแล้วในสำนักของพระศาสดา ขอจงประกอบความขวนขวายในพระพุทธศาสนา ขอจงคบหากับมนุษย์ผู้เป็นสัตบุรุษผู้ถือมั่นแต่ธรรมอย่างเดียว.
              ก็ผู้เป็นข้าศึกต่อเรา ขอเชิญฟังธรรมของท่านผู้กล่าวสรรเสริญความอดทน ผู้มีปกติสรรเสริญความไม่โกรธ ตามเวลาอันควร และขอจงปฏิบัติตามธรรมอันสมควรแก่ธรรมนั้นเถิด ขออย่าเบียดเบียนเราและประชาชนหรือว่าสัตว์อื่นใดเลย พึงบรรลุความสงบอย่างเยี่ยมและพึงรักษาสัตว์ทั้งปวงให้เป็นเหมือนบุตรที่รักเถิด.
              ก็ชาวนาที่ต้องการน้ำย่อมไขน้ำไป ช่างศรย่อมดัดลูกศร ช่างไม้ย่อมถากไม้ บัณฑิตย่อมฝึกตน.
               คนบางพวกย่อมฝึกช้างและม้าเป็นต้น ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยขอบ้าง ด้วยแส้บ้าง ส่วนเราเป็นผู้อันพระศาสดาผู้คงที่ทรงฝึกแล้ว โดยไม่ได้ทรงใช้อาชญาและศาสตรา.
               เมื่อก่อนเรามีชื่อว่าอหิงสกะ ผู้ไม่เบียดเบียน แต่เรายังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ วันนี้เราเป็นผู้มีชื่อจริง ไม่เบียดเบียนใคร แต่ก่อนเราเป็นโจรลือชาทั่วไปว่าองคุลิมาล แต่บัดนี้องคุลิมาลได้มาพบพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งเข้าแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพน้อยใหญ่ขึ้นได้แล้ว เราได้ทำกรรมเช่นนั้นอันเป็นเหตุให้ไปสู่ทุคติเป็นอันมาก จึงต้องมารับผลกรรมที่ทำไว้ แต่บัดนี้ เราบริโภคโภชนะโดยไม่เป็นหนี้
              คนพาลผู้มีปัญญาทรามย่อมประกอบตามความประมาท ส่วนนักปราชญ์ ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐสุดฉะนั้น.
              ท่านทั้งหลายอย่าประกอบตามความประมาท อย่าประกอบความสนิทสนมด้วยความยินดีในกาม เพราะว่าผู้ไม่ประมาทเพ่งพินิจอยู่ ย่อมถึงความสุขอันไพบูลย์.
              การที่เรามาสู่สำนักของพระศาสดา เป็นการมาดีแล้ว มิใช่ว่าเป็นการมาไม่ดี การที่เราคิดจะมาบวชในสำนักของพระศาสดานี้ ก็ไม่ใช่เป็นความคิดที่เลวเลย เพราะเป็นการเข้าถึงธรรมอันประเสริฐ ในธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาทรงจำแนกดีแล้ว การที่เรามาสู่สำนักของพระศาสดานี้ เป็นการมาดีแล้ว มิใช่ว่าเป็นการมาไม่ดี การที่เราคิดจะมาบวชในสำนักของพระศาสดานี้ ก็ไม่ใช่เป็นความคิดที่เลวเลย.
              เราได้บรรลุวิชชา ๓ ตามลำดับ ได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว. แต่ก่อนเราอยู่ในป่า โคนไม้ ภูเขา หรือในถ้ำทุกแห่ง มีใจหวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์ เราผู้อันพระศาสดาทรงอนุเคราะห์แล้ว ไม่ไปในบ่วงมาร จะยืน เดิน นั่ง นอนก็เป็นสุข.
               เมื่อก่อนเรามีเชื้อชาติเป็นพราหมณ์ มีครรภ์เป็นที่ถือปฏิสนธิ บริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย บัดนี้เราเป็นโอรสของพระสุคต ผู้ศาสดา ผู้เป็นพระธรรมราชา เราเป็นผู้ปราศจากตัณหาแล้ว ไม่ถือมั่น คุ้มครองทวาร สำรวมดีแล้ว เราตัดรากเหง้าของทุกข์ได้แล้ว บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว เรามีความคุ้นเคยกับพระศาสดา ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงแล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพเสียแล้ว.
               

               จบอรรถกถาองคุลิมาลเถรคาถาที่ ๘               
               -----------------------------------------------------               

 

คำสำคัญ (Tags): #องคุลิมาลเถระ
หมายเลขบันทึก: 714679เขียนเมื่อ 1 ตุลาคม 2023 05:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 ตุลาคม 2023 05:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท